กาลียักขินีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > ยมกวรรค)


กาลียักขินีวัตถุ  (เรื่องนางยักษ์ชื่อกาลี)

พระผู้มีพระภาคเมื่อประทับอยู่ในพระวิหารเชตวัน  เขตกรุงสาวัตถี
ทรงปรารภหญิงหมันคนหนึ่ง  แล้วตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า


[ มารดาหาภรรยาให้บุตร ]
บุตรกุฎุมพีคนหนึ่ง  เมื่อบิดาตายแล้ว  ได้ทำการงานทั้งปวง  ทั้งที่นา  ทั้งที่บ้าน  ด้วยตนเอง  ปฏิบัติมารดาอยู่
ต่อมา  มารดาได้บอกแก่เขาว่า  "พ่อ  แม่จักนำนางกุมารีมาให้เจ้า"
บุตรตอบว่า  "แม่  อย่าพูดอย่างนี้เลย  ฉันจักปฏิบัติแม่ไปจนตลอดชีวิต"
มารดากล่าวว่า  "พ่อ  เจ้าคนเดียวทำการงานอยู่  ทั้งที่นาและที่บ้าน    เพราะเหตุนั้น  แม่จึงไม่มีความสบายใจเลย  แม่จักนำนางกุมารีมาให้เจ้า"
เขาแม้ห้ามมารดาหลายครั้งแล้ว  มารดาก็ยังยืนกราน  เขาจึงนิ่งเสีย
มารดานั้นออกจากเรือน  เพื่อจะไปสู่ตระกูลแห่งหนึ่ง

ลำดับนั้น  บุตรถามมารดาว่า  "แม่จะไปตระกูลไหน"
เมื่อมารดาบอกว่า  "จะไปตระกูลชื่อโน้น"
เขาไม่ชอบใจตระกูลนั้น  จึงห้ามการที่จะไปตระกูลนั้นเสีย  แล้วบอกตระกูลที่ตนชอบใจให้
มารดาได้ไปตระกูลตามนั้น  หมั้นนางกุมารีไว้แล้ว  กำหนดวันแต่งงาน  นำนางกุมารีคนนั้นมาไว้ในเรือนของบุตร

ต่อมา  มารดาทราบว่านางกุมารีนั้นเป็นหญิงหมัน  จึงพูดกะบุตรว่า
"พ่อ  เจ้าให้แม่นำนางกุมารีมาตาม ชอบใจของเจ้าแล้ว
แต่นางกุมารีนั้นเป็นหมัน  ก็ธรรมดาตระกูลที่ไม่มีบุตรย่อมฉิบหาย  ประเพณีย่อมไม่สืบเนื่องไป
เพราะฉะนั้น  แม่จักนำนางกุมารีคนอื่นมาให้เจ้าอีก"
แม้บุตรนั้นกล่าวห้ามอยู่ว่า  "อย่าเลย  แม่"
มารดาก็ยังได้กล่าวอย่างนั้นบ่อย ๆ

หญิงหมันได้ยินคำนี้  จึงคิดว่า  "ธรรมดาบุตรย่อมไม่อาจฝืนคำมารดาบิดาไปได้  บัดนี้  แม่ผัวคิดจะนำหญิงอื่นผู้ไม่เป็นหมันมาแล้ว   ก็จักใช้เราอย่างทาสี  ถ้าอย่างไรเราพึงนำนางกุมารีคนหนึ่งมาเสียเอง"
ดังนี้แล้ว  จึงไปยังตระกูลแห่งหนึ่ง  ขอนางกุมารีเพื่อประโยชน์แก่สามี
ถูกพวกชนในตระกูลนั้นห้ามว่า  "หล่อนพูดอะไรเช่นนั้น"
นางจึงอ้อนวอนว่า  "ฉันเป็นหมัน  ตระกูลที่ไม่มีบุตรย่อมฉิบทาย  บุตรีของท่านได้บุตรแล้ว  จักได้เป็นเจ้าของสมบัติ  ขอท่านโปรดยกบุตรีนั้นให้แก่สามีของฉันเถิด"
นางได้ทำให้ตระกูลนั้นยอมรับแล้ว  จึงนำมาไว้ในเรือนของสามี

ต่อมา  หญิงหมันนั้นวิตกว่า  "ถ้านางคนนี้จักได้บุตรไซร้  จักเป็นเจ้าของสมบัติแต่ผู้เดียว  เราควรจะทำนางอย่าให้ได้ทารกเลย"


[ เมียหลวงปรุงยาทำลายครรภ์เมียน้อย ]
ลำดับนั้น  หญิงหมันจึงพูดกะนางนั้นว่า  "ครรภ์ตั้งขึ้นในท้องหล่อนเมื่อใด  ขอให้หล่อนบอกแก่ฉันเมื่อนั้น"
นางนั้นรับว่า  "จ้ะ"
เมื่อครรภ์ตั้งแล้ว  จึงบอกแก่หญิงหมันนั้น
หญิงหมันให้ข้าวต้มและข้าวสวยแก่นางนั้นเป็นนิตย์
ภายหลัง  นางได้ให้ยาสำหรับทำครรภ์ให้ตกปนกับอาหารแก่นางนั้น
ครรภ์ก็ตก (แท้ง)

เมื่อครรภ์ตั้งแล้วเป็นครั้งที่ ๒  นางก็ได้บอกแก่หญิงหมันนั้น
หญิงหมันก็ได้ทำครรภ์ให้ตกด้วยอุบายอย่างนั้นอีกเป็นครั้งที่ ๒

ต่อมา  พวกเพื่อนได้มาเยี่ยมหญิงนั้น  แล้วถามว่า  "หญิงร่วมสามีทำอันตรายหล่อนบ้างหรือไม่"
นางเล่าเหตุการณ์ให้ฟังแล้ว  ถูกเพื่อน ๆ กล่าวว่า  "หญิงโง่  ทำไมเธอจึงบอกหญิงหมันนั้นเล่า  นางประกอบยาสำหรับทำครรภ์ให้ตกให้แก่เธอ  เพราะกลัวเธอจะเป็นใหญ่ในเรือน  เพราะฉะนั้น  ครรภ์ของเธอจึงตก  เธออย่าบอกเรื่องตั้งครรภ์อีกนะ"
ในครั้งที่ ๓  นางจึงมิได้บอก

ต่อมา  หญิงหมันเห็นท้องของนางนั้นแล้วจึงกล่าวว่า  "ทำไมเธอจึงไม่บอกว่าตั้งครรภ์แล้ว"
นางนั้นกล่าวว่า  "เธอไปนำฉันมาจากเรือน  แต่กลับทำครรภ์ให้ตกไปถึง ๒ ครั้ง  ฉันจะบอกแก่เธอทำไม"
หญิงหมันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร  จึงเฝ้าคอยให้นางประมาท
เมื่อครรภ์แก่เต็มที่แล้ว  จึงได้โอกาส  ได้ประกอบยาให้นางแล้ว
แต่ครั้งนี้  ครรภ์ไม่อาจตก  เพราะครรภ์แก่แล้ว  ทารกนอนขวางอยู่ในครรภ์  ความทุกข์แรงกล้าเกิดขึ้น  นางถึงความสิ้นชีวิตในวันนั้นเอง

นางตั้งความปรารถนาว่า  "เราถูกมันทำให้ฉิบหายแล้ว  มันเองนำเรามา  แต่กลับทำทารกให้ฉิบหายถึง ๓ คนแล้ว  บัดนี้  เราเองก็จะฉิบหาย
เราจุติจากอัตภาพนี้  พึงเกิดเป็นนางยักษิณี  สามารถเคี้ยวกินทารกของมันเถิด"
ดังนี้แล้วตายไป  เกิดเป็นแม่แมวในเรือนนั้นเอง

ฝ่ายสามีเมื่อรู้ความจริง  จึงจับหญิงหมันแล้วกล่าวว่า  "เจ้าได้ทำการตัดตระกูลของเราให้ขาดสูญ"
แล้วทุบด้วยอวัยวะทั้งหลายมีศอกและเข่าเป็นต้นให้บอบซ้ำแล้ว

หญิงหมันนั้นตายเพราะความเจ็บนั้นแล  แล้วได้เกิดเป็นแม่ไก่ในเรือนนั้นเหมือนกัน


[ ผลัดกันก่อกรรมด้วยอำนาจการจองเวร ]
ต่อมาไม่นาน  แม่ไก่ได้ออกไข่หลายฟอง
แม่แมวมากินฟองไข่เหล่านั้นเสีย
ถึงครั้งที่ ๒  ครั้งที่ ๓  มันก็ได้กินเสียเหมือนกัน
แม่ไก่ทำความปรารถนาว่า  "มันกินฟองของเราถึง ๓ ครั้งแล้ว  เดี๋ยวนี้  มันก็อยากกินตัวเราด้วย  เราจุติจากอัตภาพนี้แล้ว  ขอให้ได้กินมันกับลูกของมัน"
ดังนี้แล้ว  จุติจากอัตภาพนั้น  ได้เกิดเป็นแม่เสือเหลือง
ฝ่ายแม่แมว  ได้เกิดเป็นแม่เนื้อ

ในเวลาแม่เนื้อนั้นคลอดลูกแล้ว ๆ
แม่เสือเหลืองก็ได้มากินลูกทั้งหลายเสียถึง ๓ ครั้ง
เมื่อเวลาจะตาย  แม่เนื้อทำความปรารถนาว่า  "พวกลูกของเราถูกแม่เสือเหลืองตัวนี้กินเสียถึง ๓ ครั้งแล้ว  เดี๋ยวนี้มันจะกินตัวเราด้วย  เราจุติจากอัตภาพนี้แล้ว  ขอให้ได้กินมันกับลูกของมันเถิด"
ดังนี้แล้ว  ได้ตายไปเกิดเป็นนางยักษิณี

ฝ่ายแม่เสือเหลืองจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว  ได้เกิดเป็นกุลธิดาในเมืองสาวัตถี
เมื่อรู้เดียงสาแล้ว  ได้แต่งงานไปสู่ตระกูลสามีในบ้านริมประตูเมือง
ในกาลต่อมา  นางได้คลอดบุตรคนหนึ่ง
นางยักษิณีจำแลงตัวเป็นหญิงสหายที่รักของนางมาแล้วถามคนในบ้านว่า  "หญิงสหายของฉันอยู่ที่ไหน"
พวกชาวบ้านได้บอกว่า  "เขาคลอดบุตรอยู่ภายในห้อง"
นางยักษิณีแสร้งพูดว่า  "หญิงสหายของฉันคลอดลูกเป็นชายหรือหญิงหนอ  ฉันอยากเห็นเด็กนั้น"
แล้วเข้าไปทำเป็นแลดูอยู่  เมื่อได้โอกาส  จึงจับทารกกิน  แล้วก็ไป
ในครั้งที่ ๒  ก็ได้กินเสียเหมือนกัน

ในครั้งที่ ๓  นางกุลธิดามีครรภ์แก่  เรียกสามีมาแล้วบอกว่า  "นาย  นางยักษิณีตนหนึ่งกินบุตรของฉันเสียในที่นี้ ๒ คนแล้ว  ฉันจะไปสู่เรือนแห่งตระกูลของฉัน"
แล้วจึงไปสู่เรือนแห่งตระกูลคลอดบุตรที่นั่น

ในกาลนั้น  นางยักษิณีนั้นถึงคราวส่งน้ำ
ด้วยว่า  นางยักษิณีทั้งหลายต้องตักน้ำจากสระอโนดาตทูนบนศีรษะมาเพื่อท้าวเวสสวัณตามวาระ  ต่อล่วง ๔ เดือนบ้าง  ๕ เดือนบ้าง  จึงพ้นจากวาระได้
นางยักษิณีบางตนมีกายบอบช้ำจากงานนั้น  ถึงความสิ้นชีวิตบ้างก็มี

ส่วนนางยักษิณีตนนี้  พอพ้นจากเวรส่งน้ำแล้วเท่านั้น  ก็รีบจำแลงกายแล้วไปสู่เรือนนั้น  ถามว่า  "หญิงสหายของฉันอยู่ที่ไหน"
พวกชาวบ้านบอกว่า  "เธอไม่อยู่ที่นี่  นางยักษิณีตนหนึ่งกินทารกของเธอที่คลอดในที่นี้  เพราะฉะนั้น  เธอจึงไปสู่เรือนแห่งตระกูล"
นางยักษิณีนั้นคิดว่า  "นางจะไปในที่ไหน ๆ ก็ตามเถิด  จะไม่พ้นเราไปได้หรอก"
ดังนี้แล้ว  ด้วยกำลังแห่งความจองเวร  จึงวิ่งบ่ายหน้าไปสู่เมือง

ฝ่ายนางกุลธิดา  ในวันตั้งชื่อ  ได้ให้ทารกนั้นอาบน้ำ  ตั้งชื่อแล้ว  กล่าวกะสามีว่า  "นาย  เราพากันไปสู่เรือนของเราเถิด"
แล้วอุ้มบุตรไปกับสามีตามทางที่ผ่านพระวิหารเชตวัน
ระหว่างทาง  ได้มอบบุตรให้สามี  แล้วลงอาบน้ำในสระโบกขรณีข้าวิหาร  แล้วขึ้นมารับเอาบุตร
เมื่อสามีกำลังอาบน้ำอยู่  นางจึงยืนให้บุตรดื่มนม

ขณะนั้น  นางเห็นนางยักษิณีมา  จำได้  จึงร้องด้วยเสียงอันดังว่า
"นาย  ขึ้นมาเร็ว ๆ  นั่นนางยักษิณีตนนั้นมาแล้ว"
เมื่อสามียังอยู่ในสระ  นางไม่อาจยืนรออยู่  ได้วิ่งบ่ายหน้าเข้าไปสู่ภายในพระวิหารเชตวันแล้ว

[ เวรไม่ระงับด้วยเวร  แต่ระงับได้ด้วยไม่จองเวร ]
ครั้งนั้น  พระศาสดาทรงแสดงธรรมอยู่ในท่ามกลางบริษัท
นางกุลธิดานั้นได้วางบุตรนอนลงเคียงหลังพระบาทแห่งพระศาสดา  แล้วกราบทูลว่า  "ข้าพระองค์ขอถวายบุตรคนนี้แด่พระองค์  ขอพระองค์ประทานชีวิตแก่บุตรของข้าพระองค์ด้วยเถิด"

สุมนเทพบุตรผู้สิงอยู่ที่ซุ้มประตูวิหาร  ไม่ยอมให้นางยักษิณีเข้าไปข้างใน
พระศาสดารับสั่งเรียกพระอานนท์มาตรัสว่า  "อานนท์  เธอจงไปเรียกนางยักษิณีนั้นมา"
พระเถระเรียกนางยักษิณีนั้นมาแล้ว
นางกุลธิดากราบทูลว่า  "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  นางยักษิณีมาแล้ว"
พระศาสดาตรัสว่า  "ให้นางยักษิณีมาเถิด  เจ้าอย่าได้ร้องไปเลย"

แล้วตรัสกะนางยักษิณีผู้มายืนอยู่แล้วว่า
"เหตุไรเจ้าจึงทำอย่างนั้น
ก็ถ้าพวกเจ้าไม่มาสู่เฉพาะหน้าพระพุทธเจ้าผู้เช่นเราแล้ว
เวรของพวกเจ้าจักได้เป็นกรรมตั้งอยู่ชั่วกัป
เหมือนเวรของงูกับพังพอน  ของหมีกับไม้สะคร้อ  และของกากับนกเค้า
เหตุไฉนพวกเจ้าจึงทำเวรและเวรตอบแก่กัน
เพราะเวรย่อมระงับได้ด้วยความไม่มีเวร  หาระงับได้ด้วยเวรไม่"

ดังนี้แล้ว  ได้ตรัสพระคาถานี้ว่า
       "ในกาลไหน ๆ
เวรทั้งหลายในโลกนี้ย่อมไม่ระงับด้วยเวรเลย
แต่ย่อมระงับได้ด้วยความไม่มีเวร
ธรรมนี้เป็นของเก่า"

ในกาลจบพระคาถา  นางยักษิณีนั้นตั้งอยู่ในพระโสดาปัตติผลแล้ว
เทศนาได้มีประโยชน์แม้แก่บริษัทผู้ประชุมกันแล้ว

[ นางยักษิณีรู้ฝนมากฝนน้อย ]
ครั้งนั้น  พระศาสดาได้ตรัสกะหญิงนั้นว่า  "เจ้าจงให้บุตรของเจ้าแก่นางยักษิณีเถิด"
หญิงนั้นกราบทูลว่า  "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์กลัว"
พระศาสดาตรัสว่า  "เจ้าอย่ากลัวเลย  อันตรายจากนางยักษิณีนี้ย่อมไม่มีแก่เจ้า"
นางจึงให้บุตรแก่นางยักษิณีนั้นแล้ว
นางยักษิณีนั้นอุ้มทารกนั้นจูบกอดแล้ว  คืนให้แก่มารดาอีก  แล้วเริ่มร้องไห้

ลำดับนั้น  พระศาสดาตรัสถามนางยักษิณีนั้นว่า  "เกิดอะไรขึ้น"
นางยักษิณีกราบทูลว่า  "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  เมื่อก่อนข้าพระองค์แม้สำเร็จการเลี้ยงชีพด้วยการกินเนื้อไม่เลือก  ก็ยังไม่ได้อาหารเต็มท้อง  บัดนี้  ข้าพระองค์เป็นผู้ตั้งมั่นในศีลแล้ว  จะเลี้ยงชีพได้อย่างไร"

พระศาสดาตรัสปลอบนางยักษิณีนั้นว่า  "เจ้าอย่าวิตกเลย"
แล้วตรัสกะหญิงนั้นว่า  "เจ้าจงนำนางยักษิณีไปอยู่ในเรือนของตน  แล้วจงปฏิบัติด้วยข้าวต้มและข้าวสวยอย่างดี"

หญิงนั้นนำนางยักษิณีไปแล้วให้พักอยู่ในโรงกระเดื่อง
ได้ปฏิบัติด้วยข้าวต้มและข้าวสวยอย่างดี
แต่ในเวลาซ้อมข้าวเปลือกในโรงกระเดื่องนั้น  สากปรากฏแก่นางยักษิณีนั้นดุจต่อยศีรษะ
นางยักษิณีจึงเรียกนางกุลธิดาผู้สหายมาแล้วพูดว่า  "ฉันจักไม่อาจอยู่ในที่นี้ได้  ขอท่านจงให้ฉันพักอยู่ในที่อื่นเถิด"

หญิงสหายจัดให้พักอยู่ในที่เหล่านี้  คือในโรงสาก  ข้างตุ่มน้ำ  ริมเตาไฟ  ริมชายคา  ริมกองหยากเยื่อ  ริมประตูบ้าน
นางยักษิณีก็กล่าวว่า  "ในโรงสากนี้  สากย่อมปรากฏดุจต่อยศีรษะฉันอยู่
ที่ข้างตุ่มน้ำนี้  พวกเด็กย่อมราดน้ำเป็นเดนลงไป
ที่ริมเตาไฟนี้  ฝูงสุนัขย่อมมานอน
ที่ริมชายคานี้  พวกเด็กย่อมทำสกปรก
ที่ริมกองหยากเยื่อนี้  ชนทั้งหลายย่อมเทหยากเยื่อ
ที่ริมประตูบ้านนี้  เด็กพวกชาวบ้านย่อมเล่นการพนันกันด้วยคะแนน"
ดังนี้แล้ว  ได้ห้ามที่ทั้งปวงนั้นเสีย.

ครั้งนั้น  หญิงสหายจึงให้นางยักษิณีนั้นพักอยู่ในที่อันสงัดภายนอกบ้าน  แล้วนำโภชนะมีข้าวต้มและข้าวสวยเป็นต้นอย่างดีไปเพื่อนางยักษิณีนั้น  แล้วปฏิบัติในที่นั้น

นางยักษิณีนั้นคิดว่า  "เดี๋ยวนี้  หญิงสหายของเรานี้มีอุปการะแก่เรามาก  เราควรทำความแทนคุณสักอย่างหนึ่ง"
จึงบอกแก่หญิงสหายว่า  "ในปีนี้จะมีฝนดี  ท่านจงทำข้าวกล้าในที่ดอนเถิด
ในปีนี้ฝนจักแล้ง  ท่านจงทำข้าวกล้าในที่ลุ่มเถิด"

ข้าวกล้าอันพวกชาวบ้านทำแล้ว  ย่อมเสียหายด้วยน้ำมากเกินไปบ้าง  ด้วยน้ำน้อยบ้าง
แต่ข้าวกล้าของนางกุลธิดานั้นย่อมสมบูรณ์เหลือเกิน

[ นางยักษิณีเริ่มตั้งสลากภัต ]
ครั้งนั้น  พวกชาวบ้านพากันถามนางว่า  "แม่  ข้าวกล้าที่เธอทำแล้วไม่เสียหายด้วยน้ำมากเกินไป  ไม่เสียหายด้วยน้ำน้อยไป
เธอรู้ความที่ฝนดีและฝนแล้งหรือ"

นางบอกว่า  "นางยักษิณีผู้เป็นหญิงสหายของฉัน  บอกความที่ฝนดีและฝนแล้งแก่ฉัน
ฉันทำข้าวกล้าทั้งหลายในที่ดอนและที่ลุ่มตามคำของยักษิณีนั้น  เหตุนั้น  ข้าวกล้าของฉันจึงสมบูรณ์ดี
พวกท่านไม่เห็นโภชนะมีข้าวต้มและข้าวสวยเป็นต้นที่ฉันนำไปจากเรือนเนืองนิตย์หรือ  สิ่งของเหล่านั้นฉันนำไปให้นางยักษิณีนั้น
แม้พวกท่านก็จงนำโภชนะมีข้าวต้มและข้าวสวยเป็นต้นอย่างดีไปให้นางยักษิณีบ้างสิ  นางยักษิณีก็จะช่วยดูแลการงานของพวกท่านบ้าง"

ครั้งนั้น  พวกชนชาวเมืองทั้งสิ้นก็พากันทำสักการะแก่นางยักษิณีนั้นแล้ว
จำเดิมแต่นั้นมา   นางยักษิณีก็ช่วยดูแลการงานทั้งหลายของชนทั้ปวงอยู่  ได้เป็นผู้ถึงลาภอันเลิศและมีบริวารมากแล้ว

ในกาลต่อมา  นางยักษิณีจึงเริ่มตั้งสลากภัต ๘ ที่แล้ว
สลากภัตนั้นชนทั้งหลายยังถวายอยู่จนกาลทุกวันนี้แล

กาลียักขินีวัตถุ  จบ


บทความที่เกี่ยวข้อง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

พยสนสูตร (อังคุตตรนิกาย > ปัญจกนิบาต > ตติยปัณณาสก์ > คิลานวรรค)

ปฏาจาราเถรีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > สหัสสวรรค)