ปติปูชิกาวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > ปุปผวรรค)


ปติปูชิกาวัตถุ  (เรื่องนางปติปูชิกา)

สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่  ณ  พระเชตวัน  อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี  เขตกรุงสาวัตถี
ทรงปรารภหญิงคนหนึ่งชื่อ  ปติปูชิกา  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า


[ เทพธิดาจุติแล้วเกิดในกรุงสาวัตถี ]
ได้ยินว่า  เทพบุตรนามว่ามาลาภารี  อยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
มีเทพธิดา ๑,๐๐๐ แวดล้อม  เข้าไปสู่สวน

เทพธิดา ๕๐๐ ขึ้นสู่ต้นไม้  เด็ดดอกไม้ให้ร่วงลงมา
เทพธิดาอีก ๕๐๐  ทำหน้าที่คอยเก็บดอกไม้เหล่านั้นมาประดับเทพบุตร

บรรดาเทพธิดาเหล่านั้น  มีเทพธิดาองค์หนึ่งจุติบนกิ่งไม้นั่นแล
สรีระดับไปดุจเปลวประทีป
นางถือปฏิสนธิในเรือนหลังหนึ่ง  ในกรุงสาวัตถี

ในเวลาที่นางเกิดแล้ว  เป็นหญิง
ระลึกชาติได้ว่า  "เราเป็นภรรยาของมาลาภารีเทพบุตร"

ครั้นเจริญวัย
เมื่อกระทำบุญต่าง ๆ  ทำการบูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้นครั้งใด
ก็ได้ตั้งความปรารถนาเพื่ออยู่ร่วมกับสามี (มาลาภารีเทพบุตร) ทุกครั้ง

ต่อมา  ในเวลามีอายุ ๑๖ ปี  ได้แต่งงานไปอยู่ในเรือนอื่น
ถึงกระนั้น  เมื่อนางได้ถวายทานต่าง ๆ แก่หมู่สงฆ์แล้ว  ก็กล่าวว่า
"ขอส่วนแห่งบุญนี้จงเป็นปัจจัยเพื่อประโยชน์ได้อยู่ร่วมกับสามีของเรา"

ภิกษุทั้งหลายเมื่อทราบข่าวว่า
"นางผู้นี้กระทำบุญทั้งหลายแล้ว  ปรารถนาขออยู่ร่วมกับสามีเท่านั้น"
จึงขนานนามของนางว่า  "ปติปูชิกา"


[ จุติจากมนุษยโลกแล้วไปเกิดในสวรรค์ ]
นางปติปูชิกาได้คอยดูแลโรงฉัน  จัดเตรียมน้ำฉันน้ำใช้  จัดปูอาสนะ (ที่นั่ง) เป็นประจำ

เมื่อมีชาวบ้านไปยังโรงฉันเพื่อจะถวายภัตตาหารแด่สงฆ์
ก็นำภัตตาหารเหล่านั้นมามอบให้นางจัดการ  แล้วกล่าวว่า
"แม่  ท่านช่วยจัดแจงภัตเหล่านี้ถวายแด่ภิกษุสงฆ์ด้วย"

นางเดินไปเดินมา  ช่วยงานอยู่ในโรงฉันนั้นตลอดเวลา

ต่อมา  นางได้ให้กำเนิดบุตร ๔ คน

ในวันหนึ่ง
นางถวายทาน  ทำการบูชา  ฟังธรรม  รักษาสิกขาบทอยู่ตลอดวัน
ในราตรีนั้นเอง  ก็ถึงแก่ความตายด้วยโรคชนิดหนึ่ง
แล้วไปบังเกิดในสำนักสามีเติมของตน (มาลาภารีเทพบุตร)


[ อายุของมนุษย์ประมาณ ๑๐๐ ปี ]
ในขณะที่นางกลับมาเป็นเทพธิดานั้นเอง
บรรดาเทพธิดาองค์อื่น ๆ ก็ยังคงอยู่ในสวนนั้น

มาลาภารีเทพบุตรเห็นนางนั้น  จึงถามว่า  "เธอหายหน้าไปตั้งแต่เช้า  เธอไปไหนมา"
เทพธิดา  "ดิฉันจุติ (เคลื่อนจากสวรรค์) ค่ะ  นาย"
เทพบุตร  "จริงหรือ"
เทพธิดา  "จริงจ้ะ  นาย"
เทพบุตร  "แล้วเธอไปเกิดที่ไหน"
เทพธิดา  "เกิดในเรือนหลังหนึ่ง  ในกรุงสาวัตถี"
เทพบุตร  "เธออยู่ในกรุงสาวัตถีนานแค่ไหน" 
เทพธิดา  "ข้าแต่นาย  ดิฉันออกจากท้องมารดาโดยกาลล่วงไป ๑๐ เตือน
ในเวลาอายุ ๑๖ ปี  ไปสู่ตระกูลสามี  คลอดบุตร ๔ คน
ดิฉันทำบุญ  มีการให้ทานเป็นต้น  ปรารถนาถึงนาย
บัดนี้  จึงได้มาบังเกิดอยู่กับนายตามเดิม"

เทพบุตร  "อายุของมนุษย์มีประมาณเท่าไร"
เทพธิดา  "ประมาณ ๑๐๐ ปี"
เทพบุตร  "เท่านั้นเองหรือ"
เทพธิดา  "ค่ะ  นาย"

เทพบุตร  "พวกมนุษย์มีอายุประมาณเท่านี้
แต่เป็นผู้ประมาทเหมือนหลับ  ปล่อยเวลาให้ล่วงไปหรือเปล่า
หรือเป็นผู้ที่ขวนขวายในบุญกุศล  มีการให้ทานและรักษาศีลเป็นต้นอยู่เสมอ"

เทพธิดา  "ไม่เลย  นาย
พวกมนุษย์ประมาทเป็นนิตย์
ประหนึ่งว่าจะมีอายุตั้งอสงไขย  ประหนึ่งว่าจะไม่แก่ไม่ตาย"

ความสังเวชเป็นอันมากได้เกิดขึ้นแก่มาลาภารีเทพบุตรว่า
"ทราบว่า  พวกมนุษย์มีอายุเพียงประมาณ ๑๐๐ ปี
แต่เป็นผู้ประมาทมัวเมาอยู่
แล้วเมื่อไรหนอจึงจะพ้นจากทุกข์ได้"


[ ๑๐๐ ปีของมนุษย์เท่ากับ ๑ วันในสวรรค์ ]
ก็ ๑๐๐ ปีของมนุษย์  เป็นคืนหนึ่งวันหนึ่งของพวกเทพบุตรชั้นดาวดึงส์
๓๐ ราตรีโดยราตรีนั้น  เป็นเดือนหนึ่ง
๑๒ เดือนโดยเดือนนั้น  เป็นปีหนึ่ง
๑,๐๐๐ ปีทิพย์  เป็นประมาณอายุของเทพบุตรชั้นดาวดึงส์
๑,๐๐๐ ปีทิพย์นั้นจึงเท่ากับ ๓๖ ล้านปีในมนุษย์

เพราะฉะนั้น  แม้วันเดียวของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ยังไม่ทันหมดไป
ได้เป็นกาลเช่นครู่เดียวเท่านั้น
ขึ้นชื่อว่าความประมาทของสัตว์ผู้มีอายุน้อยอย่างนี้  ไม่ควรอย่างยิ่ง


[ ชีวิตเป็นของน้อย ]
ในวันรุ่งขึ้น  พวกภิกษุเข้าไปยังหมู่บ้าน
เห็นโรงฉันยังไม่ได้จัด  อาสนะยังไม่ได้ปู  น้ำฉันยังไม่ได้ตั้งไว้
จึงกล่าวกับชาวบ้านละแวกนั้นว่า  "นางปติปูชิกาไปไหน"

ชาวบ้าน  "เมื่อวานนี้  หลังจากที่พระคุณเจ้าฉันเสร็จแล้วกลับไป
นางก็ถึงแก่ความตายในตอนเย็น"

ภิกษุที่ยังเป็นปุถุชนฟังคำนั้นแล้ว  ระลึกถึงอุปการะของนาง  ไม่อาจจะกลั้นน้ำตาไว้ได้
แต่พระขีณาสพได้ฟังแล้วเกิดธรรมสังเวชขึ้น

ครั้นภิกษุเหล่านั้นทำภัตกิจเสร็จแล้ว  กลับไปยังวิหาร
ได้เข้าเฝ้าพระศาสดา  แล้วกราบทูลถามว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
อุบาสิกาชื่อปติปูชิกา  ขวนขวายในการทำบุญมีประการต่าง ๆ
นางปรารถนาถึงสามีเท่านั้น
นางได้ถึงแก่ความตายแล้ว  บัดนี้ไปเกิด ณ  ที่ไหน  พระพุทธเจ้าข้า"

พระศาสดา  "ภิกษุทั้งหลาย  นางเกิดร่วมกับสามีของตนนั่นแหละ"

ภิกษุ  "พวกข้าพระองค์ไม่เห็นนางในเรือนของสามี  พระพุทธเจ้าข้า"

พระศาสดา  "ภิกษุทั้งหลาย  นางมิได้ปรารถนาถึงสามีในเรือนนั้น
มาลาภารีเทพบุตรในดาวดึงสพิภพ  เป็นสามีของนาง
ครั้งก่อน  นางจุติจากสวนที่ประดับดอกไม้ของสามีนั้นแล้ว
บัดนี้  กลับไปบังเกิดอยู่ร่วมกับสามีนั้นนั่นแลอีก"

ภิกษุ  "อย่างนั้นหรือ  พระพุทธเจ้าข้า"

พระศาสดา  "อย่างนั้น  ภิกษุทั้งหลาย"

ภิกษุ  "น่าสังเวชหนอ  ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายน้อยจริง  พระพุทธเจ้าข้า
เช้าตรู่  นางขวนขวายถวายทานแก่พวกข้าพระองค์
ตกตอนเย็น  นางได้ถึงแก่ความตายเสียแล้ว"

พระศาสดา  "อย่างนั้น  ภิกษุทั้งหลาย
ชื่อว่าชีวิตของสัตว์ทั้งหลายน้อยจริง
เหตุนั้นแล  มัจจุผู้กระทำซึ่งที่สุด
ได้กระทำสัตว์เหล่านี้ซึ่งไม่อิ่มด้วยวัตถุกามและกิเลสกามนั่นแล
ให้เป็นไปในอำนาจของตนแล้ว
ย่อมพาเอาสัตว์ที่คร่ำครวญร่ำไรไป"

ดังนี้แล้ว  ตรัสพระคาถานี้ว่า
       "ความตาย
ย่อมทำคนที่มีใจติดข้องอยู่ในอารมณ์ต่าง ๆ
ผู้มัวแต่เลือกเก็บดอกไม้อยู่
ผู้ไม่อิ่มในกามทั้งหลาย  ให้ตกอยู่ในอำนาจ"

ในกาลจบพระธรรมเทศนา
ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย  มีโสดาปัตติผลเป็นต้น
พระธรรมเทศนาได้มีประโยชน์แม้แก่บริษัทผู้ประชุมกันแล้ว  ดังนี้แล


ปติปูชิกาวัตถุ  จบ


บทความที่เกี่ยวข้อง
๑. ชีวิตแสนสั้น  กับสิ่งที่ตามมา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

พยสนสูตร (อังคุตตรนิกาย > ปัญจกนิบาต > ตติยปัณณาสก์ > คิลานวรรค)

กาลียักขินีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > ยมกวรรค)

ปฏาจาราเถรีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > สหัสสวรรค)