อานันทเสฏฐิวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > พาลวรรค)
อานันทเสฏฐิวัตถุ (เรื่องอานนทเศรษฐี)
พระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถานี้แก่เศรษฐีชื่อมูลสิริ บุตรของอานนทเศรษฐี ดังนี้ว่า
"คนพาลย่อมเดือดร้อนว่า 'เรามีบุตร เรามีทรัพย์'
แท้จริง ตัวตนก็ไม่มี บุตรและทรัพย์จักมีแต่ที่ไหน"
อรรถกถา
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี
ทรงปรารภอานนทเศรษฐี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า
อานนทเศรษฐีนั้นให้พวกญาติประชุมกันทุกกึ่งเดือน แล้วกล่าวสอนบุตรของตนผู้ชื่อว่ามูลสิริใน ๓ เวลาอย่างนี้ว่า
"เจ้าอย่าได้ทำความสำคัญว่าทรัพย์ ๔๐ โกฏินี้มาก
"คนพาลย่อมเดือดร้อนว่า 'เรามีบุตร เรามีทรัพย์'
แท้จริง ตัวตนก็ไม่มี บุตรและทรัพย์จักมีแต่ที่ไหน"
อานันทเสฏฐิวัตถุ จบ
อรรถกถา
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี
ทรงปรารภอานนทเศรษฐี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า
[ อานนทเศรษฐีสั่งสอนบุตรให้ตระหนี่ ]
ได้ยินว่า ในกรุงสาวัตถี เศรษฐีชื่ออานนท์ มีสมบัติประมาณ ๘๐ โกฏิ แต่เขาเป็นคนตระหนี่มากอานนทเศรษฐีนั้นให้พวกญาติประชุมกันทุกกึ่งเดือน แล้วกล่าวสอนบุตรของตนผู้ชื่อว่ามูลสิริใน ๓ เวลาอย่างนี้ว่า
"เจ้าอย่าได้ทำความสำคัญว่าทรัพย์ ๔๐ โกฏินี้มาก
เจ้าไม่ควรให้ทรัพย์ที่มีอยู่สิ้นไป ควรยังทรัพย์ใหม่ให้เกิดขึ้น
เพราะเมื่อบุคคลทำกหาปณะแม้หนึ่ง ๆ ให้เสื่อมไป ทรัพย์ย่อมสิ้นด้วยเหมือนกัน
เพราะเหตุนั้น บุคคลผู้ฉลาด พึงเห็นความสิ้นแห่งยาสำหรับหยอดตา
ความก่อขึ้นแห่งตัวปลวกทั้งหลาย
และการประมวลมาแห่งตัวผึ้งทั้งหลาย แล้วพึงอยู่ครองเรือน"
เพราะทรัพย์เป็นเหตุ เขาจึงมีความหม่นหมองเพราะมลทินคือความตระหนี่ เขาทำกาละ (ตาย) แล้ว
ถือปฏิสนธิในท้องของหญิงจัณฑาลคนหนึ่งในจำพวกจัณฑาลพันตระกูล ที่อยู่อาศัยในบ้านใกล้ประตูแห่งหนึ่งแห่งพระนครนั้นนั่นเอง
พระราชาทรงทราบการทำกาละของอานนทเศรษฐีแล้ว จึงรับสั่งให้เรียกมูลสิริผู้บุตรของเขามา แล้วทรงตั้งไว้ในตำแหน่งเศรษฐี
ตระกูลแห่งคนจัณฑาลตั้งพันเหล่านั้น ทำงานเพื่อค่าจ้างโดยความเป็นพวกเดียวกันเที่ยวเลี้ยงชีวิต
จำเติมแต่กาลถือปฏิสนธิของทารกนั้น ตระกูลคนจัณฑาลเหล่านั้นก็ไม่ได้ค่าจ้างเลย ทั้งไม่ได้แม้ก้อนข้าวเกินไปกว่าอาหารพอยังอัตภาพให้เป็นไป
พวกเขากล่าวว่า "บัดนี้ เราทั้งหลายแม้ทำการงานอยู่ ก็ไม่ได้อาหารแม้สักว่าก้อนข้าว
เป็นไปได้ที่จะมีหญิงกาลกิณีอยู่ในกลุ่มของพวกเรา"
ดังนี้แล้ว จึงแยกกันออกเป็น ๒ พวกแล้วออกหากิน
กลุ่มที่มีมารดาบิดาของทารกนั้นก็หากินไม่ได้
ก็แยกกลุ่มนั้นออกเป็น ๒ พวกอีก
พวกเขาแบ่งกลุ่มโดยทำนองนี้ไปเรื่อย ๆ
จนสามารถแยกมารดาบิดาของทารกนั้นอยู่ต่างหาก
คิดว่า "หญิงกาลกิณีเกิดในตระกูลนี้"
แล้วไล่มารดาของทารกนั้นออกจากกลุ่ม
ทารกนั้นยังอยู่ในท้องของหญิงนั้นตราบใด หญิงนั้นก็ได้อาหารแม้สักว่ายังอัตภาพให้เป็นไปโดยฝืดเคืองตราบนั้น
จนกระทั่งนางคลอดบุตรแล้ว
ทารกนั้นมีมือและเท้า นัยน์ตา หู จมูก และปาก ไม่ตั้งอยู่ในที่ตามปกติ
ทารกนั้นประกอบด้วยความพิกลแห่งอวัยวะเห็นปานนั้น มีรูปน่าเกลียดเหลือเกิน ดุจปิศาจคลุกฝุ่น
แม้เมื่อเป็นเช่นนี้ มารดาก็ยังไม่ละทิ้งบุตรนั้น
จริงอยู่ มารดาย่อมมีความเยื่อใยเป็นกำลังในบุตรที่อยู่ในท้อง
นางเลี้ยงทารกนั้นอยู่โดยฝืดเคือง
ในวันที่พาเขาไป ก็จะไม่ได้อะไร ๆ กลับมาเลย
แต่ในวันที่ให้เขาอยู่บ้าน แล้วไปเองลำพังนั่นแล จึงได้ค่าจ้าง
มารดาได้ให้ถาดกระเบื้องแก่บุตร แล้วกล่าวว่า
"ลูกเอ๋ย เพราะอาศัยเจ้าเป็นเหตุ แม่จึงถึงความลำบากมาก
บัดนี้ แม่ไม่อาจเลี้ยงเจ้าได้
อาหารทั้งหลายที่เขาจัดไว้เพื่อคนกำพร้าและคนเดินทางเป็นต้น มีอยู่ในนครนี้
เจ้าจงเที่ยวไปเพื่อภิกษาในนครนั้นเลี้ยงชีพเถิด"
ดังนี้แล้ว ปล่อยบุตรนั้นไปหากินเพียงลำพัง
เด็กนั้นเที่ยวไปตามลำดับเรือน ถึงที่อยู่ของตนในครั้งเป็นอานนทเศรษฐี
เขาระลึกชาติได้ จึงเดินเข้าไปในเรือนนั้น
ใคร ๆ ในเรือนไม่ได้สังเกตเขาใน ๓ ซุ้มประตูแรก
ในซุ้มประตูที่ ๔ พวกบุตรของมูลสิริเศรษฐีเห็นเขาแล้ว มีใจหวาดเสียว ร้องไห้แล้ว
ลำดับนั้น พวกคนงานของเศรษฐีกล่าวกับทารกนั้นว่า
"เอ็งจงออกไป คนกาลกิณี"
พากันโบยเด็กนั้น แล้วนำออกไปโยนไว้ที่กองหยากเยื่อ
เมื่อพระอานนทเถระทูลถามแล้ว จึงตรัสบอกพฤติการณ์นั้น
พระอานนทเถระให้เชิญมูลสิริเศรษฐีมา หมู่มหาชนประชุมกันแล้ว
พระศาสดาตรัสเรียกมูลสิริเศรษฐีมาแล้วตรัสถามว่า "ท่านรู้จักเด็กนั่นไหม"
มูลสิริเศรษฐีกราบทูลว่า "ไม่รู้จัก พระพุทธเจ้าข้า"
พระศาสดาตรัสว่า "เด็กนั้นคืออานนทเศรษฐี บิดาของท่าน"
แล้วให้เด็กนั้นบอกขุมทรัพย์ ตรัสว่า "อานนทเศรษฐี ท่านจงบอกขุมทรัพย์ใหญ่ ๕ แห่งแก่บุตรของท่าน"
แล้วทรงยังมูลสิริเศรษฐีผู้ไม่เชื่ออยู่นั้นให้เชื่อแล้ว
มูลสิริเศรษฐีนั้นได้ถึงพระศาสดาเป็นสรณะแล้ว
พระศาสดาเมื่อจะทรงแสดงธรรมแก่มูลลิริเศรษฐีนั้น จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
"คนพาลย่อมเดือดร้อนว่า 'เรามีบุตร เรามีทรัพย์'
แท้จริง ตนเองก็ไม่มีแก่ตน บุตรและทรัพย์จักมีแต่ที่ไหน"
ในกาลจบพระธรรมเทศนา
การตรัสรู้ธรรมได้มีแก่สัตว์ ๘๔,๐๐๐
พระธรรมเทศนาได้เป็นประโยชน์เเม้เเก่มหาชนผู้มาประชุม ดังนี้แล
บทความที่เกี่ยวข้อง
๑. มีปัญหาชีวิต ต้องแก้อย่างไร
เพราะเมื่อบุคคลทำกหาปณะแม้หนึ่ง ๆ ให้เสื่อมไป ทรัพย์ย่อมสิ้นด้วยเหมือนกัน
เพราะเหตุนั้น บุคคลผู้ฉลาด พึงเห็นความสิ้นแห่งยาสำหรับหยอดตา
ความก่อขึ้นแห่งตัวปลวกทั้งหลาย
และการประมวลมาแห่งตัวผึ้งทั้งหลาย แล้วพึงอยู่ครองเรือน"
[ อานนทเศรษฐีตายไปเกิดในตระกูลคนจัณฑาล ]
ในเวลาต่อมา อานนทเศรษฐีนั้นไม่บอกขุมทรัพย์ใหญ่ ๕ แห่งของตนแก่บุตรเพราะทรัพย์เป็นเหตุ เขาจึงมีความหม่นหมองเพราะมลทินคือความตระหนี่ เขาทำกาละ (ตาย) แล้ว
ถือปฏิสนธิในท้องของหญิงจัณฑาลคนหนึ่งในจำพวกจัณฑาลพันตระกูล ที่อยู่อาศัยในบ้านใกล้ประตูแห่งหนึ่งแห่งพระนครนั้นนั่นเอง
พระราชาทรงทราบการทำกาละของอานนทเศรษฐีแล้ว จึงรับสั่งให้เรียกมูลสิริผู้บุตรของเขามา แล้วทรงตั้งไว้ในตำแหน่งเศรษฐี
ตระกูลแห่งคนจัณฑาลตั้งพันเหล่านั้น ทำงานเพื่อค่าจ้างโดยความเป็นพวกเดียวกันเที่ยวเลี้ยงชีวิต
จำเติมแต่กาลถือปฏิสนธิของทารกนั้น ตระกูลคนจัณฑาลเหล่านั้นก็ไม่ได้ค่าจ้างเลย ทั้งไม่ได้แม้ก้อนข้าวเกินไปกว่าอาหารพอยังอัตภาพให้เป็นไป
พวกเขากล่าวว่า "บัดนี้ เราทั้งหลายแม้ทำการงานอยู่ ก็ไม่ได้อาหารแม้สักว่าก้อนข้าว
เป็นไปได้ที่จะมีหญิงกาลกิณีอยู่ในกลุ่มของพวกเรา"
ดังนี้แล้ว จึงแยกกันออกเป็น ๒ พวกแล้วออกหากิน
กลุ่มที่มีมารดาบิดาของทารกนั้นก็หากินไม่ได้
ก็แยกกลุ่มนั้นออกเป็น ๒ พวกอีก
พวกเขาแบ่งกลุ่มโดยทำนองนี้ไปเรื่อย ๆ
จนสามารถแยกมารดาบิดาของทารกนั้นอยู่ต่างหาก
คิดว่า "หญิงกาลกิณีเกิดในตระกูลนี้"
แล้วไล่มารดาของทารกนั้นออกจากกลุ่ม
ทารกนั้นยังอยู่ในท้องของหญิงนั้นตราบใด หญิงนั้นก็ได้อาหารแม้สักว่ายังอัตภาพให้เป็นไปโดยฝืดเคืองตราบนั้น
จนกระทั่งนางคลอดบุตรแล้ว
ทารกนั้นมีมือและเท้า นัยน์ตา หู จมูก และปาก ไม่ตั้งอยู่ในที่ตามปกติ
ทารกนั้นประกอบด้วยความพิกลแห่งอวัยวะเห็นปานนั้น มีรูปน่าเกลียดเหลือเกิน ดุจปิศาจคลุกฝุ่น
แม้เมื่อเป็นเช่นนี้ มารดาก็ยังไม่ละทิ้งบุตรนั้น
จริงอยู่ มารดาย่อมมีความเยื่อใยเป็นกำลังในบุตรที่อยู่ในท้อง
นางเลี้ยงทารกนั้นอยู่โดยฝืดเคือง
ในวันที่พาเขาไป ก็จะไม่ได้อะไร ๆ กลับมาเลย
แต่ในวันที่ให้เขาอยู่บ้าน แล้วไปเองลำพังนั่นแล จึงได้ค่าจ้าง
[ มารดาปล่อยบุตรไปขอทานเลี้ยงชีพเอง ]
ต่อมา ในกาลที่เด็กนั้นสามารถเดินหาก้อนข้าวเลี้ยงตัวได้มารดาได้ให้ถาดกระเบื้องแก่บุตร แล้วกล่าวว่า
"ลูกเอ๋ย เพราะอาศัยเจ้าเป็นเหตุ แม่จึงถึงความลำบากมาก
บัดนี้ แม่ไม่อาจเลี้ยงเจ้าได้
อาหารทั้งหลายที่เขาจัดไว้เพื่อคนกำพร้าและคนเดินทางเป็นต้น มีอยู่ในนครนี้
เจ้าจงเที่ยวไปเพื่อภิกษาในนครนั้นเลี้ยงชีพเถิด"
ดังนี้แล้ว ปล่อยบุตรนั้นไปหากินเพียงลำพัง
เด็กนั้นเที่ยวไปตามลำดับเรือน ถึงที่อยู่ของตนในครั้งเป็นอานนทเศรษฐี
เขาระลึกชาติได้ จึงเดินเข้าไปในเรือนนั้น
ใคร ๆ ในเรือนไม่ได้สังเกตเขาใน ๓ ซุ้มประตูแรก
ในซุ้มประตูที่ ๔ พวกบุตรของมูลสิริเศรษฐีเห็นเขาแล้ว มีใจหวาดเสียว ร้องไห้แล้ว
ลำดับนั้น พวกคนงานของเศรษฐีกล่าวกับทารกนั้นว่า
"เอ็งจงออกไป คนกาลกิณี"
พากันโบยเด็กนั้น แล้วนำออกไปโยนไว้ที่กองหยากเยื่อ
[ พระศาสดาแสดงธรรมแก่มูลสิริเศรษฐี ]
พระศาสดามีพระอานนทเถระเป็นปัจฉาสมณะ เสด็จบิณฑบาตถึงที่นั้นแล้ว ทอดพระเนตรดูพระอานนทเถระเมื่อพระอานนทเถระทูลถามแล้ว จึงตรัสบอกพฤติการณ์นั้น
พระอานนทเถระให้เชิญมูลสิริเศรษฐีมา หมู่มหาชนประชุมกันแล้ว
พระศาสดาตรัสเรียกมูลสิริเศรษฐีมาแล้วตรัสถามว่า "ท่านรู้จักเด็กนั่นไหม"
มูลสิริเศรษฐีกราบทูลว่า "ไม่รู้จัก พระพุทธเจ้าข้า"
พระศาสดาตรัสว่า "เด็กนั้นคืออานนทเศรษฐี บิดาของท่าน"
แล้วให้เด็กนั้นบอกขุมทรัพย์ ตรัสว่า "อานนทเศรษฐี ท่านจงบอกขุมทรัพย์ใหญ่ ๕ แห่งแก่บุตรของท่าน"
แล้วทรงยังมูลสิริเศรษฐีผู้ไม่เชื่ออยู่นั้นให้เชื่อแล้ว
มูลสิริเศรษฐีนั้นได้ถึงพระศาสดาเป็นสรณะแล้ว
พระศาสดาเมื่อจะทรงแสดงธรรมแก่มูลลิริเศรษฐีนั้น จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
"คนพาลย่อมเดือดร้อนว่า 'เรามีบุตร เรามีทรัพย์'
แท้จริง ตนเองก็ไม่มีแก่ตน บุตรและทรัพย์จักมีแต่ที่ไหน"
ในกาลจบพระธรรมเทศนา
การตรัสรู้ธรรมได้มีแก่สัตว์ ๘๔,๐๐๐
พระธรรมเทศนาได้เป็นประโยชน์เเม้เเก่มหาชนผู้มาประชุม ดังนี้แล
บทความที่เกี่ยวข้อง
๑. มีปัญหาชีวิต ต้องแก้อย่างไร
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น