อัฏฐารสวัตถุกถา (มหาวรรค > โกสัมพิกขันธกะ)


อัฏฐารสวัตถุกถา  (ว่าด้วยเรื่องที่ก่อให้เกิดความแตกแยก ๑๘ ประการ)

สมัยนั้น  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่  ณ  โฆสิตาราม  เขตกรุงโกสัมพี

ครั้งนั้น  พวกภิกษุชาวกรุงโกสัมพีได้ก่อความบาดหมาง  ก่อความทะเลาะ  ก่อความวิวาท  ก่อความอื้อฉาว  ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์

ลำดับนั้น  พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปหาพวกภิกษุเหล่านั้นถึงที่อยู่
ประทับนั่งบนพุทธอาสน์ที่ปูไว้ได้ตรัสกับภิกษุเหล่านั้นดังนี้ว่า
"อย่าเลยภิกษุทั้งหลาย  พวกเธออย่าบาดหมาง  อย่าทะเลาะ  อย่าขัดแย้ง  อย่าวิวาทกันเลย"

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้
ภิกษุฝ่ายอธรรมวาทีรูปหนึ่งได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
"ขอพระผู้มีพระภาคผู้ทรงเป็นธรรมสามีทรงโปรดรอไปก่อน
ขอพระองค์จงทรงขวนขวายน้อย  ประกอบตามสุขวิหารธรรมในปัจจุบันอยู่เถิด
พวกข้าพระองค์จะปรากฏเพราะความบาดหมาง  ความทะเลาะ  ความขัดแย้ง  และความวิวาทนั้นเอง
พระพุทธเจ้าข้า"

แม้ครั้งที่  ๒  ฯลฯ

แม้ครั้งที่  ๓  พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับภิกษุเหล่านั้นดังนี้ว่า
"อย่าเลยภิกษุทั้งหลาย  พวกเธออย่าบาดหมาง  อย่าทะเลาะ  อย่าขัดแย้ง  อย่าวิวาทกันเลย"

ภิกษุอธรรมวาทีรูปนั้นก็ยังกราบทูลอีกเป็นครั้งที่  ๓  ว่า
"ขอพระผู้มีพระภาคผู้ทรงเป็นธรรมสามีทรงโปรดรอไปก่อน
ขอพระองค์จงทรงขวนขวายน้อย  ประกอบตามสุขวิหารธรรมในปัจจุบันอยู่เถิด
พวกข้าพระองค์จะปรากฏเพราะความบาดหมาง  ความทะเลาะ  ความขัดแย้ง  และความวิวาทนั้นเอง
พระพุทธเจ้าข้า"

ครั้งนั้นแล  พระผู้มีพระภาคทรงดำริว่า
"พวกโมฆบุรุษเหล่านี้ดื้อรั้นนัก  จะทำให้สามัคคีกันไม่ใช่ง่าย"
จึงทรงลุกจากอาสนะ  แล้วเสด็จจากไป

ครั้นเวลาเช้า  พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสก  ทรงถือบาตรและจีวร  เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในกรุงโกสัมพี
เสด็จกลับจากบิณฑบาต  ภายหลังเสวยเสร็จแล้ว  ทรงเก็บเสนาสนะ  ถือบาตรและจีวร  แล้วเสด็จจาริกไปทางกรุงสาวัตถี  ลุถึงกรุงสาวัตถีแล้ว
ทราบว่า  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่  ณ  พระเชตวัน  อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี  เขตกรุงสาวัตถีนั้น

ครั้งนั้น  พวกอุบาสกอุบาสิกาชาวกรุงโกสัมพีปรึกษากันว่า
"พวกภิกษุชาวกรุงโกสัมพีเหล่านี้ทำความพินาศใหญ่โตให้พวกเรา
พระผู้มีพระภาคถูกภิกษุพวกนี้รบกวน  จึงเสด็จหลีกไป
เอาละ  พวกเราจะไม่อภิวาท  ไม่ลุกรับ  ไม่ทำอัญชลีกรรม  สามีจิกรรม  ไม่สักการะ  ไม่เคารพ  ไม่นับถือ  ไม่คบหา  ไม่บูชาภิกษุชาวเมืองโกสัมพีพวกนี้
แม้พวกเธอเข้ามาบิณฑบาต  ก็จะไม่ถวายก้อนข้าว
ท่านพวกนี้เมื่อถูกพวกเราไม่สักการะ  ไม่เคารพ  ไม่นับถือ  ไม่คบหา  ไม่บูชา  เป็นผู้ไม่มีสักการะอย่างนี้  ก็จะพากันหลีกไป  สึกไป  หรือจะให้พระผู้มีพระภาคทรงโปรด"

ครั้งนั้น  อุบาสกและอุบาสิกาชาวกรุงโกสัมพีไม่อภิวาท  ไม่ลุกรับ  ไม่ทำอัญชลีกรรม  สามีจิกรรม  ไม่สักการะ  ไม่เคารพ  ไม่นับถือ  ไม่คบหา  ไม่บูชาพวกภิกษุชาวกรุงโกสัมพี
แม้พวกภิกษุชาวกรุงโกสัมพีเข้ามาบิณฑบาต  ก็ไม่ถวายก้อนข้าว

ครั้งนั้น  พวกภิกษุชาวกรุงโกสัมพีพูดกันอย่างนี้ว่า
"ท่านทั้งหลาย  เอาเถิด  พวกเราพึงเดินทางไปกรุงสาวัตถี
แล้วระงับอธิกรณ์นี้ในสำนักของพระผู้มีพระภาค"

ต่อมา  พวกภิกษุชาวกรุงโกสัมพีเก็บเสนาสนะ  แล้วถือบาตรและจีวร  พากันเดินทางไปกรุงสาวัตถี

ท่านพระสารีบุตรได้ทราบข่าวว่า
"พวกภิกษุชาวกรุงโกสัมพีผู้ก่อความบาดหมาง  ก่อความทะเลาะ  ก่อความวิวาท  ก่อความอื้อฉาว  ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้นกำลังเดินทางมาสู่กรุงสาวัตถี"
จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค  ณ  ที่ประทับ  ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้วนั่งอยู่  ณ  ที่สมควร  ได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่
"พระพุทธเจ้าข้า  ทราบว่าพวกภิกษุชาวกรุงโกสัมพีผู้ก่อความบาดหมาง  ก่อความทะเลาะ  ก่อความวิวาท  ก่อความอื้อฉาว  ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้นกำลังเดินทางมาสู่กรุงสาวัตถี
ข้าพระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเธออย่างไร  พระพุทธเจ้าข้า"

พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า
"สารีบุตร  เธอจงวางตนอยู่อย่างชอบธรรมเถิด"

ท่านพระสารีบุตรกราบทูลถามว่า
"ข้าพระองค์จะพึงรู้ได้อย่างไรว่าชอบธรรมหรือไม่ชอบธรรม  พระพุทธเจ้าข้า"


[ ลักษณะของภิกษุผู้เป็นอธรรมวาที ๑๘ อย่าง ]
พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า
"สารีบุตร  เธอพึงรู้จักอธรรมวาทีภิกษุด้วยวัตถุ ๑๘ ประการ  คือ
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑. แสดงอธรรม  ว่าเป็นธรรม
๒. แสดงธรรม  ว่าเป็นอธรรม
๓. แสดงสิ่งมิใช่วินัย  ว่าเป็นวินัย
๔. แสดงวินัย  ว่ามิใช่วินัย
๕. แสดงสิ่งที่ตถาคตไม่ได้ภาษิตไว้  ไม่ได้กล่าวไว้  ว่าตถาคตได้ภาษิตไว้  ได้กล่าวไว้
๖. แสดงสิ่งที่ตถาคตได้ภาษิตไว้  ได้กล่าวไว้  ว่าตถาคตไม่ได้ภาษิตไว้  ไม่ได้กล่าวไว้
๗. แสดงจริยาวัตรที่ตถาคตไม่ได้ประพฤติมา  ว่าตถาคตได้ประพฤติมา
๘. แสดงจริยาวัตรที่ตถาคตประพฤติมา  ว่าตถาคตไม่ได้ประพฤติมา
๙. แสดงสิ่งที่ตถาคตไม่ได้บัญญัติไว้  ว่าตถาคตได้บัญญัติไว้
๑๐. แสดงสิ่งที่ตถาคตได้บัญญัติไว้  ว่าตถาคตไม่ได้บัญญัติไว้
๑๑. แสดงอนาบัติ  ว่าเป็นอาบัติ
๑๒. แสดงอาบัติ  ว่าเป็นอนาบัติ
๑๓. แสดงอาบัติเบา  ว่าเป็นอาบัติหนัก
๑๔. แสดงอาบัติหนัก  ว่าเป็นอาบัติเบา
๑๕. แสดงอาบัติที่มีส่วนเหลือ  ว่าเป็นอาบัติที่ไม่มีส่วนเหลือ
๑๖. แสดงอาบัติที่ไม่มีส่วนเหลือ  ว่าเป็นอาบัติที่มีส่วนเหลือ
๑๗. แสดงอาบัติชั่วหยาบ  ว่าเป็นอาบัติไม่ชั่วหยาบ
๑๘. แสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบ  ว่าเป็นอาบัติชั่วหยาบ
สารีบุตร  เธอพึงรู้จักอธรรมวาทีภิกษุด้วยวัตถุ ๑๘ ประการนี้แล


[ ลักษณะของภิกษุผู้เป็นธรรมวาที ๑๘ อย่าง ] 
สารีบุตร  เธอพึงรู้จักธรรมวาทีภิกษุด้วยวัตถุ ๑๘ ประการ  คือ
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑. แสดงอธรรม  ว่าเป็นอธรรม
๒. แสดงธรรม  ว่าเป็นธรรม
๓. แสดงสิ่งที่มิใช่วินัย  ว่ามิใช่วินัย
๔. แสดงวินัย  ว่าเป็นวินัย
๕. แสดงสิ่งที่ตถาคตไม่ได้ภาษิตไว้  ไม่ได้กล่าวไว้  ว่าตถาคตไม่ได้ภาษิตไว้  ไม่ได้กล่าวไว้
๖. แสดงสิ่งที่ตถาคตได้ภาษิตไว้  ได้กล่าวไว้  ว่าตถาคตได้ภาษิตไว้  ได้กล่าวไว้
๗. แสดงจริยาวัตรที่ตถาคตไม่ได้ประพฤติมา  ว่าตถาคตไม่ได้ประพฤติมา
๘. แสดงจริยาวัตรที่ตถาคตประพฤติมา  ว่าตถาคตได้ประพฤติมา
๙. แสดงสิ่งที่ตถาคตไม่ได้บัญญัติไว้  ว่าตถาคตไม่ได้บัญญัติไว้
๑๐. แสดงสิ่งที่ตถาคตได้บัญญัติไว้  ว่าตถาคตได้บัญญัติไว้
๑๑. แสดงอนาบัติ  ว่าเป็นอนาบัติ
๑๒. แสดงอาบัติ  ว่าเป็นอาบัติ
๑๓. แสดงอาบัติเบา  ว่าเป็นอาบัติเบา
๑๔. แสดงอาบัติหนัก  ว่าเป็นอาบัติหนัก
๑๕. แสดงอาบัติที่มีส่วนเหลือ  ว่าเป็นอาบัติที่มีส่วนเหลือ
๑๖. แสดงอาบัติที่ไม่มีส่วนเหลือ  ว่าเป็นอาบัติที่ไม่มีส่วนเหลือ
๑๗. แสดงอาบัติชั่วหยาบ  ว่าเป็นอาบัติชั่วหยาบ
๑๘. แสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบ  ว่าเป็นอาบัติไม่ชั่วหยาบ
สารีบุตร  เธอพึงรู้จักธรรมวาทีภิกษุด้วยวัตถุ ๑๘ ประการนี้แล


[ พระเถระรูปอื่นกราบทูลถามถึงวิธีปฏิบัติ ] 
ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ทราบข่าวว่า  ฯลฯ
ท่านพระมหากัสสปะได้ทราบข่าวว่า  ฯลฯ
ท่านพระมหากัจจานะได้ทราบข่าวว่า  ฯลฯ
ท่านพระมหาโกฏฐิตะได้ทราบข่าวว่า  ฯลฯ
ท่านพระมหากัปปินะได้ทราบข่าวว่า  ฯลฯ
ท่านพระมหาจุนทะได้ทราบข่าวว่า  ฯลฯ
ท่านพระอนุรุทธะได้ทราบข่าวว่า  ฯลฯ
ท่านพระเรวตะได้ทราบข่าวว่า  ฯลฯ
ท่านพระอุบาลีได้ทราบข่าวว่า  ฯลฯ
ท่านพระอานนท์ได้ทราบข่าวว่า  ฯลฯ
ท่านพระราหุลได้ทราบข่าวว่า
"พวกภิกษุชาวกรุงโกสัมพีผู้ก่อความบาดหมาง  ก่อความทะเลาะ  ก่อความวิวาท  ก่อความอื้อฉาว  ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้นกำลังเดินทางมาสู่กรุงสาวัตถี"
จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค  ณ  ที่ประทับ  ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้วนั่งอยู่  ณ  ที่สมควร  ได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่
"พระพุทธเจ้าข้า  ทราบว่าพวกภิกษุชาวกรุงโกสัมพีผู้ก่อความบาดหมาง  ก่อความทะเลาะ  ก่อความวิวาท  ก่อความอื้อฉาว  ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้นกำลังเดินทางมาสู่กรุงสาวัตถี
ข้าพระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเธออย่างไร  พระพุทธเจ้าข้า"

พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า
"ราหุล  เธอจงวางตนอยู่อย่างชอบธรรมเถิด"

ท่านพระราหุลกราบทูลถามว่า
"ข้าพระองค์จะพึงรู้ได้อย่างไรว่าชอบธรรมหรือไม่ชอบธรรม  พระพุทธเจ้าข้า"

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
"ราหุล  เธอพึงรู้จักอธรรมวาทีภิกษุเพราะวัตถุ ๑๘ ประการ  ฯลฯ
ราหุล  เธอพึงรู้จักอธรรมวาทีภิกษุเพราะวัตถุ ๑๘ ประการนี้แล
ราหุล  เธอพึงรู้จักธรรมวาทีภิกษุเพราะวัตถุ ๑๘ ประการ  ฯลฯ
ราหุล  เธอพึงรู้จักธรรมวาทีภิกษุเพราะวัตถุ ๑๘ ประการนี้แล"


[ พระนางมหาปชาบดีโคตมีกราบทูลถามวิธีปฏิบัติ ]
พระนางมหาปชาบดีโคตมีได้ทราบข่าวว่า
"พวกภิกษุชาวกรุงโกสัมพีผู้ก่อความบาดหมาง  ก่อความทะเลาะ  ก่อความวิวาท  ก่อความอื้อฉาว  ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้นกำลังเดินทางมาสู่กรุงสาวัตถี"
จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค  ณ  ที่ประทับ  ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้วนั่งอยู่  ณ  ที่สมควร  ได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่
"พระพุทธเจ้าข้า  ทราบว่าพวกภิกษุชาวกรุงโกสัมพีผู้ก่อความบาดหมาง  ก่อความทะเลาะ  ก่อความวิวาท  ก่อความอื้อฉาว  ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้นกำลังเดินทางมาสู่กรุงสาวัตถี
หม่อมฉันจะปฏิบัติต่อภิกษุเหล่านั้นอย่างไร  พระพุทธเจ้าข้า"

พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า
"โคตมี  บรรดาภิกษุทั้งฝ่ายธรรมวาทีและฝ่ายอธรรมวาที
เธอจงฟังธรรมในภิกษุทั้ง ๒ ฝ่าย
ครั้นฟังแล้ว  จงพอใจความเห็น  ความถูกใจ  ความชอบใจ  และความเชื่อถือของพวกภิกษุฝ่ายธรรมวาที
อนึ่ง  วัตรที่ภิกษุณีสงฆ์พึงหวังจากภิกษุสงฆ์ทุกอย่างนั้น
ก็พึงหวังจากภิกษุฝ่ายธรรมวาทีเท่านั้น"


[ อนาถบิณฑิกคหบดีกราบทูลถามวิธีปฏิบัติ ]
อนาถบิณฑิกคหบดีได้ทราบข่าวว่า
"พวกภิกษุชาวกรุงโกสัมพีผู้ก่อความบาดหมาง  ก่อความทะเลาะ  ก่อความวิวาท  ก่อความอื้อฉาว  ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้นกำลังเดินทางมาสู่กรุงสาวัตถี"
จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค  ณ  ที่ประทับ  ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้วนั่งอยู่  ณ  ที่สมควร  ได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
"พระพุทธเจ้าข้า  ทราบว่าพวกภิกษุชาวกรุงโกสัมพีผู้ก่อความบาดหมาง  ก่อความทะเลาะ  ก่อความวิวาท  ก่อความอื้อฉาว  ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้นกำลังเดินทางมาสู่กรุงสาวัตถี
ข้าพระองค์จะปฏิบัติต่อภิกษุเหล่านั้นอย่างไร  พระพุทธเจ้าข้า"

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
"คหบดี  ท่านจงถวายทานในภิกษุทั้งสองฝ่าย
ครั้นแล้วจงฟังธรรมในภิกษุทั้งสองฝ่าย
แล้วจงพอใจความเห็น  ความถูกใจ  ความชอบใจ  และความเชื่อถือของพวกภิกษุฝ่ายธรรมวาทีเท่านั้น"


[ นางวิสาขากราบทูลถามวิธีปฏิบัติ ]
นางวิสาขามิคารมาตาได้ทราบข่าวว่
"พวกภิกษุชาวกรุงโกสัมพีผู้ก่อความบาดหมาง  ก่อความทะเลาะ  ก่อความวิวาท  ก่อความอื้อฉาว  ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้นกำลังเดินทางมาสู่กรุงสาวัตถี"
จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค  ณ  ที่ประทับ  ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้วนั่งอยู่  ณ  ที่สมควร  ได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
"พระพุทธเจ้าข้า  ทราบว่าพวกภิกษุชาวกรุงโกสัมพีผู้ก่อความบาดหมาง  ก่อความทะเลาะ  ก่อความวิวาท  ก่อความอื้อฉาว  ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้นกำลังเดินทางมาสู่กรุงสาวัตถี
หม่อมฉันจะปฏิบัติต่อภิกษุเหล่านั้นอย่างไร  พระพุทธเจ้าข้า"

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
"วิสาขา  เธอจงถวายทานในภิกษุทั้งสองฝ่าย
ครั้นแล้วจงฟังธรรมในภิกษุทั้งสองฝ่าย
แล้วจงพอใจความเห็น  ความถูกใจ  ความชอบใจ  และความเชื่อถือของพวกภิกษุฝ่ายธรรมวาทีเท่านั้น"


[ เรื่องให้เสนาสนะที่ว่างแก่พวกภิกษุจากกรุงโกสัมพี ]
ครั้งนั้น  พวกภิกษุชาวกรุงโกสัมพีได้เดินทางไปโดยลำดับ  จนถึงกรุงสาวัตถี
ท่านพระสารีบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค  ณ  ที่ประทับ  ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้วนั่งอยู่  ณ  ที่สมควร
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
"พระพุทธเจ้าข้า  ทราบว่าพวกภิกษุชาวกรุงโกสัมพีผู้ก่อความบาดหมาง  ก่อความทะเลาะ  ก่อความวิวาท  ก่อความอื้อฉาว  ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้นกำลังเดินทางมาสู่กรุงสาวัตถี
ข้าพระองค์จะจัดเสนาสนะต่อพวกเธออย่างไร  พระพุทธเจ้าข้า"

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  "สารีบุตร  เธอพึงให้เสนาสนะที่ว่าง"

[ เรื่องจัดเสนาสนะให้ว่างสำหรับพวกภิกษุจากกรุงโกสัมพี ]
ท่านพระสารีบุตรกราบทูลถามว่
"ก็ถ้าไม่มีเสนาสนะว่าง  จะปฏิบัติอย่างไร  พระพุทธเจ้าข้า"

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
"สารีบุตร  ถ้าอย่างนั้น  เธอพึงจัดเสนาสนะให้ว่างแล้วให้
แต่เราไม่กล่าวว่า  'พึงห้ามเสนาสนะแก่ภิกษุผู้มีพรรษามากโดยปริยายไร ๆ'
เพราะผู้ใดห้าม  ต้องอาบัติทุกกฏ"

[ เรื่องให้อามิสเท่า ๆ กัน ]
ท่านพระสารีบุตรกราบทูลถามว่า
"ในอามิส  จะปฏิบัติอย่างไร  พระพุทธเจ้าข้า"

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
"สารีบุตร  พึงแบ่งอามิสให้ภิกษุเท่า ๆ กันทุกรูป"

อัฏฐารสวัตถุกถา  จบ



บทความที่เกี่ยวข้อง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

พยสนสูตร (อังคุตตรนิกาย > ปัญจกนิบาต > ตติยปัณณาสก์ > คิลานวรรค)

กาลียักขินีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > ยมกวรรค)

ปฏาจาราเถรีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > สหัสสวรรค)