อิสาทาสีเถรีคาถา (ขุททกนิกาย > เถรีคาถา > จัตตาฬีสนิบาต)


อิสาทาสีเถรีคาถา  (ภาษิตของพระอิสิทาสีเถรี)

พระปุณณาเถรีรูปนี้  เป็นผู้มีอธิการอันทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน ๆ  สั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ในภพนั้น ๆ

ในภพที่ ๗ จากภพปัจจุบัน  ได้เป็นชู้กับภรรยาผู้อื่น  เพราะคบมิตรไม่ดี
หลังจากตายไป  ได้ไปเกิดในนรก  หมกไหม้อยู่ในนรกนั้นหลายร้อยปี
จุติจากนรกนั้นแล้ว  ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ๓ ชาติ
จุติจากนั้นแล้ว  ไปเกิดเป็นกะเทยในท้องของทาสี

ครั้นจุติจากนั้น  ได้ไปเกิดเป็นลูกสาวช่างทำเกวียนที่ขัดสนคนหนึ่ง  เมื่อเจริญวัยแล้ว  ลูกชายนายกองเกวียนคนหนึ่งชื่อศิริทาสก็เอาเป็นภรรยาแล้วนำไปบ้าน
นายศิริทาสมีภรรยาอยู่แล้วคนหนึ่ง  เป็นคนมีศีล  มีกัลยาณธรรม  ลูกสาวช่างทำเกวียนริษยานาง  จึงให้สามีขับไล่นางไปเสีย  นางอยู่ในบ้านนั้นจนตลอดชีวิต

หลังจากตาย  ในพุทธุปบาทกาลนี้  มาเกิดเป็นลูกสาวของเศรษฐีผู้พรั่งพร้อมด้วยสมบัติ  ได้รับยกย่องว่าเป็นคนมีตระกูลมีถิ่นฐานดี  มีความประพฤติเรียบร้อย  อยู่ในกรุงอุชเชนี
นางมีนามว่า  อิสิทาสี

ครั้นเจริญวัย  บิดามารดาได้ยกให้แก่บุตรเศรษฐีคนหนึ่งที่มีตระกูล  รูป  วัย  และสมบัติ  เป็นต้น  ทัดเทียมกัน
นางปฏิบัติสามีดังเทวดาในเรือนของสามีนั้น
แต่อยู่ได้เพียงเดือนเดียว  ด้วยผลกรรมของนาง  สามีเกิดเบื่อหน่าย  จึงไล่นางออกจากบ้าน

บิดามารดาได้ยกนางให้แก่ชายคนอื่น  แต่อยู่ได้ไม่นาน  นางก็ถูกขับไล่อีก

เพราะเหตุที่สามีทุกคนรังเกียจ  นางจึงเกิดสลดใจ  ขออนุญาตจากบิดาแล้ว  จึงบวชในสำนักพระชินทัตตาเถรี  เจริญวิปัสสนาอยู่  ไม่นานนัก  ก็บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ๔  ยังเวลาให้ผ่านไปด้วยความสุขในผล  และความสุขในพระนิพพาน

วันหนึ่ง  เที่ยวไปบิณฑบาตในกรุงปาฏลีบุตร
หลังจากฉันเสร็จแล้ว  กลับจากบิณฑบาต  นั่งอยู่บนหาดทรายใกล้แม่คงคามหานที  ถูกพระเถรีผู้เป็นสหายของท่าน  ชื่อว่า  โพธิเถรี  ถามถึงประวัติก่อนบวช  จึงตอบความนั้นเป็นคาถา

เพื่อให้คำถามและคำตอบของพระเถรี ๒ รูปต่อเนื่องกัน  ท่านพระสังคีติกาจารย์ทั้งหลาย  จึงตั้งคาถาไว้ว่า
"ในเมืองปาฏลีบุตร  ได้ชื่อว่าเป็นเมืองดอกไม้  เป็นแผ่นดินที่ผ่องใส
มีพระภิกษุณีผู้ทรงคุณธรรม  เป็นกุลธิดาในศากยสกุล ๒ รูป
ใน ๒ รูปนั้น  รูปหนึ่งชื่อว่าอิสิทาสี  รูปที่ ๒ ชื่อว่าโพธิ
ล้วนมีศีลสมบูรณ์  ยินดีเข้าฌาน  เป็นพหูสูต  กำจัดกิเลสได้แล้ว
ทั้งสองรูปนั้นเที่ยวบิณฑบาต  ฉันและล้างบาตรแล้ว
ก็นั่งพักอย่างสบายในที่สงัด  ได้เปล่งถ้อยคำเหล่านี้ถามตอบกัน"

พระโพธิเถรีถามว่า
"แม่เจ้าอิสิทาสี  แม่เจ้าเป็นผู้น่าเลื่อมใสอยู่
แม้วัยของแม่เจ้าก็ยังไม่เสื่อมโทรม
แม่เจ้าเห็นโทษอะไร  จึงขวนขวายในเนกขัมมะเล่า"

พระอิสิทาสีเถรีนั้นฉลาดในการแสดงธรรม
เมื่อถูกซักถามในที่สงัด  จึงได้กล่าวตอบดังนี้ว่า
"แม่เจ้าโพธิ  ขอแม่เจ้าจงฟังเหตุที่ฉันออกบวช
ในกรุงอุชเชนนีราชธานี  บิดาของดิฉันเป็นเศรษฐี  สำรวมในศีล
ดิฉันเป็นธิดาคนเดียวของท่าน  จึงเป็นที่รักที่โปรดปรานและน่าเอ็นดู

ภายหลัง  พวกคนสนิทของดิฉันที่มีตระกูลสูง  มาจากเมืองสาเกต  ขอดิฉันว่า
'เศรษฐีมีรัตนะมากขอดิฉัน'
บิดาได้ให้ดิฉันเป็นสะใภ้ของเศรษฐีนั้น

ดิฉันต้องเข้าไปทำความนอบน้อมพ่อผัวและแม่ผัวทุกเช้าเย็น
ต้องกราบเท้าด้วยเศียรเกล้า  ตามที่ถูกสั่งสอนมา
พี่สาวน้องสาว  พี่ชายน้องชาย  หรือบ่าวไพร่ของสามีดิฉันไม่ว่าคนใด
ดิฉันเห็นแล้วแม้ครั้งเดียว  ก็หวาดกลัวต้องให้ที่นั่งเขา
ดิฉันต้องรับรองเขาด้วยข้าว  น้ำ  ของเคี้ยว  และสิ่งของที่จัดเตรียมไว้ในที่ที่เขาเข้าไปนั้น  นำเข้าไปให้  และต้องให้ของที่สมควรแก่เขา
ดิฉันลุกขึ้นตามเวลา  เข้าไปยังเรือนสามี  ล้างมือและเท้าที่ใกล้ประตู  ประนมมือเข้าไปหาสามี
ต้องจัดหาหวี  เครื่องผัดหน้า  ยาหยอดตาและกระจก  แต่งตัวให้สามีเอง  เสมอเหมือนหญิงรับใช้
หุงข้าวต้มแกงเอง  ล้างภาชนะเองทั้งนั้น
ปรนนิบัติสามีเสมือนมารดาปรนนิบัติบุตรน้อยคนเดียว
จงรักภักดี  ทำหน้าที่ครบถ้วน  เลิกถือเนื้อถือตัว  ขยันไม่เกียจคร้าน

ดิฉันมีศีล (ข้อปฏิบัติ) อย่างนี้  สามีก็ยังเกลียด
สามีนั้นบอกมารดาและบิดาว่า
'ลูกจักลาไปละ  ลูกไม่ขออยู่ร่วมกับอิสิทาสี
ทั้งไม่ยอมอยู่ร่วมเรือนหลังเดียวกันด้วย'

มารดาบิดาของเขากล่าวว่า
'อย่าพูดอย่างนี้สิลูก  อิสิทาสีเป็นบัณฑิต  ฉลาดรอบครอบ  ขยัน  ไม่เกียจคร้าน
ทำไมลูกจึงไม่ชอบใจล่ะ'

สามีของดิฉันพูดว่า
'อิสิทาสีไม่ได้เบียดเบียนอะไรลูกดอก  แต่ลูกไม่อยากอยู่ร่วมกับอิสิทาสี  ลูกเกลียด  ลูกพอแล้ว  จักขอลาไป'

แม่ผัวและพ่อผัวฟังคำของสามีดิฉันนั้นแล้ว  ได้ถามดิฉันว่า
'เจ้าประพฤติผิดอะไร  เจ้าจึงถูกเขาทอดทิ้ง  จงพูดไปตามความเป็นจริงซิ'

ดิฉันตอบว่า
'ดิฉันไม่ได้ประพฤติผิดอะไร  ไม่ได้เบียดเบียนเขา  ทั้งไม่ได้พูดคำหยาบคาย
ดิฉันกล้าหรือที่จะทำสิ่งที่สามีเกลียดดิฉันได้นะคุณแม่'

มารดาบิดาของเขานั้นเสียใจ  ถูกทุกข์ครอบงำ  หวังทะนุถนอมบุตร  จึงนำดิฉันส่งกลับไปเรือนบิดา
ฉันกลายเป็นหญิงหม้ายสาวสามีร้างไป

ภายหลัง  บิดาได้ยกดิฉันให้แก่กุลบุตรผู้ร่ำรวยน้อยกว่าสามีคนแรกครึ่งหนึ่ง  โดยสินสอดครึ่งหนึ่งจากสินสอดที่เศรษฐีให้เราครั้งแรก

ดิฉันอยู่ในเรือนสามีคนที่ ๒ นั้นได้เดือนเดียว
ต่อมา  เขาขับไล่ดิฉันซึ่งบำรุงบำเรออยู่ดุจทาสี  ผู้ไม่เคยคิดประทุษร้าย  มีศีล (ข้อปฏิบัติ) สมบูรณ์

บิดาของดิฉันบอกบุรษผู้หนึ่งที่กำลังเที่ยวขอทานอยู่ว่า
'เจ้าจงทิ้งผ้าเก่า ๆ และกระเบื้องขอทานเสีย  มาเป็นลูกเขยข้าเถิด'

บุรุษนั้นอยู่ได้ครึ่งเดือน  ก็พูดกับบิดาว่า
'โปรดคืนผ้าเก่า  กระเบื้องขอทาน  และภาชนะขอทานแก่ฉันเถิด  ฉันจักไปขอทานตามเดิม'

ครั้งนั้น  บิดามารดาและหมู่ญาติของดิฉันทุกคนพูดกับคนขอทานนั้นว่า
'เจ้าทำอะไรไม่ได้ในที่นี้  รีบบอกมา  เราจักทำกิจนั้นแทนเจ้าเอง'

เขาถูกบิดามารดาและหมู่ญาติของดิฉันถามอย่างนี้แล้ว  จึงพูดว่า
'ถึงตัวฉันจะเป็นใหญ่และเป็นไท  ฉันพอแล้ว  ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะอยู่ร่วมกับอิสิทาสี
ฉันไม่ขออยู่ร่วมกับอิสิทาสี  ทั้งไม่ขออยู่ร่วมเรือนหลังเดียวกับเธอ'

ชายขอทานนั้นถูกบิดาปล่อยก็ไป
ดิฉันอยู่คนเดียว  คิดว่าจะลาบิดามารดาไปตายหรือไปบวชเสีย

ขณะนั้น  พระแม่เจ้าชินทัตตาเถรี  ผู้ทรงวินัย  เป็นพหูสูต  มีศีลสมบูรณ์  เที่ยวบิณฑบาตมายังตระกูลบิดา
ดิฉันเห็นท่าน  จึงลุกไปจัดที่นั่งของดิฉันถวายท่าน
เมื่อท่านนั่งเรียบร้อยแล้ว  ดิฉันก็กราบเท้า  แล้วถวายอาหาร

ดิฉันเลี้ยงดูท่านด้วยข้าว  น้ำ  ของควรเคี้ยว  และสิ่งของที่จัดไว้ในเรือนนั้นให้อิ่มหนำสำราญ  แล้วจึงเรียนท่านว่า
'ดิฉันประสงค์จะบวช  เจ้าค่ะ'

ลำดับนั้น  บิดาพูดกับดิฉันว่า
'ลูกเอ๋ย  ลูกจงประพฤติธรรมอยู่ในเรือนนี้เถิด  อย่าบวชเลย
จงเลี้ยงดูสมณะและพราหมณ์ทั้งหลายให้อิ่มหนำด้วยข้าวและน้ำเถิด'

ขณะนั้น  ดิฉันร้องไห้ประนมมือพูดกับบิดาว่า
'ความจริง  ลูกทำบาปมามากแล้ว
ลูกจักชำระกรรมนั้นให้เสร็จสิ้นกันเสียที'

ครั้งนั้น  บิดาจึงให้พรดิฉันว่า
'ขอให้ลูกบรรลุอรหัตตมรรคอรหัตตผลอันเลิศ  และจงได้นิพพานที่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดกว่าเทวดาและมนุษย์ทรงกระทำให้แจ้งเถิด'

ดิฉันกราบลามารดาบิดาและหมู่ญาติทุกคน
บวชได้ ๗ วัน  ก็ได้บรรลุวิชชา ๓  รู้ระลึกชาติได้ ๗ ชาติ
ดิฉันจักบอกกรรมที่มีผลวิบากแก่แม่เจ้า
ขอแม่เจ้าโปรดสำรวมใจฟังวิบากกรรมนั้นเถิด

ชาติก่อน  ดิฉันเป็นช่างทองในเมืองเอรกกัจฉะ  มีทรัพย์มาก  มัวเมาในวัยหนุ่ม  ได้เป็นชู้กับภรรยาผู้อื่น

ดิฉันนั้นตายจากชาตินั้นแล้ว  ต้องไปหมกไหม้อยู่ในนรกเป็นเวลานาน  ถูกไฟนรกเผาแล้ว

ครั้นพ้นจากนรกนั้นแล้ว  ก็เกิดในท้องนางลิง
พอเกิดได้ ๗ วัน  วานรใหญ่จ่าฝูงก็กัดอวัยวะสืบพันธุ์

นี้เป็นผลกรรมที่ดิฉันเป็นชู้กับภรรยาผู้อื่น

ดิฉันนั้นตายจากกำเนิดวานรนั้นแล้ว  เกิดในท้องแม่แพะ
ตาบอดและเป็นง่อย  อยู่ในป่า  แคว้นสินธุ
พออายุได้ ๑๒ ปี  พาเด็กขึ้นหลังไป
ถูกเด็กตัดอวัยวะสืบพันธุ์  ป่วยเป็นโรค  หมู่หนอนชอนไชที่อวัยวะสืบพันธุ์
นี้เป็นผลกรรมที่ดิฉันเป็นชู้กับภรรยาผู้อื่น

ดิฉันนั้นตายจากกำเนิดแพะนั้นแล้ว  ก็เกิดในท้องแม่โคของพ่อค้าโค
เป็นลูกโคมีขนแดงดังน้ำครั่ง
พออายุ ๑๒ เดือนก็ถูกตอน
ดิฉันถูกเขาใช้ให้ลากไถและเทียมเกวียน
ป่วยเป็นโรค  ตาบอด  มีความลำบาก
นี้เป็นผลกรรมที่ดิฉันเป็นชู้กับภรรยาผู้อื่น

ดิฉันนั้นตายจากกำเนิดโคนั้นแล้ว  เกิดในท้องสาวใช้ข้างถนนในพระนคร
เป็นหญิงก็ไม่ใช่  เป็นชายก็ไม่เชิง
นี้เป็นผลกรรมที่ดิฉันเป็นชู้กับภรรยาผู้อื่น

อายุ ๓๐ ปีก็ตาย  มาเกิดเป็นเด็กหญิงในตระกูลช่างเกวียนที่เข็ญใจ  มีโภคทรัพย์น้อย  มีเจ้าหนี้มากมาย
เมื่อหนี้พอกพูนทับถมมากขึ้น  นายกองเกวียนก็ริบเอาทรัพย์สมบัติแล้วฉุดคร่าดิฉันนั้นผู้กำลังรำพันอยู่ออกจากเรือนของสกุล

ภายหลัง  บุตรของนายกองเกวียนนั้นชื่อคิริทาส  เห็นดิฉันเป็นสาวรุ่นอายุ ๑๖ ปี  ก็มีจิตปฏิพัทธ์  จึงขอไปเป็นภรรยา
แต่นายคิริทาสนั้นมีภรรยาอยู่ก่อนคนหนึ่ง  เป็นคนมีศีล  มีคุณธรรม  และมีชื่อเสียง  รักใคร่สามีอย่างดียิ่ง
ดิฉันได้ทำให้สามีเกลียดนาง
ข้อที่สามีทั้งหลายเลิกร้างดิฉันซึ่งปรนนิบัติอยู่เสมือนสาวใช้ไป
ก็เป็นผลกรรมที่ดิฉันนั้นกระทำแล้วในครั้งนั้น

ดิฉันสิ้นสุดกรรมนั้นแล้ว"

อิสิทาสีเถรีคาถา  จบ



บทความที่เกี่ยวข้อง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

พยสนสูตร (อังคุตตรนิกาย > ปัญจกนิบาต > ตติยปัณณาสก์ > คิลานวรรค)

กาลียักขินีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > ยมกวรรค)

ปฏาจาราเถรีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > สหัสสวรรค)