วกชาดก (ขุททกนิกาย > ชาดก > ติกนิบาต > กุมภวรรค)


วกชาดก  (ว่าด้วยหมาใน)

ระศาสดาตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
       "หมาในมีเนื้อและเลือดเป็นอาหาร
มีชีวิตอยู่ได้เพราะฆ่าสัตว์อื่น
สมาทานวัตรแล้วเข้าจำอุโบสถ
       ท้าวสักกะทรงทราบถึงข้อปฏิบัติของหมาในนั้นแล้ว
ทรงจำแลงเพศเป็นแพะเข้าไปหา
หมาในนั้นต้องการจะดื่มเลือด  จึงตบะ (ความอดกลั้น) แตก
โผเข้าไปหาแพะนั้น
ทำลายตบะที่ตนได้สมาทานแล้ว
       บุคคลบางคนในโลกนี้ก็เหมือนกัน
สมาทานข้อปฏิบัติอย่างเพลา  ทำตนกลับกลอก
เหมือนหมาในกลับกลอกเพราะแพะเป็นเหตุ"

วกชาดก  จบ

อรรถกถา
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่  ณ  พระเชตวันมหาวิหาร  ทรงปรารภสันถัดเก่า  จึงได้ตรัสเรื่องนี้

เรื่องย่อมีว่า  ท่านพระอุปเสนะมีพรรษาได้ ๒ พรรษา  พร้อมด้วสัทธิวิหาริกซึ่งมีพรรษาเดียว  พากันเข้าไปเฝ้าพระศาสดา  ถูกพระศาสดาทรงติเตียน  จึงกลับ
แล้วหลีกไปเริ่มบำเพ็ญวิปัสสนา  บรรลุพระอรหัตแล้ว  ประกอบด้วยคุณมีความเป็นผู้มักน้อยเป็นต้น  สมาทานธุดงค์ ๑๓  และกระทำการชักชวนบริษัทให้เป็นผู้ทรงธุดงค์ ๑๓ ด้วย

ต่อมา  เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงหลีกเร้นอยู่ตลอดไตรมาส  จึงพร้อมด้วยบริษัทเข้าไปเฝ้าพระศาสดา
เพราะอาศัยบริษัทนั่นแหละ  จึงได้รับการติเตียนในครั้งก่อน
แต่เพราะประพฤติตามกติกาอันประกอบด้วยธรรม  จึงได้รับสาธุการในครั้งนี้
เป็นผู้อันพระศาสดาทรงกระทำอนุเคราะห์ว่า
"จำเดิมแต่นี้ไป  ภิกษุทั้งหลายผู้ทรงธุดงค์จงเข้ามาเฝ้าเราตามสบายเถิด"
แล้วจึงออกไปแจ้งเนื้อความนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย

ตั้งแต่นั้นมา  ภิกษุทั้งหลายจึงพากันเป็นผู้ทรงธุดงค์เพื่อที่จะได้โอกาสเข้าไปเฝ้าพระศาสดา

ภายหลัง  เมื่อพระศาสดาเสด็จออกจากที่เร้น  ภิกษุเหล่านั้นก็พากันทิ้งผ้าบังสุกุลไว้ในที่ต่าง ๆ  ถือเอาไปเฉพาะบาตรและจีวรของตนเท่านั้น

พระศาสดาเสด็จเที่ยวจาริกไปยังเสนาสนะพร้อมภิกษุหลายรูป
ทอดพระเนตรเห็นผ้าบังสุกุลตกเรี่ยราดอยู่ในที่นั้น ๆ  จึงตรัสถาม
ครั้นทรงสดับความเป็นไปนั้นแล้ว  จึงตรัสว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  การสมาทานธุดงควัตรของภิกษุเหล่านี้  เป็นของไม่ตั้งอยู่ยั่งยืน
ได้เป็นเช่นกับอุโบสถกรรมของหมาใน"

แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก  ดังต่อไปนี้

ในอดีตกาล
เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี
พระโพธิสัตว์ได้เป็นท้าวสักกเทวราช

ครั้งนั้น  มีหมาในตัวหนึ่งอยู่ที่หลังหินดาดใกล้ฝั่งแม่น้ำคงคา
ต่อมา  ห้วงน้ำใหญ่ในแม่น้ำคงคาไหลมาจดรอบหินดาดนั้น
หมาในจึงขึ้นไปนอนบนหลังหินดาด
ที่แสวงหาอาหารและทางที่จะไปแสวงหาอาหารของหมาในนั้นไม่มีเลย
แม่น้ำก็เปี่ยมอยู่นั่นเอง

หมาในนั้นคิดว่า
"เราไม่มีที่แสวงหาอาหาร  และไม่มีทางที่จะไปแสวงหาอาหาร
ก็อุโบสถกรรมเป็นของประเสริฐกว่าการนอนของเราผู้ว่างงาน"
ดังนี้แล้ว  จึงอธิษฐานอุโบสถด้วยใจนั่นเอง  สมาทานศีล  แล้วนอนอยู่

ในกาลนั้น  ท้าวสักกเทวราชทรงรำพึงอยู่  ทรงทราบการสมาทานอันไม่จริงจังของหมาในนั้น
จึงทรงพระดำริว่า  "เราจักทดลองหมาในนี้"
แล้วจึงแปลงเป็นรูปแพะเสด็จมายืนแสดงพระองค์ให้เห็นในที่ไม่ไกลหมาในนั้น

หมาในเห็นแพะนั้นแล้ว
คิดว่า  "เราจักรักษาอุโบสถกรรมในวันอื่น"
ดังนี้แล้ว  จึงลุกขึ้นโผเข้าไปเพื่อจะตะครุบแพะนั้

ฝ่ายแพะวิ่งไปทางโน้นทางนี้  ไม่ให้หมาในตะครุบตนได้

หมาในเมื่อไม่อาจตะตรุบแพะได้  จึงกลับมานอนบนหลังหินดาดนั้อีก
แล้วคิดว่า  "อุโบสถกรรมของเรายังไม่ถูกทำลาย"

ท้าวสักกเทวราชประทับยืนในอากาศด้วยอานุภาพของท้าวเธอ
ทรงติเตียนหมาในนั้นว่า
"ประโยชน์อะไรด้วยอุโบสถกรรมของผู้มีอัธยาศัยอันไม่จริงจังเช่นท่าน
ท่านไม่รู้ว่าเราเป็นท้าวสักกะ  จึงประสงค์จะกินเนื้อแพะ"
ครั้นทรงติเตียนแล้วก็เสด็จไปยังเทวโลกทันที

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาตรัสจบลงแล้ว
ได้ตรัสพระคาถาแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
       "หมาในมีเนื้อและเลือดเป็นอาหาร
มีชีวิตอยู่ได้เพราะฆ่าสัตว์อื่น
สมาทานวัตรแล้วเข้าจำอุโบสถ
       ท้าวสักกะทรงทราบถึงข้อปฏิบัติของหมาในนั้นแล้ว
ทรงจำแลงเพศเป็นแพะเข้าไปหา
หมาในนั้นต้องการจะดื่มเลือด  จึงตบะ (ความอดกลั้น) แตก
โผเข้าไปหาแพะนั้น
ทำลายตบะที่ตนได้สมาทานแล้ว
       บุคคลบางคนในโลกนี้ก็เหมือนกัน
สมาทานข้อปฏิบัติอย่างเพลา  ทำตนกลับกลอก
เหมือนหมาในกลับกลอกเพราะแพะเป็นเหตุ"

พระศาสดาทรงประชุมชาดกว่า
"ท้าวสักกะในครั้งนั้น  ได้มาเป็นเราตถาคต  ฉะนี้แล"


บทความที่เกี่ยวข้อง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปติปูชิกาวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > ปุปผวรรค)

อานันทเสฏฐิวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > พาลวรรค)

กาลียักขินีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > ยมกวรรค)