จังกีสูตร (มัชฌิมนิกาย > มัชฌิมปัณณาสก์ > พราหมณวรรค)


จังกีสูตร  (ว่าด้วยพราหมณ์ชื่อจังกี)

สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในแคว้นโกศล  พร้อมกับภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่  เสด็จถึงบ้านพราหมณ์ชื่อโอปาสาทะของชาวโกศล  ประทับอยู่  ณ  ป่าไม้สาละชื่อเทพวัน  ทางทิศเหนือแห่งบ้านพราหมณ์ชื่อโอปาสาทะ

สมัยนั้นแล  พราหมณ์ชื่อจังกี  ปกครองบ้านพราหมณ์ชื่อโอปาสาทะ  ซึ่งมีประชากรและสัตว์เลี้ยงมากมาย  มีพืชพันธุ์ธัญญาหารและน้ำหญ้าอุดมสมบูรณ์  เป็นพระราชทรัพย์ที่พระเจ้าปเสนทิโกศลพระราชทานปูนบำเหน็จให้เป็นพรหมไทย
(พรหมไทย  หมายถึงสิ่งที่ให้แก่บุคคลผู้ประเสริฐ  รางวัลที่ประกอบด้วยอำนาจเต็มเหนือบ้านนั้น)

พราหมณ์และคหบดีชาวบ้านโอปาสาทะได้ฟังข่าวว่า
"ได้ยินว่า  ท่านพระสมณโคดมเป็นศากยบุตร  เสด็จออกผนวชจากศากยตระกูล  เสด็จจาริกอยู่ในแคว้นโกศล  พร้อมด้วยภิกษุหมู่ใหญ่  เสด็จถึงบ้านพราหมณ์ชื่อโอปาสาทะโดยลำดับ  ประทับอยู่  ณ  ป่าไม้สาละชื่อเทพวัน  ทางทิศเหนือแห่งบ้านพราหมณ์ชื่อโอปาสาทะ
ท่านพระสมณโคดมพระองค์นั้นมีกิตติศัพท์อันงามขจรไปอย่างนี้ว่า  'แม้เพราะเหตุนี้  พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์  ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ  เพียบพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ  เสด็จไปดี  รู้แจ้งโลก  เป็นสารถีฝึกผู้ที่ควรฝึกได้อย่างยอดเยี่ยม  เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย  เป็นพระพุทธเจ้า  เป็นพระผู้มีพระภาค'
พระองค์ทรงรู้แจ้งโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก  มารโลก  พรหมโลก  และหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์  เทวดาและมนุษย์ด้วยพระองค์เอง  แล้วทรงประกาศให้ผู้อื่นรู้ตาม
ทรงแสดงธรรมมีความงามในเบื้องต้น  มีความงามในท่ามกลาง  และมีความงามในที่สุด  ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถและพยัญชนะบริสุทธิ์บริบูรณ์ครบถ้วน
การได้พบพระอรหันต์ทั้งหลายเช่นนี้เป็นความดีอย่างแท้จริง"

ครั้งนั้นแล  พราหมณ์และคหบดีชาวบ้านพราหมณ์ชื่อโอปาสาทะ  ออกจากบ้านพราหมณ์ชื่อโอปาสาทะรวมกันเป็นหมู่  ไปยังป่าไม้สาละชื่อเทพวันทางทิศเหนือ

สมัยนั้น  จังกีพราหมณ์พักผ่อนกลางวันอยู่  ณ  ปราสาทชั้นบน  มองเห็นพราหมณ์และคหบดีชาวบ้านพราหมณ์ชื่อโอปาสาทะซึ่งล้วนออกจากบ้านพราหมณ์ชื่อโอปาสาทะเดินรวมกันเป็นหมู่  ไปทางทิศเหนือ  เข้าไปยังป่าไม้สาละชื่อเทพวัน  จึงเรียกอำมาตย์ที่ปรึกษามาถามว่า
"พ่ออำมาตย์  พราหมณ์และคหบดีชาวบ้านพราหมณ์ชื่อโอปาสาทะ  ออกจากบ้านพราหมณ์ชื่อโอปาสาทะเดินรวมกันเป็นหมู่  ไปทางทิศเหนือ  เข้าไปยังป่าไม้สาละชื่อเทพวัน  ทำไมกัน"

อำมาตย์ที่ปรึกษาตอบว่า
"ข้าแต่ท่านจังกี  พระสมณโคดมเป็นศากยบุตรเสด็จออกผนวชจากศากยตระกูล  เสด็จจาริกอยู่ในแคว้นโกศลพร้อมด้วยภิกษุหมู่ใหญ่  เสด็จถึงบ้านพราหมณ์ชื่อโอปาสาทะโดยลำดับ  ประทับอยู่  ณ  ป่าไม้สาละชื่อเทพวัน  ทางทิศเหนือแห่งบ้านพราหมณ์ชื่อโอปาสาทะ
ท่านพระโคดมพระองค์นั้นมีกิตติศัพท์อันงามขจรไปอย่างนี้ว่า  'แม้เพราะเหตุนี้พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  เป็นพระอรหันต์  ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ  เพียบพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ  เสด็จไปดี  รู้แจ้งโลก  เป็นสารถีฝึกผู้ที่ควรฝึกได้อย่างยอดเยี่ยม  เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย  เป็นพระพุทธเจ้า  เป็นพระผู้มีพระภาค'
พราหมณ์และคหบดีเหล่านั้นพากันไปเข้าเฝ้าท่านพระโคดมนั้น"

จังกีพราหมณ์กล่าวว่า
"พ่ออำมาตย์  ถ้าเช่นนั้น  ท่านจงไปหาพวกพราหมณ์และคหบดีชาวบ้านพราหมณ์ชื่อโอปาสาทะแล้วบอกอย่างนี้ว่า  'ท่านขอรับ  จังกีพราหมณ์พูดว่า  'ขอท่านผู้เจริญทั้งหลายจงรอก่อน  แม้จังกีพราหมณ์ก็จะไปเข้าเฝ้าพระสมณโคดมด้วย"

อำมาตย์ที่ปรึกษารับคำของจังกีพราหมณ์แล้ว  เข้าไปหาพวกพราหมณ์และคหบดีชาวบ้านพราหมณ์ชื่อโอปาสาทะแล้วก็บอกว่า
"ท่านขอรับ  จังกีพราหมณ์พูดว่า  'ขอท่านผู้เจริญทั้งหลายจงรอก่อน  แม้จังกีพราหมณ์ก็จะไปเข้าเฝ้าพระสมณโคดมด้วย"


[ ความเป็นผู้ดีของจังกีพราหมณ์ ]
เวลานั้น  พราหมณ์ต่างถิ่น ๕๐๐ คนมีธุระเดินทางมาพักอยู่ในบ้านพราหมณ์ชื่อโอปาสาทะ  พอได้ฟังว่าจังกีพราหมณ์จักไปเข้าเฝ้าพระสมณโคดมด้วย  จึงพากันเข้าไปหาจังกีพราหมณ์ถึงที่อยู่  แล้วถามว่า
"ท่านจังกีจักไปเข้าเฝ้าพระสมณโคดมจริงหรือ"

จังกีพราหมณ์ตอบว่า  "จริง  เราคิดจะไปเข้าเฝ้าพระสมณโคดม"

พวกพราหมณ์ห้ามว่า
"ท่านจังกีอย่าได้ไปเข้าเฝ้าพระสมณโคดมเลย
ท่านจังกีไม่ควรไปเข้าเฝ้าพระสมณโคดม
พระสมณโคดมต่างหากควรจะเสด็จมาหาท่านจังกี
เพราะว่าท่านจังกีเป็นผู้มีชาติกำเนิดดีทั้งฝ่ายมารดาและฝ่ายบิดา  ถือปฏิสนธิบริสุทธิ์ดีตลอด ๗ ชั่วบรรพบุรุษ  ไม่มีใครจะคัดค้านตำหนิได้เพราะอ้างถึงชาติตระกูล
ด้วยเหตุนี้  ท่านจังกีจึงไม่ควรไปเข้าเฝ้าพระสมณโคดม
พระสมณโคดมต่างหากควรเสด็จมาหาท่านจังกี

อนึ่ง  ท่านจังกีเป็นคนมั่งคั่ง  มีทรัพย์มาก  มีโภคะมาก  ฯลฯ

ท่านจังกีเป็นผู้จบไตรเพท  พร้อมทั้งนิฆัณฑุศาสตร์  เกฏุภศาสตร์  อักษรศาสตร์  และประวัติศาสตร์  เข้าใจตัวบทและไวยากรณ์  ชำนาญโลกายตศาสตร์และลักษณะมหาบุรุษ  ฯลฯ

ท่านจังกีเป็นผู้มีรูปงาม  น่าดู  น่าเลื่อมใส  มีผิวพรรณผุดผ่องยิ่งนัก  ดุจพรหม  มีกายดุจพรหม  โอกาสที่จะได้พบเห็นยากนัก  ฯลฯ

ท่านจังกีเป็นผู้มีศีล  มีศีลที่เจริญ  ประกอบด้วยศีลที่เจริญ  ฯลฯ

ท่านจังกีเป็นผู้มีวาจาไพเราะสุภาพ  ประกอบด้วยถ้อยคำอ่อนหวานอย่างชาวเมือง  นุ่มนวล  เข้าใจง่าย  ฯลฯ

ท่านจังกีเป็นอาจารย์และปาจารย์ของหมู่ชน  สอนมนตร์แก่มาณพ ๓๐๐ คน  ฯลฯ

ท่านจังกีเป็นผู้ที่พระเจ้าปเสนทิโกศลสักการะ  เคารพ  นับถือ  บูชา  นอบน้อม  ฯลฯ

ท่านจังกีเป็นผู้ที่พราหมณ์ชื่อโปกขรสาติสักการะ  เคารพ  นับถือ  นอบน้อม  ฯลฯ

ท่านจังกีปกครองบ้านพราหมณ์ชื่อโอปาสาทะ  ซึ่งมีประชากรและสัตว์เลี้ยงมากมาย  มีพืชพันธุ์ธัญญาหารและน้ำหญ้าอุดมสมบูรณ์  เป็นพระราชทรัพย์ที่พระเจ้าปเสนทิโกศลพระราชทานปูนบำเหน็จให้เป็นพรหมไทย
ด้วยเหตุนี้  ท่านจังกีจึงไม่ควรไปเข้าเฝ้าพระสมณโคดม
พระสมณโคดมต่างหากควรจะเสด็จมาหาท่านจังกี"

[ สรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้า ]
เมื่อพวกพราหมณ์กล่าวอย่างนี้แล้ว  จังกีพราหมณ์ได้กล่าวว่า
"ท่านทั้งหลาย  ถ้าเช่นนั้น  พวกท่านจงฟังเราบ้าง
เรานี่แหละควรไปเข้าเฝ้าท่านพระโคดม
ท่านพระโคดมไม่ควรเสด็จมาหาเรา

ได้ทราบว่า  ท่านพระสมณโคดมทรงเป็นผู้มีพระชาติกำเนิดดีทั้งฝ่ายพระชนนีและฝ่ายพระชนก  ทรงถือปฏิสนธิบริสุทธิ์ดีตลอด ๗ ชั่วบรรพบุรุษ  ไม่มีใครจะคัดค้านตำหนิได้เพราะอ้างถึงชาติตระกูล
ด้วยเหตุนี้  ท่านพระโคดมจึงไม่ควรเสด็จมาหาเรา
เราต่างหากควรไปเข้าเฝ้าท่านพระโคดม

ได้ทราบว่า  พระสมณโคดมทรงสละเงินทองมากมายทั้งที่ฝังอยู่ในพื้นดินและในอากาศ  ผนวชแล้ว  ฯลฯ

พระสมณโคดมกำลังหนุ่มแน่น  มีพระเกศาดำสนิท  ทรงพระเจริญอยู่ในปฐมวัย  เสด็จออกจากพระราชวัง  ผนวชเป็นบรรพชิต  ฯลฯ

เมื่อพระชนนีและพระชนกไม่ทรงปรารถนา (จะให้เสด็จออกผนวช)  มีน้ำพระเนตรชุ่มพระพักตร์ทรงกันแสงอยู่  พระสมณโคดมทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุ  แล้วครองผ้ากาสาวพัสตร์  เสด็จออกจากพระราชวังผนวชเป็นบรรพชิต  ฯลฯ

พระสมณโคดมทรงมีพระรูปงดงาม  น่าดู  น่าเลื่อมใส  มีพระฉวีวรรณผุดผ่องยิ่งนักดุจพรหม  มีพระวรกายดุจพรหม  โอกาสที่จะได้พบเห็นยากนัก  ฯลฯ

พระสมณโคดมทรงมีอริยศีล  มีศีลที่เป็นกุศล  ประกอบด้วยศีลที่เป็นกุศล  ฯลฯ

พระสมณโคดมทรงมีพระวาจาไพเราะ  สุภาพ  ประกอบด้วยถ้อยคำอ่อนหวานอย่างชาวเมือง  นุ่มนวล  เข้าใจง่าย  ฯลฯ

พระสมณโคดมทรงเป็นอาจารย์และปาจารย์ของหมู่ชนมากมาย  ฯลฯ

พระสมณโคดมทรงสิ้นกามราคะ  ไม่ประดับตกแต่ง  ฯลฯ

พระสมณโคดมทรงเป็นกรรมวาที  เป็นกิริยวาที  ไม่ทรงมุ่งร้ายต่อพราหมณ์  ฯลฯ

พระสมณโคดมผนวชแล้วจากตระกูลสูง  คือขัตติยตระกูลอันบริสุทธิ์  ฯลฯ

พระสมณโคดมผนวชแล้วจากตระกูลมั่งคั่ง  มีทรัพย์มาก  มีโภคะมาก  ฯลฯ

ประชาชนต่างบ้านต่างเมืองพากันมาทูลถามปัญหาพระสมณโคดม  ฯลฯ

ทวยเทพหลายพันองค์ถวายชีวิตขอถึงพระสมณโคดมเป็นที่พึ่ง  ฯลฯ

พระสมณโคดมทรงมีกิตติศัพท์อันงามขจรไปอย่างนี้ว่า
'แม้เพราะเหตุนี้  พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ ... เป็นพระพุทธเจ้า  เป็นพระผู้มีพระภาค'  ฯลฯ

พระสมณโคดมทรงประกอบด้วยลักษณะมหาบุรุษ ๓๒ ประการ  ฯลฯ

พระเจ้าพิมพิสาร  จอมทัพมคธ  พร้อมทั้งพระราชโอรสและพระมเหสี  ทรงถวายชีวิตถึงพระสมณโคดมเป็นสรณะ  ฯลฯ

พระเจ้าปเสนทิโกศลพร้อมทั้งพระราชโอรสและพระมเหสี  ทรงถวายชีวิตถึงพระสมณโคดมเป็นสรณะ  ฯลฯ

โปกขรสาติพราหมณ์พร้อมทั้งบุตรภรรยา  ก็ได้ถวายชีวิตถึงพระสมณโคดมเป็นสรณะ  ฯลฯ

พระสมณโคดมเสด็จถึงบ้านพราหมณ์ชื่อโอปาสาทะโดยลำดับ  ประทับอยู่  ณ  ป่าไม้สาละชื่อเทพวัน  ทางทิศเหนือแห่งบ้านพราหมณ์ชื่อโอปาสาทะ

สมณพราหมณ์ที่มาสู่เขตหมู่บ้านของเราจัดว่าเป็นแขกของเรา  ซึ่งพวกเราควรสักการะ  เคารพ  นับถือ  บูชา
พระสมณโคดมเสด็จมาถึงบ้านพราหมณ์ชื่อโอปาสาทะโดยลำดับ  ประทับอยู่  ณ  ป่าไม้สาละชื่อเทพวัน  ทางทิศเหนือแห่งบ้านพราหมณ์ชื่อโอปาสาทะ
พระสมณโคดมจึงจัดว่าเป็นแขกของเรา  ที่พวกเราควรสักการะ  เคารพ  นับถือ  บูชา
ด้วยเหตุนี้  พระสมณโคดมจึงไม่ควรเสด็จมาหาเรา
เราต่างหากควรไปเข้าเฝ้าพระสมณโคดม

เราทราบพระคุณของพระสมณโคดมเพียงเท่านี้
แต่พระสมณโคดมไม่ใช่ว่าจะมีพระคุณเพียงเท่านี้
แท้จริงแล้ว  พระสมณโคดมมีพระคุณนับประมาณมิได้
ถึงแม้ท่านพระโคดมทรงประกอบด้วยองค์คุณบางอย่าง  ก็ไม่ควรเสด็จมาหาเรา
โดยที่แท้  เราต่างหากควรไปเข้าเฝ้าพระสมณโคดม"

หลังจากนั้น  จังกีพราหมณ์ได้กล่าวเชิญว่า
"ท่านทั้งหลาย  ถ้าเช่นนั้น  พวกเราทั้งหมดจักไปเข้าเฝ้าพระสมณโคดมด้วยกัน"


[ มาณพชื่อกาปทิกะทูลถามมนตร์ ]
ครั้งนั้น  จังกีพราหมณ์พร้อมด้วยคณะพราหมณ์หมู่ใหญ่  เข้าไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ  ได้สนทนาปราศรัยพอเป็นที่บันเทิงใจ  พอเป็นที่ระลึกถึงกัน  แล้วนั่ง  ณ  ที่สมควร

สมัยนั้น  พระผู้มีพระภาคประทับนั่งแล้วทรงปฏิสันถารเรื่องบางเรื่องพอเป็นที่ระลึกถึงกันกับพราหมณ์ทั้งหลายผู้แก่เฒ่า

สมัยนั้น  มาณพชื่อกาปทิกะยังเป็นหนุ่ม  โกนศีรษะ  มีอายุ ๑๖ ปีนับแต่เกิดมา  เป็นผู้จบไตรเพท  พร้อมทั้งนิฆัณฑุศาสตร์  เกฏุภศาสตร์  อักษรศาสตร์และประวัติศาสตร์  เป็นผู้เข้าใจตัวบทและไวยากรณ์  ชำนาญคัมภีร์โลกายตศาสตร์และลักษณะมหาบุรุษ  นั่งอยู่ในบริษัทนั้นด้วย
เขาได้พูดสอดขึ้นในระหว่างที่พราหมณ์ทั้งหลายผู้แก่เฒ่ากำลังสนทนากันอยู่กับพระผู้มีพระภาค

ลำดับนั้น  พระผู้มีพระภาคทรงห้ามกาปทิกมาณพว่า
"ภารทวาชะผู้มีอายุ  เจ้าอย่าพูดแทรกขึ้นในระหว่างที่พราหมณ์ทั้งหลายผู้แก่เฒ่ากำลังสนทนากันอยู่  จงรอให้เขาพูดจบเสียก่อน"

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว  จังกีพราหมณ์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
"ท่านพระโคดม  อย่าทรงห้ามกาปทิกมาณพเลย
กาปทิกมาณพเป็นบุตรของผู้มีสกุล  เป็นพหูสูต  เป็นบัณฑิต  เจราจาถ้อยคำไพเราะ  และสามารถจะเจรจาโต้ตอบในคำนั้นกับท่านพระโคดมได้"

ลำดับนั้น  พระผู้มีพระภาคทรงพระดำริว่า
"กาปทิกมาณพจักสำเร็จการศึกษาในปาพจน์คือไตรเพทเป็นแน่แท้  พราหมณ์ทั้งหลายจึงพากันยกย่องเขาถึงเพียงนั้น"

ครั้งนั้น  กาปทิกมาณพได้คิดว่า  "เมื่อใด  พระสมณโคดมจักทอดพระเนตรสบตาเรา  เมื่อนั้น  เราจักทูลถามปัญหากับพระสมณโคดม"

ครั้งนั้นแล  พระผู้มีพระภาคทรงทราบความคิดคำนึงของกาปทิกมาณพด้วยจิตของพระองค์  จึงทรงทอดพระเนตรไปทางที่กาปทิกมาณพนั่งอยู่

ครั้งนั้นแล  กาปทิกมาณพได้คิดว่า
"พระสมณโคดมทรงสนพระทัยเราอยู่  ทางที่ดี  เราควรทูลถามปัญหากับพระสมณโคดม"
ลำดับนั้น  กาปทิกมาณพได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
"ข้าแต่ท่านพระโคดม
ในบทมนตร์อันเป็นของเก่าของพราหมณ์ทั้งหลายโดยสืบต่อกันมาตามคัมภีร์
พราหมณ์ทั้งหลายย่อมถึงความตกลงใจโดยเด็ดขาดว่า  'นี้เท่านั้นจริง  อย่างอื่นไม่จริง'
ในเรื่องนี้ท่านพระโคดมจะตรัสอย่างไร"

พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า
"ภารทวาชะ  บรรดาพราหมณ์ทั้งหลาย  พราหมณ์สักคนหนึ่งผู้กล่าวอย่างนี้ว่า  'เรารู้สิ่งนี้  เราเห็นสิ่งนี้  นี้เท่านั้นจริง  อย่างอื่นไม่จริง'  มีอยู่หรือ"

กาปทิกมาณพทูลตอบว่า  "ไม่มีเลย  ท่านพระโคดม"

"ภารทวาชะ  แม้อาจารย์ท่านหนึ่ง  แม้ปาจารย์ของอาจารย์ท่านหนึ่ง  ตลอดขึ้นไปจน ๗ ชั่วอาจารย์ของพราหมณ์ทั้งหลายผู้กล่าวอย่างนี้ว่า  'เรารู้สิ่งนี้  เราเห็นสิ่งนี้  นี้เท่านั้นจริง  อย่างอื่นไม่จริง'  มีอยู่หรือ"

"ไม่มีเลย  ท่านพระโคดม"

"ภารทวาชะ  ฤๅษีทั้งหลายผู้เป็นบุรพาจารย์ของพวกพราหมณ์  คือ  ฤๅษีอัฏฐกะ  ฤๅษีวามกะ  ฤๅษีวามเทพ  ฤๅษีเวสสามิตตะ  ฤๅษียมตัคคิ  ฤๅษีอังคีรสะ  ฤๅษีภารทวาชะ  ฤๅษีวาเสฏฐะ  ฤๅษีกัสสปะ  ฤๅษีภคุ  ซึ่งเป็นผู้แต่งมนตร์  เป็นผู้บอกมนตร์ที่พราหมณ์ทั้งหลายในปัจจุบันนี้ขับตามบทมนตร์เก่าที่ท่านบุรพาจารย์พราหมณ์ขับไว้แล้ว  บอกไว้แล้ว  รวบรวมไว้แล้ว  กล่าวได้ถูกต้องตามที่ท่านกล่าวไว้  
บอกได้ถูกต้องตามที่ท่านได้บอกไว้แล้ว  แม้ท่านเหล่านั้นก็กล่าวอย่างนี้ว่า  'เราทั้งหลายรู้สิ่งนี้  เราทั้งหลายเห็นสิ่งนี้  นี้เท่านั้นจริง  อย่างอื่นไม่จริง'  มีอยู่หรือ"

"ไม่มีเลย  ท่านพระโคดม"

พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า
"ภารทวาชะ  ได้ทราบกันดังนี้ว่า
บรรดาพราหมณ์ทั้งหลาย  ไม่มีพราหมณ์แม้สักคนหนึ่ง  ผู้กล่าวอย่างนี้ว่า  'เรารู้สิ่งนี้  เราเห็นสิ่งนี้  นี้เท่านั้นจริง  อย่างอื่นไม่จริง'
ไม่มีใครสักคนหนึ่งซึ่งเป็นอาจารย์  เป็นปาจารย์ของอาจารย์ตลอด ๗ ชั่วอาจารย์ของพราหมณ์ทั้งหลายผู้กล่าวอย่างนี้ว่า  'เรารู้สิ่งนี้  เราเห็นสิ่งนี้  นี้เท่านั้นจริง  อย่างอื่นไม่จริง'
แม้ฤาษีทั้งหลายผู้เป็นบุรพาจารย์ของพวกพราหมณ์  คือ  ฤๅษีอัฏฐกะ  ฤๅษีวามกะ  ฤๅษีวามเทพ  ฤๅษีเวสสามิตตะ  ฤๅษียมตัคคิ  ฤๅษีอังคีรสะ  ฤๅษีภารทวาชะ  ฤๅษีวาเสฏฐะ  ฤๅษีกัสสปะ  ฤาษีภคุ  ซึ่งเป็นผู้แต่งมนตร์  เป็นผู้บอกมนตร์ที่พราหมณ์ทั้งหลายในปัจจุบันนี้ขับตามบทมนตร์เก่าที่ท่านขับไว้แล้ว  บอกไว้แล้ว  รวบรวมไว้แล้ว  กล่าวได้ถูกต้อง  ตามที่ท่านได้กล่าวไว้  บอกได้ถูกต้อง  ตามที่ท่านได้บอกไว้แล้ว  แม้ท่านเหล่านั้นก็ไม่ได้กล่าวอย่างนี้ว่า  'เรารู้สิ่งนี้  เราเห็นสิ่งนี้  นี้เท่านั้นจริง  อย่างอื่นไม่จริง'


[ ธรรม ๕ ประการมีผลเป็น ๒ อย่าง ]
ภารทวาชะ  คนตาบอดเข้าแถวเกาะหลังกัน  คนอยู่หัวแถว  คนอยู่กลางแถว  และคนอยู่ปลายแถว  ต่างก็มองไม่เห็นกัน  แม้ฉันใด
ภาษิตของพราหมณ์ทั้งหลายก็ฉันนั้นเหมือนกัน  เห็นจะเปรียบได้กับคนตาบอดเข้าแถวเกาะหลังกัน  คนอยู่หัวแถว  คนอยู่กลางแถว  และคนอยู่ปลายแถว  ต่างก็มองไม่เห็นกัน
ท่านเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร  เมื่อเป็นเช่นนั้น  ความเชื่อของพราหมณ์ทั้งหลายย่อมหามูลมิได้  มิใช่หรือ"

กาปทิกมาณพกราบทูลว่า
"ท่านพระโคดม  ในข้อนี้พราหมณ์ทั้งหลายมิใช่เล่าเรียนกันมาด้วยความเชื่ออย่างเดียว  แต่เล่าเรียนด้วยการฟังตามกันมา"

"ภารทวาชะ  ครั้งแรกท่านได้อ้างถึงความเชื่อ
บัดนี้ท่านอ้างถึงการฟังตามกันมา

ธรรม ๕ ประการนี้มีผลเป็น ๒ อย่างในปัจจุบัน
ธรรม ๕ ประการ  อะไรบ้าง  คือ
๑. ศรัทธา  (ความเชื่อ)
๒. รุจิ  (ความชอบใจ)
๓. อนุสสวะ  (การฟังตามกันมา)
๔. อาการปริวิตก  (ความตรึกตามอาการ)
๕. ทิฏฐินิชฌานขันติ  (ความเข้ากันได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้)

ธรรม ๕ ประการนี้แลมีผลเป็น ๒ อย่างในปัจจุบัน  คือ

สิ่งที่เชื่อกันด้วยดี  แต่สิ่งนั้นกลับเป็นของว่างเปล่า  เป็นเท็จไป  ก็มี
สิ่งที่ไม่เชื่อกันด้วยดี  แต่สิ่งนั้นกลับเป็นจริงแท้  ไม่เป็นอื่น  ก็มี

สิ่งที่ชอบใจจริง ๆ  แต่สิ่งนั้นกลับเป็นของว่างเปล่า  เป็นเท็จไป  ก็มี
สิ่งที่ไม่ชอบใจ  แต่สิ่งนั้นกลับเป็นจริงแท้  ไม่เป็นอื่น  ก็มี

สิ่งที่ฟังตามกันมาอย่างดี  แต่สิ่งนั้นกลับเป็นของว่างเปล่า  เป็นเท็จไป  ก็มี
สิ่งที่ไม่ฟังตามกันมาอย่างดี  แต่สิ่งนั้นกลับเป็นจริงแท้  ไม่เป็นอื่น  ก็มี

สิ่งที่ตรึกไว้อย่างดี  แต่สิ่งนั้นกลับเป็นของว่างเปล่า  เป็นเท็จไป  ก็มี
สิ่งที่ไม่ได้ตรึกไว้อย่างดี  แต่สิ่งนั้นกลับเป็นจริงแท้  ไม่เป็นอื่น  ก็มี

สิ่งที่พินิจไว้อย่างดี  แต่สิ่งนั้นกลับเป็นของว่างเปล่า  เป็นเท็จไป  ก็มี
สิ่งที่ไม่ได้พินิจไว้อย่างดี  แต่สิ่งนั้นกลับเป็นจริงแท้  ไม่เป็นอื่น  ก็มี

ภารทวาชะ
คนผู้ฉลาดเมื่อจะตามรักษาสัจจะ  ไม่ควรจะตกลงใจในข้อนั้นอย่างเด็ดขาดว่า  'นี้เท่านั้นจริง  อย่างอื่นไม่จริง"

[ ตรัสตอบถึงการรักษาสัจจะ ]
กาปทิกมาณพทูลถามว่า
"ท่านพระโคดม  ด้วยข้อปฏิบัติประมาณเท่าไร  การรักษาสัจจะจึงมีได้
บุคคลชื่อว่ารักษาสัจจะด้วยข้อปฏิบัติประมาณเท่าไร
ข้าพระองค์ขอทูลถามท่านพระโคดมถึงการรักษาสัจจะ"

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
"ภารทวาชะ  ถ้าบุรุษมีศรัทธา  กล่าวว่า  'เรามีศรัทธาอย่างนี้'
ชื่อว่ารักษาสัจจะ
แต่ยังไม่ชื่อว่ามีความตกลงใจโดยเด็ดขาดว่า  'นี้เท่านั้นจริง  อย่างอื่นไม่จริง'
ด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้  การรักษาสัจจะย่อมมีได้
บุคคลชื่อว่ารักษาสัจจะด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้
และเราย่อมบัญญัติการรักษาสัจจะด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้  แต่ยังไม่ชื่อว่าเป็นการรู้สัจจะก่อน

ถ้าบุรุษมีความชอบใจ  ฯลฯ

ถ้าบุรุษมีการฟังตามกันมา  ฯลฯ

ถ้าบุรุษมีความตรึกตามอาการ  ฯลฯ

ถ้าบุรุษมีความพินิจที่เข้ากันได้กับทฤษฎีของตน
เขากล่าวอย่างนี้ว่า  'เรามีความพินิจที่เข้ากันได้กับทฤษฎีของตนอย่างนี้'
ชื่อว่ารักษาสัจจะ
แต่ยังไม่ชื่อว่าถึงความตกลงใจโดยเด็ดขาดว่า  'นี้เท่านั้นจริง  อย่างอื่นไม่จริง'
ด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้  การรักษาสัจจะย่อมมีได้
บุคคลชื่อว่ารักษาสัจจะด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้
และเราย่อมบัญญัติการรักษาสัจจะด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้  แต่ยังไม่ชื่อว่าเป็นการรู้สัจจะก่อน"


ตรัสตอบถึงการรู้สัจจะ ]
กาปทิกมาณพทูลถามว่า
"ท่านพระโคดม  การรักษาสัจจะย่อมมีด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้
บุคคลชื่อว่ารักษาสัจจะด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้
และเราทั้งหลายย่อมหวังการรักษาสัจจะด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้
การรู้สัจจะย่อมมีด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่าไร
บุคคลย่อมรู้สัจจะด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่าไร
ข้าพระองค์ขอทูลถามท่านพระโคดมถึงการรู้สัจจะ"

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
"ภารทวาชะ
ภิกษุในธรรมวินัยนี้เข้าไปอาศัยบ้านหรือนิคมแห่งใดแห่งหนึ่งอยู่
คหบดีก็ดี  บุตรของคหบดีก็ดี  เข้าไปหาภิกษุนั้นแล้ว  ใคร่ครวญในธรรม ๓ ประการ  คือ
(๑) ในธรรมที่เป็นเหตุให้เกิดโลภะ (ความโลภ)
(๒) ในธรรมที่เป็นเหตุให้เกิดโทสะ (การประทุษร้าย)
(๓) ในธรรมที่เป็นเหตุให้เกิดโมหะ (ความหลง)
ว่า  'ท่านผู้นี้มีธรรมที่เป็นเหตุให้เกิดโลภะ
มีจิตถูกธรรมที่เป็นเหตุให้เกิดโลภะครอบงำ
เมื่อไม่รู้ก็กล่าวว่า  'ข้าพเจ้ารู้'  เมื่อไม่เห็นก็กล่าวว่า  'ข้าพเจ้าเห็น'  หรือสิ่งใดจะพึงเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล  เพื่อทุกข์สิ้นกาลนานแก่ผู้อื่น  ก็จะพึงชักชวนผู้อื่นเพื่อประโยชน์แก่สิ่งนั้น  หรือไม่หนอ'

เมื่อเขาพิจารณาภิกษุนั้นอยู่  จึงรู้ได้อย่างนี้ว่า
'ท่านผู้นี้ไม่มีธรรมที่เป็นเหตุให้เกิดโลภะ
ไม่มีจิตถูกธรรมที่เป็นเหตุให้เกิดโลภะครอบงำ
เมื่อไม่รู้ก็กล่าวว่า  'ข้าพเจ้ารู้'  เมื่อไม่เห็นก็กล่าวว่า  'ข้าพเจ้าเห็น'  หรือสิ่งใดจะพึงเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล  เพื่อทุกข์สิ้นกาลนานแก่ผู้อื่น  ท่านผู้นี้พึงชักชวนผู้อื่นเพื่อประโยชน์แก่สิ่งนั้น  ไม่มีเลย
อนึ่ง  ท่านผู้นี้มีกายสมาจาร  วจีสมาจาร  เหมือนผู้ไม่โลภ
ท่านผู้นี้แสดงธรรมอันลึกซึ้ง  เห็นได้ยาก  รู้ตามได้ยาก  สงบ  ประณีต  คาดคะเนเองไม่ได้  เป็นธรรมละเอียด  รู้ได้เฉพาะบัณฑิต  ไม่ใช่ธรรมที่คนโลภจะแสดงได้ง่าย'

เมื่อใด  เขาพิจารณาภิกษุนั้นอยู่  ย่อมเห็นชัดว่า  'ท่านผู้นี้บริสุทธิ์จาก
ธรรมที่เป็นเหตุให้เกิดโลภะ'
เมื่อนั้น  เขาย่อมพิจารณาภิกษุนั้นให้ยิ่งขึ้นไปในธรรมที่เป็นเหตุให้เกิดโทสะว่า
'ท่านผู้นี้มีธรรมที่เป็นเหตุให้เกิดโทสะ
มีจิตถูกธรรมที่เป็นเหตุให้เกิดโทสะครอบงำ
เมื่อไม่รู้ก็กล่าวว่า  'ข้าพเจ้ารู้'  เมื่อไม่เห็นก็กล่าวว่า  'ข้าพเจ้าเห็น'
หรือสิ่งใดจะพึงเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล  เพื่อทุกข์สิ้นกาลนานแก่ผู้อื่น  ก็จะพึงชักชวนผู้อื่นเพื่อประโยชน์แก่สิ่งนั้น  หรือไม่หนอ'

เมื่อเขาพิจารณาภิกษุนั้นอยู่  จึงรู้ได้อย่างนี้ว่า
'ท่านผู้นี้ไม่มีธรรมที่เป็นเหตุให้เกิดโทสะ
ไม่มีจิตถูกธรรมที่เป็นเหตุให้เกิดโทสะครอบงำ
เมื่อไม่รู้ก็กล่าวว่า  'ข้าพเจ้ารู้'  เมื่อไม่เห็นก็กล่าวว่า  'ข้าพเจ้าเห็น'  หรือสิ่งใดจะพึงเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล  เพื่อทุกข์สิ้นกาลนานแก่ผู้อื่น  ท่านผู้นี้พึงชักชวนผู้อื่นเพื่อประโยชน์แก่สิ่งนั้น  ไม่มีเลย
อนึ่ง  ท่านผู้นี้มีกายสมาจาร  วจีสมาจาร  เหมือนผู้ไม่ประทุษร้าย
ท่านผู้นี้แสดงธรรมอันลึกซึ้ง  เห็นได้ยาก  รู้ตามได้ยาก  สงบ  ประณีต  คาดคะเนเองไม่ได้  เป็นธรรมละเอียด  รู้ได้เฉพาะบัณฑิต  ไม่ใช่ธรรมที่คนประทุษร้ายจะแสดงได้ง่าย'

เมื่อใด  เขาพิจารณาภิกษุนั้นอยู่  ย่อมเห็นชัดว่า  'ท่านผู้นี้บริสุทธิ์จากธรรมที่เป็นเหตุให้เกิดโทสะ'
เมื่อนั้น  เขาย่อมพิจารณาภิกษุนั้นให้ยิ่งขึ้นไปในธรรมที่เป็นเหตุให้เกิดโมหะว่า  'ท่านผู้นี้มีธรรมที่เป็นเหตุให้เกิดโมหะ
มีจิตถูกธรรมที่เป็นเหตุให้เกิดโมหะครอบงำ
เมื่อไม่รู้ก็กล่าวว่า  'ข้าพเจ้ารู้'  เมื่อไม่เห็นก็กล่าวว่า  'ข้าพเจ้าเห็น'
หรือสิ่งใดจะพึงเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล  เพื่อทุกข์สิ้นกาลนานแก่ผู้อื่น  พึงชักชวนผู้อื่นเพื่อประโยชน์แก่สิ่งนั้น  หรือไม่หนอ'

เมื่อเขาพิจารณาภิกษุนั้นอยู่  จึงรู้ได้อย่างนี้ว่า
'ท่านผู้นี้ไม่มีธรรมที่เป็นเหตุให้เกิดโมหะ
ไม่มีจิตถูกธรรมที่เป็นเหตุให้เกิดโมหะครอบงำ
เมื่อไม่รู้ก็กล่าวว่า  'ข้าพเจ้ารู้'  เมื่อไม่เห็นก็กล่าวว่า  'ข้าพเจ้าเห็น'  หรือสิ่งใดจะพึงเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล  เพื่อทุกข์สิ้นกาลนานแก่ผู้อื่น  ท่านผู้นี้พึงชักชวนผู้อื่นเพื่อประโยชน์แก่สิ่งนั้น  ไม่มีเลย
อนึ่ง  ท่านผู้นี้มีกายสมาจาร  วจีสมาจาร  เหมือนผู้ไม่ประทุษร้าย
ท่านผู้นี้แสดงธรรมอันลึกซึ้ง  เห็นได้ยาก  รู้ตามได้ยาก  สงบ  ประณีต  คาดคะเนเองไม่ได้  เป็นธรรมละเอียด  รู้ได้เฉพาะบัณฑิต  ไม่ใช่ธรรมที่คนหลงจะแสดงได้ง่าย'

เมื่อใด  เขาพิจารณาภิกษุนั้นอยู่  ย่อมเห็นชัดว่า  'ท่านผู้นี้บริสุทธิ์จากธรรมที่เป็นเหตุให้เกิดโมหะ'
เมื่อนั้น  เขาสร้างศรัทธาในภิกษุนั้นอย่างมั่นคง
เมื่อเกิดศรัทธาแล้ว  จึงเข้าไปหา
เมื่อเข้าไปหา  ย่อมนั่งใกล้
เมื่อนั่งใกล้  ย่อมเงี่ยโสตลง
เขาเงี่ยโสตลงแล้วฟังธรรมอยู่  ย่อมทรงจำธรรม  พิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ทรงจำไว้แล้ว
เมื่อพิจารณาเนื้อความอยู่  ธรรมทั้งหลายย่อมควรแก่การเพ่งพินิจ
เมื่อธรรมควรแก่การเพ่งพินิจมีอยู่  ฉันทะย่อมเกิด
เกิดฉันทะแล้ว  ย่อมอุตสาหะ
ครั้นอุตสาหะแล้ว  ย่อมพิจารณา
ครั้นพิจารณาแล้ว  ย่อมตั้งความเพียร
เธอตั้งความเพียรแล้ว  ย่อมทำปรมัตถสัจจะให้แจ้งด้วยกาย  และเห็นชัดปรมัตถสัจจะนั้นด้วยปัญญา

ภารทวาชะ
ด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้  การรู้สัจจะจึงมีได้
ด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้แล  บุคคลย่อมรู้สัจจะได้
และเราย่อมบัญญัติการรู้สัจจะด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้
แต่ยังไม่ชื่อว่าเป็นการบรรลุสัจจะทีเดียว"

[ ตรัสตอบถึงการบรรลุสัจจะ ]
กาปทิกมาณพทูลถามว่า
"ท่านพระโคดม  การรู้สัจจะย่อมมีได้ด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้
บุคคลชื่อว่ารู้สัจจะด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้
และเราทั้งหลายย่อมหวังการรู้สัจจะด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้
การบรรลุสัจจะย่อมมีได้ด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่าไร
บุคคลย่อมบรรลุสัจจะด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่าไร
ข้าพระองค์ขอทูลถามท่านพระโคดมถึงการบรรลุสัจจะ"

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
"ภารทวาชะ  การปฏิบัติ  เจริญ  ทำให้มากซึ่งธรรมเหล่านั้น  ชื่อว่าเป็นการบรรลุสัจจะ
ด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้  การบรรลุสัจจะย่อมมีได้
บุคคลย่อมบรรลุสัจจะด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้
และเราย่อมบัญญัติการบรรลุสัจจะด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้"

[ ตรัสตอบถึงธรรมมีอุปการะมาก ]
กาปทิกมาณพทูลถามว่า
"ท่านพระโคดม  การบรรลุสัจจะย่อมมีได้ด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้
บุคคลย่อมบรรลุสัจจะด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้
และเราทั้งหลายย่อมหวังการบรรลุสัจจะด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้
ธรรมมีอุปการะมากแก่การบรรลุสัจจะเป็นอย่างไร
ข้าพระองค์ขอทูลถามท่านพระโคดมถึงธรรมมีอุปการะมากแก่การบรรลุสัจจะ"

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
"ภารทวาชะ  ความเพียรมีอุปการะมากแก่การบรรลุสัจจะ
ถ้าบุคคลไม่ตั้งความเพียรนั้นไว้  ก็จะไม่พึงบรรลุสัจจะนี้ได้
แต่เพราะเขาตั้งความเพียรไว้จึงบรรลุสัจจะได้
ฉะนั้น  ความเพียรจึงมีอุปการะมากแก่การบรรลุสัจจะ"

"ธรรมมีอุปการะมากแก่ความเพียรเป็นอย่างไร
ข้าพระองค์ขอทูลถามท่านพระโคดมถึงธรรมมีอุปการะมากแก่ความเพียร  พระพุทธเจ้าข้า"

"ปัญญาเครื่องพิจารณามีอุปการะมากแก่ความเพียร
ถ้าบุคคลไม่พิจารณาปัญญาเครื่องพิจารณานั้น  ก็จะพึงตั้งความเพียรนี้ไว้ไม่ได้
แต่เพราะเขาพิจารณา  จึงตั้งความเพียรไว้ได้
ฉะนั้น  ปัญญาเครื่องพิจารณาจึงมีอุปการะมากแก่ความเพียร"

"ธรรมมีอุปการะมากแก่ปัญญาเครื่องพิจารณาเป็นอย่างไร
ข้าพระองค์ขอทูลถามท่านพระโคดมถึงธรรมมีอุปการะมากแก่ปัญญาเครื่องพิจารณา  พระพุทธเจ้าข้า"

"ความอุตสาหะมีอุปการะมากแก่ปัญญาเครื่องพิจารณา
ถ้าบุคคลไม่อุตสาหะ  ก็จะพึงพิจารณาไม่ได้
แต่เพราะเขาอุตสาหะ  จึงพิจารณาได้
ฉะนั้น  ความอุตสาหะจึงมีอุปการะมากแก่ปัญญาเครื่องพิจารณา"

"ธรรมมีอุปการะมากแก่ความอุตสาหะเป็นอย่างไร
ข้าพระองค์ขอทูลถามท่านพระโคดมถึงธรรมมีอุปการะมากแก่ความอุตสาหะ  พระพุทธเจ้าข้า"

"ฉันทะมีอุปการะมากแก่ความอุตสาหะ
ถ้าฉันทะไม่เกิด  บุคคลก็จะไม่พึงอุตสาหะ
แต่เพราะฉันทะเกิด  เขาจึงอุตสาหะ
ฉะนั้น  ฉันทะจึงมีอุปการะมากแก่ความอุตสาหะ"

"ธรรมมีอุปการะมากแก่ฉันทะเป็นอย่างไร
ข้าพระองค์ขอทูลถามท่านพระโคดมถึงธรรมมีอุปการะมากแก่ฉันทะ  พระพุทธเจ้าข้า"

"ความควรแก่การเพ่งพินิจแห่งธรรมเป็นธรรมมีอุปการะมากแก่ฉันทะ
ถ้าธรรมทั้งหลายไม่ควรแก่การเพ่งพินิจ  ฉันทะก็ไม่เกิด
แต่เพราะธรรมทั้งหลายควรแก่การเพ่งพินิจ  ฉันทะจึงเกิด
ฉะนั้น  ความควรแก่การเพ่งพินิจแห่งธรรมจึงมีอุปการะมากแก่ฉันทะ"

"ธรรมมีอุปการะมากแก่ความควรแก่การเพ่งพินิจแห่งธรรมเป็นอย่างไร
ข้าพระองค์ขอทูลถามท่านพระโคดมถึงธรรมมีอุปการะมากแก่ความควรแก่การเพ่งพินิจแห่งธรรม  พระพุทธเจ้าข้า"

"ปัญญาเครื่องไตร่ตรองเนื้อความเป็นธรรมมีอุปการะมากแก่ความควรแก่การเพ่งพินิจแห่งธรรม
ถ้าบุคคลไม่ไตร่ตรองเนื้อความ  ธรรมทั้งหลายก็จะไม่พึงควรแก่การเพ่งพินิจ
แต่เพราะเขาไตร่ตรองเนื้อความ  ธรรมทั้งหลายจึงควรแก่การเพ่งพินิจ
ฉะนั้น  ปัญญาเครื่องไตร่ตรองเนื้อความจึงมีอุปการะมากแก่ความควรแก่การเพ่งพินิจแห่งธรรม"

"ธรรมมีอุปการะมากแก่ปัญญาเครื่องไตร่ตรองเนื้อความเป็นอย่างไร
ข้าพระองค์ขอทูลถามท่านพระโคดมถึงธรรมมีอุปการะมากแก่ปัญญาเครื่องไตร่ตรองเนื้อความ  พระพุทธเจ้าข้า"

"การทรงจำธรรมมีอุปการะมากแก่ปัญญาเครื่องไตร่ตรองเนื้อความ
ถ้าบุคคลไม่ทรงจำธรรมนั้น  ก็จะพึงไตร่ตรองเนื้อความนี้ไม่ได้
แต่เพราะเขาทรงจำธรรมไว้ได้  จึงไตร่ตรองเนื้อความได้
ฉะนั้น  การทรงจำธรรมจึงมีอุปการะมากแก่ปัญญาเครื่องไตร่ตรองเนื้อความ"

"ธรรมมีอุปการะมากแก่การทรงจำธรรมเป็นอย่างไร
ข้าพระองค์ขอทูลถามท่านพระโคดมถึงธรรมมีอุปการะมากแก่การทรงจำธรรม  พระพุทธเจ้าข้า"

"การฟังธรรมมีอุปการะมากแก่การทรงจำธรรม
ถ้าบุคคลไม่ฟังธรรมนั้น  ก็จะพึงทรงจำธรรมนี้ไม่ได้
แต่เพราะเขาฟังธรรม  จึงทรงจำธรรมไว้ได้
ฉะนั้น  การฟังธรรมจึงมีอุปการะมากแก่การทรงจำธรรม"

"ธรรมมีอุปการะมากแก่การฟังธรรมเป็นอย่างไร
ข้าพระองค์ขอทูลถามท่านพระโคดมถึงธรรมมีอุปการะมากแก่การฟังธรรม  พระพุทธเจ้าข้า"

"การเงี่ยโสตลงมีอุปการะมากแก่การฟังธรรม
ถ้าบุคคลไม่เงี่ยโสตลง  ก็จะพึงฟังธรรมนี้ไม่ได้
แต่เพราะเขาเงี่ยโสตลง  จึงฟังธรรมได้
ฉะนั้น  การเงี่ยโสตลงจึงมีอุปการะมากแก่การฟังธรรม"

"ธรรมมีอุปการะมากแก่การเงี่ยโสตลงเป็นอย่างไร
ข้าพระองค์ขอทูลถามท่านพระโคดมถึงธรรมมีอุปการะมากแก่การเงี่ยโสตลง  พระพุทธเจ้าข้า"

"การเข้าไปนั่งใกล้มีอุปการะมากแก่การเงี่ยโสตลง
ถ้าบุคคลไม่เข้าไปนั่งใกล้  ก็จะพึงเงี่ยโสตลงไม่ได้
แต่เพราะเขาเข้าไปนั่งใกล้  จึงเงี่ยโสตลงได้
ฉะนั้น  การเข้าไปนั่งใกล้จึงมีอุปการะมากแก่การเงี่ยโสตลง"

"ธรรมมีอุปการะมากแก่การเข้าไปนั่งใกล้เป็นอย่างไร
ข้าพระองค์ขอทูลถามท่านพระโคดมถึงธรรมมีอุปการะมากแก่การเข้าไปนั่งใกล้  พระพุทธเจ้าข้า"

"การเข้าไปหามีอุปการะมากแก่การเข้าไปนั่งใกล้
ถ้าบุคคลไม่เข้าไปหา  ก็จะพึงนั่งใกล้ไม่ได้
แต่เพราะเขาเข้าไปหา  จึงนั่งใกล้ได้
ฉะนั้น  การเข้าไปหาจึงมีอุปการะมากแก่การเข้าไปนั่งใกล้"

"ท่านพระโคดม  ธรรมมีอุปการะมากแก่การเข้าไปหาเป็นอย่างไร
ข้าพระองค์ขอทูลถามท่านพระโคดมถึงธรรมมีอุปการะมากแก่การเข้าไปหา  พระพุทธเจ้าข้า"

"ภารทวาชะ  ศรัทธามีอุปการะมากแก่การเข้าไปหา
ถ้าศรัทธาไม่เกิด  บุคคลก็จะไม่พึงเข้าไปหา
แต่เพราะศรัทธาเกิด  เขาจึงเข้าไปหา
ฉะนั้น  ศรัทธาจึงมีอุปการะมากแก่การเข้าไปหา"

กาปทิกมาณพกราบทูลว่า
"ข้าพระองค์ได้ทูลถามท่านพระโคดมถึงการรักษาสัจจะ
ท่านพระโคดมได้ตรัสตอบการรักษาสัจจะแล้ว
และข้อที่ตรัสตอบนั้นข้าพระองค์ชอบใจและถูกใจนัก
และข้าพระองค์ก็ชื่นชมด้วยข้อที่ตรัสตอบนั้น

ข้าพระองค์ได้ทูลถามท่านพระโคดมถึงการรู้สัจจะ
ท่านพระโคดมได้ตรัสตอบการรู้สัจจะแล้ว
และข้อที่ตรัสตอบนั้นข้าพระองค์ชอบใจและถูกใจนัก
และข้าพระองค์ก็ชื่นชมด้วยข้อที่ตรัสตอบนั้น

ข้าพระองค์ได้ทูลถามท่านพระโคดมถึงการบรรลุสัจจะ
ท่านพระโคดมก็ได้ตรัสตอบการบรรลุสัจจะแล้ว
และข้อที่ตรัสตอบนั้นข้าพระองค์ชอบใจและถูกใจนัก
และข้าพระองค์ก็ชื่นชมด้วยข้อที่ตรัสตอบนั้น

ข้าพระองค์ได้ทูลถามท่านพระโคดมถึงธรรมมีอุปการะมากแก่การบรรลุสัจจะ
ท่านพระโคดมก็ได้ตรัสตอบธรรมมีอุปการะมากแก่การบรรลุสัจจะแล้ว
และข้อที่ตรัสตอบนั้นข้าพระองค์ชอบใจและถูกใจนัก
และข้าพระองค์ก็ชื่นชมด้วยข้อที่ตรัสตอบนั้น

ข้าพระองค์ได้ทูลถามท่านพระโคดมถึงปัญหาข้อใด ๆ
ท่านพระโคดมก็ได้ตรัสตอบปัญหาข้อนั้น ๆ แล้ว
และข้อที่ตรัสตอบนั้นข้าพระองค์ชอบใจและถูกใจนัก
และข้าพระองค์ก็ชื่นชมด้วยข้อที่ตรัสตอบนั้น

ข้าแต่ท่านพระโคดม
เมื่อก่อนข้าพระองค์รู้อย่างนี้ว่า  'พวกสมณะโล้นเหล่านี้เป็นสามัญชน  เกิดจากพระบาทของพระพรหม  เป็นกัณหชาติ (วรรณะศูทร)  เป็นใครกัน  และจะรู้ทั่วถึงธรรมได้อย่างไร'

แต่บัดนี้  ท่านพระโคดมได้ทรงทำให้ข้าพระองค์เกิดความรักสมณะในหมู่สมณะ  ให้เกิดความเลื่อมใสสมณะในหมู่สมณะ  และให้เกิดความเคารพสมณะในหมู่สมณะแล้วหนอ

ข้าแต่ท่านพระโคดม
พระภาษิตของพระองค์ชัดเจนไพเราะยิ่งนัก
ข้าแต่ท่านพระโคดม
พระภาษิตของพระองค์ชัดเจนไพเราะยิ่งนัก

ท่านพระโคดมทรงประกาศธรรมแจ่มแจ้งโดยประการต่าง ๆ
เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ  เปิดของที่ปิด  บอกทางแก่ผู้หลงทาง  หรือตามประทีปในที่มืดโดยตั้งใจว่าคนมีตาดีจักเห็นรูปได้

ข้าพระองค์นี้ขอถึงท่านพระโคดมพร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ
ขอท่านพระโคดมจงทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนตลอดชีวิต"

จังกีสูตร  จบ



บทความที่เกี่ยวข้อง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

พยสนสูตร (อังคุตตรนิกาย > ปัญจกนิบาต > ตติยปัณณาสก์ > คิลานวรรค)

กาลียักขินีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > ยมกวรรค)

ปฏาจาราเถรีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > สหัสสวรรค)