บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก ธันวาคม, 2017

นันทสูตร (สังยุตตนิกาย > สคาถวรรค > เทวปุตตสังยุต > นานาติตถิยวรรค)

นันทสูตร   ( ว่าด้วยนันทเทพบุตร ) สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่  ณ  พระเชตวัน  อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี  เขตกรุงสาวัตถี ค รั้นเมื่อราตรีผ่านไป นันทเทพบุตรมีวรรณะ งดงามยิ่งนัก  เปล่งรัศมีให้สว่างทั่วพระเชตวัน เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ   ถวายอภิวาท  แล้วยืนอยู่  ณ  ที่สมควร ได้กล่าวคาถานี้ในสำนักของพระผู้มีพระภาคว่า        " กาลล่วงเลยไป  คืนผ่านพ้นไป ช่วงแห่งวัยละไปตามลำดับ บุคคลพิจารณาเห็นภัยนี้ในมรณะ ควรทำบุญที่นำความสุขมาให้" พระผู้มีพระภาคตรัสว่า        " กาลล่วงเลยไป  คืนผ่านพ้นไป ช่วงแห่งวัยละไปตามลำดับ บุคคลพิจารณาเห็นภัยนี้ในมรณะ ควรละโลกามิส  มุ่งสู่สันติ (คือนิพพาน) เถิด " นันทสูตร  จบ บทความที่เกี่ยวข้อง ๑.  ชีวิตแสนสั้น  กับสิ่งที่ตามมา

อุตตรสูตร (สังยุตตนิกาย > สคาถวรรค > เทวปุตตสังยุต > อนาถปิณฑิกวรรค)

อุตตรสูตร   ( ว่าด้วยอุตตรเทพบุตร ) สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่  ณ  พระเชตวัน  อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี  เขตกรุงสาวัตถี ค รั้นเมื่อราตรีผ่านไป อุตตรเทพบุตรมีวรรณะ งดงามยิ่งนัก  เปล่งรัศมีให้สว่างทั่วพระเชตวัน เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ   ถวายอภิวาท  แล้วยืนอยู่  ณ  ที่สมควร ได้กล่าวคาถานี้ในสำนักของพระผู้มีพระภาคว่า        " ชีวิตถูกชรานำเข้าไปสู่ความมีอายุสั้น ผู้ที่ถูกชรานำเข้าไปแล้ว  ย่อมไม่มีเครื่องต้านทาน บุคคลพิจารณาเห็นภัยนี้ในมรณะ ควรทำบุญที่นำความสุขมาให้" พระผู้มีพระภาคตรัสว่า        " ชีวิตถูกชรานำเข้าไปสู่ความมีอายุสั้น ผู้ที่ถูกชรานำเข้าไปแล้ว  ย่อมไม่มีเครื่องต้านทาน บุคคลพิจารณาเห็นภัยนี้ในมรณะ ควรละโลกามิส  มุ่งสู่สันติ (คือนิพพาน) เถิด " อุตตรสูตร  จบ บทความที่เกี่ยวข้อง ๑.  ชีวิตแสนสั้น  กับสิ่งที่ตามมา

อัจเจนติสูตร (สังยุตตนิกาย > สคาถวรรค > เทวตาสังยุต > นฬวรรค)

อัจเจนติสูตร   ( ว่าด้วยกาลที่ล่วงเลยไป ) สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่  ณ  พระเชตวัน  อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี  เขตกรุงสาวัตถี ค รั้นเมื่อราตรีผ่านไป เทวดาองค์หนึ่งมีวรรณะ งดงามยิ่งนัก  เปล่งรัศมีให้สว่างทั่วพระเชตวัน เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ   ถวายอภิวาท  แล้วยืนอยู่  ณ  ที่สมควร ได้กล่าวคาถานี้ในสำนักของพระผู้มีพระภาคว่า        "กาลล่วงเลยไป  คืนผ่านพ้นไป ช่วงแห่งวัยละไปตามลำดับ บุคคลพิจารณาเห็นภัยนี้ในมรณะ ควรทำบุญที่นำความสุขมาให้" พระผู้มีพระภาคตรัสว่า        "กาลล่วงเลยไป  คืนผ่านพ้นไป ช่วงแห่งวัยละไปตามลำดับ บุคคลพิจารณาเห็นภัยนี้ในมรณะ ควรละโลกามิส  มุ่งสู่สันติ (คือนิพพาน) เถิด " อัจเจนติสูตร  จบ บทความที่เกี่ยวข้อง ๑.  ชีวิตแสนสั้น  กับสิ่งที่ตามมา

อุปนียสูตร (สังยุตตนิกาย > สคาถวรรค > เทวตาสังยุต > นฬวรรค)

อุปนียสูตร   ( ว่าด้วยชีวิตถูกชรานำเข้าไป ) สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่  ณ  พระเชตวัน  อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี  เขตกรุงสาวัตถี ค รั้นเมื่อราตรีผ่านไป เทวดาองค์หนึ่งมีวรรณะ งดงามยิ่งนัก  เปล่งรัศมีให้สว่างทั่วพระเชตวัน เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ   ถวายอภิวาท  แล้วยืนอยู่  ณ  ที่สมควร ได้กล่าวคาถานี้ในสำนักของพระผู้มีพระภาคว่า        " ชีวิตถูกชรานำเข้าไปสู่ความมีอายุสั้น ผู้ที่ถูกชรานำเข้าไปแล้ว  ย่อมไม่มีเครื่องต้านทาน บุคคลพิจารณาเห็นภัยนี้ในมรณะ ควรทำบุญที่นำความสุขมาให้" พระผู้มีพระภาคตรัสว่า        " ชีวิตถูกชรานำเข้าไปสู่ความมีอายุสั้น ผู้ที่ถูกชรานำเข้าไปแล้ว  ย่อมไม่มีเครื่องต้านทาน บุคคลพิจารณาเห็นภัยนี้ในมรณะ ควรละโลกามิส  มุ่งสู่สันติ (คือนิพพาน) เถิด " อุปนียสูตร  จบ บทความที่เกี่ยวข้อง ๑.  ชีวิตแสนสั้น  กับสิ่งที่ตามมา

ปฐมเทวพราหมณสูตร (อังคุตตรนิกาย > ติกนิบาต > ทุติยปัณณาสก์ > พราหมณวรรค)

ปฐมเทวพราหมณสูตร   (ว่าด้วยพราหมณ์แก่ ๒ คน  สูตรที่ ๑) สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่  ณ  พระเชตวัน  อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี  เขตกรุงสาวัตถี ค รั้ง นั้น พราหมณ์ ๒ คน  เป็นผู้แก่  ผู้เฒ่า  ผู้ใหญ่   ผู้ล่วงกาลผ่านวัย  นับแต่เกิดมามีอายุ ๑๒๐ ปี เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ ประทับ ได้สนทนาปราศรัยพอเป็นที่บันเทิงใจ  พอเป็นที่ระลึกถึงกัน   แล้วจึงนั่ง  ณ  ที่ สมคว ร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า "ข้าแต่ท่านพระโคดม ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นพราหมณ์แก่  ผู้เฒ่า  ผู้ใหญ่  ผู้ล่วง กาลผ่านวัย  นับแต่เกิดมามีอายุ ๑๒๐ ปี พวกข้าพเจ้านั้นไม่ได้ทำความดีไว้  ไม่ ได้ทำกุศลไว้  ไม่ได้สร้างเครื่องต้านทานภัยไว้ ขอท่านพระโคดมทรงว่ากล่าวพวก ข้าพเจ้า ขอท่านพระโคดมทรงสั่งสอนพวกข้าพเจ้า เพื่อเกื้อกูล  เพื่อความสุขแก่พวก ข้าพเจ้าตลอดกาลนานเถิด" พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "พราหมณ์ทั้งหลาย ที่แท้พวกท่านเป็นผู้แก่  ผู้เฒ่า   ผู้ใหญ่  ผู้ล่วงกาลผ่านวัย  นับแต่เกิดมามีอายุ ๑๒๐ ปี พวกท่านนั้นไม่ได้ทำความดีไว้   ไม่ได้ทำกุศลไว้  ไม่ได้สร้างเครื่องต้านทานภัยไว้ โลกนี้ถูกชรา (ความแก

ปติปูชิกาวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > ปุปผวรรค)

ปติปูชิกาวัตถุ   (เรื่อง นางปติปูชิกา ) สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่  ณ  พระเชตวัน  อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี  เขตกรุงสาวัตถี ทรงปรารภหญิงคนหนึ่งชื่อ  ปติปูชิกา    ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า [ เทพธิดาจุติแล้วเกิดในกรุงสาวัตถี  ] ได้ ยินว่า  เทพบุตรนามว่ามาลาภารี  อยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีเทพธิดา  ๑,๐๐๐ แวดล้อม  เข้าไปสู่สวน เทพธิดา ๕๐๐ ขึ้นสู่ ต้นไม้  เด็ดดอกไม้ให้ร่วงลงมา เทพธิดาอีก ๕๐๐  ทำหน้าที่คอยเก็บดอกไม้ เหล่านั้นมาประดับเทพบุตร บรรดาเทพธิดาเหล่านั้น  มีเทพธิดา องค์หนึ่งจุติบนกิ่งไม้นั่นแล สรีระดับไปดุจเปลวประทีป นางถือ ปฏิสนธิในเรือนหลังหนึ่ง  ในกรุงสาวัตถี ในเวลาที่นางเกิดแล้ว   เป็นหญิง ระลึกชาติได้ว่า   "เราเป็นภรรยาของมาลาภารีเทพบุตร" ครั้นเจริญวัย เมื่อกระทำบุญต่าง ๆ  ทำการบูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้นครั้งใด ก็ได้ตั้งความปรารถนาเพื่ออยู่ร่วมกับ สามี (มาลาภารีเทพบุตร) ทุกครั้ง ต่อมา  ในเวลามีอายุ ๑๖ ปี  ได้แต่งงานไปอยู่ในเรือนอื่น ถึงกระนั้น  เมื่อนางได้ถวายทานต่าง ๆ แก่หมู่สงฆ์แล้ว  ก็กล่าวว่า "ขอส่วนแห่งบุญนี้จงเป็นปัจจัย

โกกสุนขลุททกวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > ปาปวรรค)

โกกสุนขลุททกวัตถุ   (เรื่อง นายพรานสุนัขชื่อโกกะ ) สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่  ณ  พระเชตวัน  อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี  เขตกรุงสาวัตถี ทรงปรารภ นายพราน สุนัขชื่อโกกะ   ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า [ นายพรานสำคัญว่าพระภิกษุเป็นคนกาลกรรณี ] ได้ยินว่า เวลาเช้าวันหนึ่ง  นายพรานนั้นถือธนู  มีสุนัขห้อมล้อม   ออกไปป่า เขาพบภิกษุผู้ถือบิณฑบาตเป็นวัตรรูปหนึ่ง  กำลังเที่ยวบิณฑบาต ในระหว่างทาง จึงโกรธ  เพราะคิดว่า "เราพบคนกาลกรรณี  วันนี้สงสัย จะไม่ได้สิ่งอะไรเลย" แล้วเดินหลีกไป ฝ่ายพระเถระเที่ยวบิณฑบาตใน หมู่บ้าน ทำภัตกิจเสร็จแล้ว  จึงกลับไปสู่วิหาร ฝ่ายนายพรานเที่ยวล่าสัตว์ในป่า  ไม่ได้อะไร ๆ เลย เมื่อกำลังจะกลับ  ก็พบ พระเถระอีก จึงคิดว่า  "วันนี้  เราพบคนกาลกรรณีนี้แล้วไปป่า  จึงไม่ ได้อะไร ๆ เลย บัดนี้  ยังได้มาเผชิญหน้าเราอีก เราจะให้สุนัขทั้งหลาย กัดพระรูปนั้นเสีย" ดังนี้แล้ว  จึงส่งสัญญาณปล่อยสุนัขไป พระเถระอ้อนวอนว่า  "อุบาสก  ท่านอย่าทำอย่างนั้น" เขาร้องตอบ ว่า  "วันนี้  ข้าพเจ้าไม่ได้อะไรในป่าเพราะเจอท่าน แม้เวลานี้ 

ยักขปหารสูตร (ขุททกนิกาย > อุทาน > เมฆิยวรรค)

ยักขปหาร สูตร   (ว่าด้วย ยักษ์ตีศีรษะพระสารีบุตรเถระ ) สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่  ณ  พระเวฬุวัน  กลันทกนิวาปสถาน   เขตกรุงราชคฤห์ สมัยนั้น ท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาโมคคัลลานะอยู่ที่ กโปตกันทราวิหาร ในคืนเดือนเพ็ญ ท่านพระสารีบุตรปลงผมใหม่ ๆ  นั่งเข้าสมาธิ อยู่ในที่แจ้ง ขณะนั้น  มียักษ์ ๒ ตนเป็นสหายกัน เดินทางจากทิศเหนือไปทางทิศใต้เพื่อ ทำกิจที่จะต้องทำบางอย่าง ยักษ์ทั้งสองนั้นได้เห็นท่านพระสารีบุตรปลงผมใหม่ ๆ   นั่งเข้าสมาธิอยู่ในที่แจ้ง ยักษ์ตนหนึ่งได้กล่าวกับยักษ์อีกตนหนึ่งว่า "สหาย  เราคิด อยากตีศีรษะสมณะรูปนี้" เมื่อยักษ์ตนนั้นกล่าวอย่างนี้  ยักษ์ตนหนึ่งจึงกล่าวดังนี้ว่า "อย่าเลยสหาย  ท่านอย่าทำร้ายสมณะเลย สมณะรูปนั้นมีคุณยิ่ง  มีฤทธิ์มาก   มีอานุภาพมาก" แม้ครั้งที่ ๒ ยักษ์ตนนั้นได้กล่าวกับยักษ์ตนหนึ่งดังนี้ว่า "สหาย  เราคิดอยากตี ศีรษะสมณะรูปนี้" ยักษ์ตนหนึ่งได้กล่าวกับยักษ์ตนนั้นดังนี้ว่า "อย่าเลยสหาย  ท่านอย่าทำร้าย สมณะเลย สมณะรูปนั้นมีคุณยิ่ง  มีฤทธิ์มาก  มีอานุภาพมาก" แม้ครั้งที่ ๓ ยักษ์ตนนั้นได้

พิลังคิกสูตร (สังยุตตนิกาย > สคาถวรรค > พราหมณสังยุต > อรหันตวรรค)

พิลังคิกสูตร   (ว่าด้วยพิลังคิกพราหมณ์) สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่  ณ  พระ เวฬุวัน  สถานที่ให้ เหยื่อกระแต  เขตกรุงราชคฤห์ พิลังคิกภารทวาชพราหมณ์ได้สดับมาว่า "ได้ยินว่า พราหมณ์ภารทวาชโคตรออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตในสำนักของพระสมณโคดม" จึงโกรธ  ไม่พอใจ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับแล้วได้ยืนนิ่งอยู่  ณ  ที่สมควร ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบความคิดคำนึงของพิลังคิกภารทวาช พราหมณ์ด้วยพระทัยแล้ว ได้ตรัสกับพิลังคิกภารทวาชพราหมณ์ด้วยพระคาถาว่า         "ผู้ใดประทุษร้ายต่อบุคคลผู้ไม่ประทุษร้าย ซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์  ไม่มีกิเลสเพียงดังเนิน บาปย่อมกลับมาถึงบุคคลนั้นซึ่งเป็นคนพาลอย่างแน่แท้ ดุจผงธุลีอันละเอียดที่บุคคลซัดไปทวนลมแล้ว  ฉะนั้น" เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว พิลังคิกภารทวาชพราหมณ์ได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า "ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พระภาษิตของพระองค์ชัดเจน ไพเราะยิ่งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พระภาษิตของพระองค์ชัดเจนไพเราะยิ่งนัก พระโคดมผู้เจริญทรงประกาศธรรมแจ่มแจ้งโดยประการต่าง ๆ เปรียบเหมือนบุคคล หงายของ

สุปปพุทธกุฏฐิสูตร (ขุททกนิกาย > อุทาน > โสณเถรวรรค)

สุปปพุทธกุฏฐิสูตร   (ว่าด้วย ชายโรคเรื้อนชื่อสุปปพุทธะ ) สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่  ณ  พระเวฬุวัน  กลันทกนิวาปสถาน   เขตกรุงราชคฤห์ สมัยนั้น  ชายคนหนึ่งชื่อสุปปพุทธะ  เป็นโรคเรื้อน  ยากจน  กำพร้า   ยากไร้ วันหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคมีบริษัทหมู่ใหญ่แวดล้อมประทับนั่งแสดงธรรมอยู่ ชายโรคเรื้อนชื่อสุปปพุทธะได้เห็นหมู่มหาชนนั้นนั่งประชุมกันแต่ที่ไกล ได้มีความคิด ดังนี้ว่า "ชนทั้งหลายกำลังแจกของเคี้ยวหรือของบริโภคในที่นี้เป็นแน่ ทางที่ดี  เรา ควรเข้าไปยังหมู่มหาชนนั้น พึงได้ของเคี้ยวหรือของบริโภคในที่นี้บ้าง" ลำดับนั้น ชายโรคเรื้อนชื่อสุปปพุทธะได้เข้าไปยังหมู่มหาชนนั้น ได้เห็นพระผู้มี พระภาคมีบริษัทหมู่ใหญ่แวดล้อมประทับนั่งแสดงธรรมอยู่ จึงมีความคิดดังนี้ว่า "ชนทั้งหลายคงไม่แจกของเคี้ยวหรือของบริโภคในที่นี้ พระสมณโคดมนี้แสดงธรรม ในบริษัท ทางที่ดี  เราควรฟังธรรมบ้าง" จึงนั่งลง  ณ  ที่สมควรในที่นั้น  ด้วยตั้งใจว่า  " เราจักฟังธรรม" ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคทรงมนสิการกำหนดจิตของบริษัททุกหมู่เหล่าด้วย พระทัยว่า "ในบริษัทนี้  ใครหนอแลค

ทุติยอปุตตกสูตร (สังยุตตนิกาย > สคาถวรรค > โกสลสังยุต > ทุติยวรรค)

ทุติยอปุตตกสูตร   (ว่าด้วย ทรัพย์ที่ไม่มีบุตร  สูตรที่ ๒ ) สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่  ณ  พระเชตวัน  อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี  เขตกรุงสาวัตถี ครั้งนั้น  พระเจ้าปเสนทิโกศลได้เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคแต่ยังวัน ถวายอภิวาท  แล้วประทับนั่ง  ณ  ที่สมควร พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับพระเจ้า ปเสนทิโกศลดังนี้ว่า  "เชิญเถิด  มหาบพิตร  พระองค์เสด็จมาจากไหนแต่ยังวัน" พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คหบดีผู้เป็นเศรษฐี ในกรุงสาวัตถีนี้ถึงแก่กรรมแล้ว ข้าพระองค์ให้ขนทรัพย์สมบัติที่ไม่มีบุตรนั้นมาไว้ ในพระราชวัง แล้วจึงมาเข้าเฝ้า เฉพาะเงินเท่านั้น  มี ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ ส่วนเครื่องเงินนั้น ไม่ต้องพูดถึง อนึ่ง  คหบดีผู้เป็นเศรษฐีนั้น ได้บริโภคอาหารเช่นนี้  คือ  บริโภคปลายข้าว กับน้ำผักดอง ได้ใช้ผ้าเครื่องนุ่งห่มเช่นนี้  คือ  นุ่งห่มผ้าเนื้อหยาบที่ตัดเป็นสามชิ้น เย็บติดกัน ได้ใช้ยานพาหนะเช่นนี้  คือ  ใช้รถเก่า ๆ  กั้นร่มทำด้วยใบไม้" พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "มหาบพิตร  ข้อนี้เป็นอย่างนั้น มหาบพิตร  ข้อนี้ เป็นอย่างนั้น เรื่องเคยมีมาแล้ว