บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก พฤศจิกายน, 2017

สักกเทวราชวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > ตัณหาวรรค)

สักกเทวราชวัตถุ   (เรื่องท้าวสักกะจอมเทพ) พระผู้มีพระภาคเมื่อประทับอยู่ในพระวิหารเชตวัน  เขตกรุงสาวัตถี ทรงปรารภท้าวสักกเทวราช  แล้วตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า [ ปัญหา ๔ ข้อของเทวดา ] ในสมัยหนึ่ง  เทวดาในดาวดึงสเทวโลกประชุม กัน  แล้วตั้งปัญหา ขึ้น ๔ ข้อว่า "ในบรรดาทานทั้งหลาย  ทานชนิดไหน จัดว่าเยี่ยม ในบรรดารสทั้งหลาย  รสชนิดไหนจัด ว่ายอด ในบรรดาความยินดีทั้งหลาย  ความยินดีชนิดไหนจัด ว่าเลิศ ความสิ้นไปแห่งตัณหา  จัดว่าประเสริฐ ที่สุด  เพราะเหตุไร" ในบรรดาเทวดาทั้งสิ้น  แม้เทวดาสักองค์หนึ่งก็ตอบปัญหา เหล่านั้นไม่ได้ เทวดาองค์หนึ่งถามปัญหาเหล่านั้นกะเทวดาองค์หนึ่ง แม้เทวดาองค์นั้น ก็ถามเทวดาองค์อื่นอีก สรุปว่าเทวดาทั้งหลายเที่ยวไปในหมื่นจักรวาล  ถามกันและกันอย่างนั้นอยู่ ถึง ๑๒ ปี [ เทวดาพากันไปถามปัญหาท้าวมหาราชทั้ง ๔ ] แม้เทวดาในหมื่นจักรวาลก็ไม่รู้คำตอบแห่งปัญหานั้น  โดยกาลล่วงไปเช่น นี้  จึงประชุมกัน  แล้วไปหาท้าวมหาราชทั้ง ๔ ท้าวมหาราชถามว่า  "พ่อทั้งหลาย  ทำไมจึงประชุมกันมากมาย" เทวดาเหล่านั้นกล่าวว่า  "พวกข้าพเจ้าตั้งปัญหาขึ้น ๔ ข

อัฏฐารสวัตถุกถา (มหาวรรค > โกสัมพิกขันธกะ)

อัฏฐารสวัตถุกถา   (ว่าด้วยเรื่องที่ก่อให้เกิดความแตกแยก ๑๘ ประการ) สมัยนั้น  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่  ณ  โฆสิตาราม  เขตกรุงโกสัมพี ครั้งนั้น  พ วกภิกษุชาวกรุงโกสัมพีได้ ก่อความบาดหมาง   ก่อความทะเลาะ  ก่อความวิวาท  ก่อความอื้อฉาว  ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ ลำดับนั้น  พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปหาพวกภิกษุเหล่านั้นถึงที่อยู่ ประทับ นั่งบนพุทธอาสน์ที่ปูไว้ได้ตรัสกับภิกษุเหล่านั้นดังนี้ว่า "อย่าเลยภิกษุทั้งหลาย  พวก เธออย่าบาดหมาง  อย่าทะเลาะ  อย่าขัดแย้ง  อย่าวิวาทกันเลย" เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ ภิกษุฝ่ายอธรรมวาทีรูปหนึ่งได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า "ขอพระผู้มีพระภาคผู้ทรงเป็นธรรมสามีทรงโปรดรอไปก่อน ขอพระองค์จงทรงขวนขวายน้อย  ประกอบตามสุขวิหาร ธรรมในปัจจุบันอยู่เถิด พวกข้าพระองค์จะปรากฏเพราะความบาดหมาง   ความทะเลาะ  ความขัดแย้ง  และความวิวาทนั้นเอง พระพุทธเจ้าข้า" แม้ครั้งที่  ๒  ฯลฯ แม้ครั้งที่  ๓   พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับภิกษุเหล่านั้นดังนี้ว่า "อย่าเลยภิกษุ ทั้งหลาย  พวกเธออย่าบาดหมาง  อย่าทะเลาะ  อย่าขัดแย้ง  อย่าวิวาทกันเลย" ภ

ปริกกมนสูตร (อังคุตตรนิกาย > ทสกนิบาต > จตุตถปัณณาสก์ > ชาณุสโสณิวรรค)

ปริกกมนสูตร   (ว่าด้วยธรรมเป็นทางหลีกเลี่ยง) พระผู้มีพระภาค ตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า "ภิกษุทั้งหลาย ธรรมนี้เป็นทางหลีกเลี่ยง  มิใช่ธรรมไม่เป็นทางหลีก เลี่ยง (ทางหลีกเลี่ยง  ในที่นี้หมายถึง  ทางเว้นจากความชั่ว) ธรรมนี้เป็นทางหลีกเลี่ยง  มิใช่ธรรมไม่เป็นทางหลีกเลี่ยง   อะไรบ้าง  คือ ๑. เจตนางดเว้นจากการฆ่าสัตว์ (ปาณาติปาตา  เวรมณี) เป็นทางหลีกเลี่ยงสำหรับบุคคลผู้ฆ่าสัตว์ ๒. เจตนางดเว้นจากการลักทรัพย์  (อทินนาทานา  เวรมณี) เป็นทางหลีกเลี่ยงสำหรับบุคคลผู้ลักทรัพย์ ๓. เจตนางดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม  (กาเมสุ  มิจฉาจารา  เวรมณี) เป็นทางหลีกเลี่ยงสำหรับบุคคลผู้ ประพฤติผิดในกาม ๔. เจตนางดเว้นจากการพูดเท็จ  (มุสาวาทา  เวรมณี) เป็นทางหลีกเลี่ยงสำหรับบุคคลผู้พูดเท็จ ๕. เจตนางดเว้นจากการพูดส่อเสียด (ปิสุณาย  วาจาย  เวรมณี) เป็นทางหลีกเลี่ยงสำหรับบุคคลผู้พูดส่อเสียด ๖. เจตนางดเว้นจากการพูดคำหยาบ (ผรุสาย  วาจาย  เวรมณี) เป็นทางหลีกเลี่ยงสำหรับบุคคลผู้พูดคำหยาบ ๗. เจตนางดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ (สัมผัปปลาปา  เวรมณี) เป็นทางหลีกเลี่ยงสำหรับบุคคลผู้พูดเพ้อเจ้อ ๘. ความไ

วกชาดก (ขุททกนิกาย > ชาดก > ติกนิบาต > กุมภวรรค)

วกชาดก   (ว่าด้วยหมาใน) พ ระศาสดาตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า        "หมาในมีเนื้อและเลือดเป็นอาหาร มีชีวิตอยู่ได้เพราะฆ่าสัตว์อื่น สมาทานวัตรแล้วเข้าจำอุโบสถ        ท้าวสักกะทรงทราบถึงข้อปฏิบัติของหมาในนั้นแล้ว ทรงจำแลงเพศเป็นแพะเข้าไปหา หมาในนั้นต้องการจะดื่มเลือด  จึงตบะ (ความอดกลั้น) แตก โผเข้าไปหาแพะนั้น ทำลายตบะที่ตนได้สมาทานแล้ว        บุคคลบางคนในโลกนี้ก็เหมือนกัน สมาทานข้อปฏิบัติอย่างเพลา  ทำตนกลับกลอก เหมือนหมาในกลับกลอกเพราะแพะเป็นเหตุ " วกชาดก  จบ อรรถกถา พระศาสดาเมื่อประทับอยู่  ณ  พระเชตวันมหาวิหาร  ทรงปรารภสันถัดเก่า  จึงได้ตรัสเรื่องนี้ เรื่องย่อมีว่า   ท่านพระอุปเสนะมีพรรษาได้ ๒ พรรษา  พร้อมด้ว ย สัทธิวิหาริกซึ่งมีพรรษาเดียว  พากันเข้าไปเฝ้าพระศาสดา   ถูก พระศาสดาทรงติเตียน  จึงกลับ แล้วหลีกไปเริ่มบำเพ็ญวิปัสสนา  บรรลุ พระอรหัตแล้ว  ประกอบด้วยคุณมีความเป็นผู้มักน้อยเป็นต้น  สมาทาน ธุดงค์ ๑๓  และกระทำการชักชวนบริษัทให้เป็นผู้ทรงธุดงค์ ๑๓ ด้วย ต่อมา  เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงหลีกเร้นอยู่ตลอดไตรมาส  จึงพร้อมด้วย บริษัทเข้าไปเฝ้าพระศาสดา เพราะอาศั

จังกีสูตร (มัชฌิมนิกาย > มัชฌิมปัณณาสก์ > พราหมณวรรค)

จังกีสูตร   (ว่าด้วยพราหมณ์ชื่อจังกี) สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในแคว้นโกศล  พร้อมกับภิกษุสงฆ์ หมู่ใหญ่   เสด็จถึงบ้านพราหมณ์ชื่อโอปาสาทะของชาวโกศล  ประทับอยู่  ณ  ป่าไม้ สาละชื่อเทพวัน  ทางทิศเหนือแห่งบ้า นพราหมณ์ชื่อโอปาสาทะ สมัยนั้นแล  พราหมณ์ ชื่อจังกี   ปกครองบ้านพราหมณ์ชื่อโอปาสาทะ  ซึ่งมีประชากรและสัตว์เลี้ยงมากมาย   มีพืชพันธุ์ธัญญาหารและน้ำหญ้าอุดมสมบูรณ์   เป็นพระราชทรัพย์ที่พระเจ้าปเสนทิโกศล พระราชทานปูนบำเหน็จให้เป็นพรหมไทย (พรหมไทย   หมายถึงสิ่งที่ให้แก่บุคคลผู้ประเสริฐ  รางวัลที่ประกอบด้วยอำนาจเต็มเหนือบ้านนั้น) พราหมณ์และคหบดีชาวบ้านโอปาสาทะ ได้ฟังข่าวว่า "ได้ยินว่า  ท่านพระสมณโคดมเป็นศากยบุตร  เสด็จออกผนวชจากศากยตระกูล   เสด็จจาริกอยู่ในแคว้นโกศล   พร้อมด้วยภิกษุหมู่ใหญ่  เสด็จถึงบ้านพราหมณ์ชื่อ โอปาสาทะโดยลำดับ  ประทับอยู่  ณ  ป่าไม้สาละชื่อเทพวัน  ทางทิศเหนือแห่งบ้าน พราหมณ์ชื่อโอปาสาทะ ท่านพระสมณโคดมพระองค์นั้นมีกิตติศัพท์อันงามขจรไป อย่างนี้ว่า  'แม้เพราะเหตุนี้  พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์   ตรัสรู้ ด้วยพระองค์เองโดยชอบ  เพ