ปฏาจาราเถรีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > สหัสสวรรค)


ปฏาจาราเถรีวัตถุ  (เรื่องพระปฏาจาราเถรี)

พระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถานี้แก่พระปฏาจาราเถรี  ดังนี้ว่า
       "ผู้เห็นความเกิดและความดับ
แม้มีชีวิตอยู่เพียงวันเดียว
ประเสริฐกว่าผู้ไม่เห็นความเกิดและความดับ
ที่มีชีวิตอยู่ตั้ง ๑๐๐ ปี"

ปฏาจาราเถรีวัตถุ  จบ


อรรถกถา
สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่  ณ  พระเชตวัน  อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี  เขตกรุงสาวัตถี
ทรงปรารภพระปฏาจาราเถรี  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า

ได้ยินว่า
นางปฏาจาราเป็นธิดาของเศรษฐีผู้มีสมบัติ ๔๐ โกฏิในกรุงสาวัตถี  มีรูปงาม
ในเวลานางมีอายุ ๑๖ ปี  มารดาบิดาให้นางอยู่บนชั้นบนปราสาท ๗ ชั้น
แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น  นางก็ยังมีใจรักใคร่กับคนรับใช้คนหนึ่งของตน

ต่อมา  มารดาบิดาได้ยกนางให้แก่ชายหนุ่มคนหนึ่งในชาติสกุลชาติเสมอกัน  แล้วกำหนดวันวิวาหะ

เมื่อวันวิวาหะนั้นใกล้เข้ามา  นางจึงพูดกับคนรับใช้ผู้นั้นว่า
"ได้ยินว่า  มารดาบิดาจะยกฉันให้แก่สกุลโน้น
ถ้าฉันไปสู่สกุลผัวแล้ว  แม้ท่านจะถือบรรณาการมาเพื่อฉัน  ก็จะเข้าไปในที่นั้นไม่ได้
ถ้าท่านรักฉัน  ก็จงพาฉันหนีไป"

คนรับใช้นั้นรับว่า  "ดีละ  ถ้าอย่างนั้น  ฉันจะไปรออยู่ที่ประตูเมืองในเวลาเช้าตรู่พรุ่งนี้
เธอจงหาอุบายออกไปเจอฉันในที่นั้น"


[ นางปฏาจาราหนีไปกับคนใช้ ]
รุ่งขึ้น  ธิดาเศรษฐีนั้นนุ่งผ้าปอน ๆ  สยายผม  เอารำทาสรีระ  ถือหม้อน้ำออกจากเรือน  เดินปะปนไปกับพวกทาสี
แล้วได้ไปยังที่นัดหมาย

ชายคนรับใช้นั้นพานางไปไกล  แล้วอาศัยอยู่ในบ้านแห่งหนึ่ง  ไถนาในป่าแล้ว  ได้นำฟืนและผักเป็นต้นมา

ฝ่ายธิดาเศรษฐีก็ทำหน้าที่ตำข้าวและหุงต้มเป็นต้นด้วยตนเอง  ได้เสวยผลแห่งความชั่วของตนแล้ว

สมัยต่อมา  นางตั้งครรภ์ขึ้น
ในเวลาที่ครรภ์แก่แล้ว  จึงอ้อนวอนสามีว่า
"ผู้อุปการะของเราไม่มีในที่นี้
ธรรมดา  มารดาบิดาเป็นผู้มีใจอ่อนโยนในบุตรทั้งหลาย
ท่านจงพาฉันกลับไปบ้านเถิด  ฉันจะคลอดบุตรที่นั่น"

สามีนั้นคัดค้านว่า  "นางผู้เจริญ  เธอพูดอะไร
มารดาบิดาของเธอเห็นฉันแล้ว  คงจะทำโทษฉันด้วยวิธีต่าง ๆ
ฉันไม่อาจไปที่นั้นได้"

นางแม้อ้อนวอนแล้ว ๆ เล่า ๆ  แต่ก็ไม่ได้ความยินยอม
ในเวลาที่สามีไปป่า  จึงบอกกับเพื่อนบ้านว่า
"ถ้าเขามาไม่เห็นฉัน  จะถามว่าฉันไปไหน
ท่านช่วยบอกเขาว่าฉันไปบ้านของมารดาบิดา"
ดังนี้แล้ว  ก็ปิดประตูเรือนแล้วออกเดินทางไป

ฝ่ายสามีนั้นมาแล้ว  ไม่เห็นภรรยา  จึงถามเพื่อนบ้าน
เมื่อรู้แล้ว  จึงออกติดตามไปด้วยคิดว่าจะพากลับมา
ได้พบนางในระหว่างทางแล้ว  แต่แม้จะอ้อนวอนอย่างไรก็ตาม  ก็มิอาจให้นางกลับได้


[ นางคลอดบุตรกลางป่า ]
ทีนั้น  ลมกัมมัชวาตของนางปั่นป่วนแล้วในที่แห่งหนึ่ง (ปวดท้องจะคลอด)
นางเข้าไปในระหว่างพุ่มไม้พุ่มหนึ่ง  พูดกับสามีว่า
"นาย  ลมกัมมัชวาตของฉันปั่นป่วนแล้ว"

แล้วนอนกลิ้งเกลือกอยู่บนพื้นดิน  คลอดเด็กออกมาโดยยากแล้ว
คิดว่า  "เราจะไปสู่บ้านพ่อและแม่เพื่อประโยชน์ใด  ประโยชน์นั้นสำเร็จแล้ว"
จึงกลับไปกับสามี  อยู่ด้วยกันอีก

สมัยต่อมา  นางก็ตั้งครรภ์ขึ้นอีก
เมื่อครรภ์แก่แล้วจึงอ้อนวอนสามีเหมือนครั้งก่อน
แต่เมื่อสามีไม่ยินยอม  จึงแอบอุ้มบุตรออกไปเหมือนเดิม
แม้สามีติดตามไปจนพบ  ก็ไม่ปรารถนาจะกลับ

ครั้งนั้น  เมฆฝนนอกฤดูได้ก่อตัวขึ้น  สายฝนตกลงไม่มีหยุด  ดังสายฟ้าแผดเผาอยู่โดยรอบ  ดังจะทำลายลงด้วยเสียงแผดแห่งเมฆ

ในขณะนั้น  ลมกัมมัชวาตของนางปั่นป่วนแล้ว
นางบอกสามีว่า  "นาย  ลมกัมมัชวาตของฉันปั่นป่วนแล้ว
ฉันไม่อาจจะทนได้  ท่านช่วยหาที่หลบฝนให้ฉันด้วยเถิด"


[ นางสูญเสียสามี ]
สามีจึงถือมีดเดินตรวจดูข้างโน้นข้างนี้  เห็นพุ่มไม้เกิดอยู่บนจอมปลวกแห่งหนึ่ง  จึงเดินเข้าไปเพื่อจะตัด

ลำดับนั้น  อสรพิษมีพิษร้ายกาจเลื้อยออกจากจอมปลวก  กัดเขาในที่นั้น
เขาล้มลงสิ้นชีวิตในที่นั้นนั่นเอง

ฝ่ายภรรยาเสวยทุกข์อย่างมหันต์  รอสามีกลับมาอยู่  ก็ไม่เห็นเขาเลย  จึงคลอดบุตรด้วยความทรมาน

ทารกทั้ง ๒ ทนกำลังแห่งลมและฝนไม่ได้  ก็ร้องไห้ลั่น
นางเอาทารกทั้ง ๒ คนนั้นไว้ที่ระหว่างอก  ยืนเท้าแผ่นดินด้วยเข่าและมือทั้ง ๒  จนราตรีผ่านไป
สรีระของนางได้ซีดลงเหมือนสีใบไม้เหลือง  เหมือนไม่มีโลหิต

เมื่ออรุณขึ้น  นางอุ้มบุตรคนเล็กด้วยสะเอว  จูงบุตรคนโต  กล่าวว่า
"มาเถิดลูก  บิดาของเจ้าไปทางนี้"
แล้วเดินไปตามทางที่สามีไป
เห็นสามีล้มตายบนจอมปลวก  ร้องไห้รำพันว่า
"เพราะอาศัยเรา  สามีของเราจึงตายที่หนทางเปลี่ยว"
ดังนี้แล้ว  ก็เดินไป


[ นางสูญเสียบุตร ]
นางเดินไปถึงแม่น้ำแห่งหนึ่งอยู่ตรงหน้า  ซึ่งมีน้ำขึ้นสูง  เพราะฝนตกตลอดคืนยังรุ่ง
นางไม่อาจลงน้ำพร้อมด้วยทารก ๒ คนได้
จึงพักบุตรคนโตไว้ที่ฝั่งนี้  อุ้มบุตรคนเล็กไปฝั่งโน้น  ลาดกิ่งไม้ไว้ให้บุตรนอน
แล้วคิดว่า  "จะกลับไปพาบุตรอีกคนข้ามมา"

ครั้นมาถึงกลางแม่น้ำ
เหยี่ยวตัวหนึ่งเห็นเด็กนั้นนอนอยู่  จึงโฉบลงมาจากอากาศด้วยสำคัญว่าเป็นชิ้นเนื้อ
นางเห็นมันโฉบลงมาที่บุตรของตน  จึงยกมือทั้งสองขึ้น  ร้องห้ามเสียงดัง
เหยี่ยวไม่ได้ยินเสียงนั้นเลยเพราะอยู่ไกล  จึงโฉบเด็กบินขึ้นสู่เวหาไปแล้ว

บุตรอีกคนที่รออยู่อีกฝั่ง  เห็นมารดายกมือทั้งสองขึ้น  ร้องเสียงดังอยู่ที่ท่ามกลางแม่น้ำ
จึงกระโดดลงในแม่น้ำโดยเร็ว  ด้วยสำคัญว่า  "มารดาเรียกเรา"

เหยี่ยวโฉบบุตรอ่อนของนางไป  บุตรคนโตถูกน้ำพัดไป  ด้วยประการฉะนี้


[ นางสูญเสียมารดาบิดา ]
นางเดินร้องไห้รำพันว่า
"บุตรของเราคนหนึ่งถูกเหยี่ยวเฉี่ยวไป
อีกคนหนึ่งถูกน้ำพัดไป
สามีก็ตายเสียในที่เปลี่ยว"

พบบุรุษผู้หนึ่งเดินมาจากกรุงสาวัตถี  จึงถามว่า  "ท่านมาจากที่ไหน"
บุรุษนั้นตอบว่า  "ฉันมาจากกรุงสาวัตถี"
ธิดาเศรษฐี  "ท่านรู้จักตระกูลเศรษฐีชื่อนี้  ในกรุงสาวัตถีไหม" 
บุรุษ  "ฉันรู้จัก  แต่เธออย่าถามถึงตระกูลนั้นเลย  ถ้าเธอรู้จักตระกูลอื่น  ก็จงถามถึงตระกูลอื่นเถิด"
ธิดาเศรษฐี  "ฉันไม่มีกิจธุระกับตระกูลอื่น  ฉันถามถึงตระกูลนี้เท่านั้นแหละ"
บุรุษ  "ฉันไม่อยากบอกเลย"
ธิดาเศรษฐี  "บอกฉันเถิด  ท่าน" 
บุรุษ  "วานนี้  เธอเห็นฝนตกคืนยังรุ่งไหม"
ธิดาเศรษฐี  "ฉันเห็น  ฝนนั้นตกคืนยังรุ่งเพื่อฉันเท่านั้น  ไม่ตกเพื่อคนอื่น
แต่ฉันจักบอกเหตุที่ฝนตกเพื่อฉันแก่ท่านภายหลัง
โปรดบอกความเป็นไปในเรือนเศรษฐีนั้นแก่ฉันก่อน"

บุรุษนั้นกล่าวว่า  "กลางคืนวานนี้  เรือนได้ล้มทับคนทั้ง ๓  คือเศรษฐี  ภรรยาเศรษฐี  และบุตรเศรษฐี
คนทั้ง ๓ นั้นถูกเผาบนเชิงตะกอนเดียวกัน  เห็นไหม  ควันนั่นยังปรากฏอยู่เลย"

ในขณะนั้น  นางไม่รู้สึกถึงผ้าที่นุ่งซึ่งได้หลุดลง  ถึงความเป็นคนวิกลจริต  ยืนตะลึงอยู่
ร้องไห้รำพันบ่นเพ้อเซซวนไปว่า
"บุตร ๒ คนตายเสียแล้ว
สามีของเราก็ตายเสียที่ทางเปลี่ยว
มารดาบิดาและพี่ชายก็ถูกเผาบนเชิงตะกอนเดียวกัน"


[ นางเดินไปพบพระศาสดา ]
คนทั้งหลายเห็นนางแล้ว  เข้าใจว่าเป็นหญิงบ้า
จึงเอาหยากเยื่อ  กอบฝุ่น  โปรยลงบนศีรษะ  ขว้างด้วยก้อนดิน

พระศาสดาประทับนั่งแสดงธรรมอยู่ในท่ามกลางบริษัท ๔ ในพระเชตวันมหาวิหาร
ได้ทอดพระเนตรเห็นนางผู้บำเพ็ญบารมีมาแสนกัป  สมบูรณ์ด้วยอภินิหาร  เดินมาอยู่

ได้ยินว่า  ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตตระ
นางเห็นพระเถรีผู้ทรงวินัยรูปหนึ่ง  อันพระปทุมุตตรศาสดาทรงตั้งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ
จึงทำคุณความดี  แล้วตั้งความปรารถนาไว้ว่า
"ขอหม่อมฉันพึงได้ตำแหน่งเลิศกว่าพระเถรีผู้ทรงวินัยทั้งหลายในสมัยพระพุทธเจ้าในอนาคต"

พระปทุมุตตรพุทธเจ้าทรงเล็งอนาคตังสญาณไป  ก็ทรงทราบว่าความปรารถนาจะสำเร็จ
จึงทรงพยากรณ์ว่า  "ในอนาคตกาล
หญิงผู้นี้จักเป็นผู้เลิศกว่าพระเถรีผู้ทรงวินัยทั้งหลาย  มีนามว่าปฏาจารา  ในศาสนาของพระโคดมพุทธเจ้า"

พระศาสดาทรงเห็นนางผู้มีความปรารถนาตั้งไว้แล้วอย่างนั้นผู้สมบูรณ์ด้วยอภินิหาร  กำลังเดินมาแต่ที่ไกลเทียว
ทรงดำริว่า  "เว้นเราเสีย  ผู้อื่นชื่อว่าสามารถจะเป็นที่พึ่งของหญิงผู้นี้ได้  ไม่มี"
จึงได้ทรงทำนางโดยประการที่นางจะบ่ายหน้าสู่วิหารเดินมา

หมู่ชนทั้งหลายเห็นนางแล้ว  พากันกล่าวว่า  "ท่านทั้งหลาย  อย่าให้หญิงบ้านี้มาที่นี่"

พระศาสดาตรัสว่า  "พวกท่านหลีกไป  อย่าห้ามเธอ"
ในเวลานางมาใกล้  จึงตรัสว่า  "จงกลับได้สติเถิด  น้องหญิง"

นางกลับได้สติด้วยพุทธานุภาพในขณะนั้นเอง
ในเวลานั้น  เมื่อนางรู้ตัวว่าผ้านุ่งหลุดไปแล้ว  เกิดละอาย  จึงนั่งกระโหย่ง
ลำดับนั้น  บุรุษผู้หนึ่งจึงโยนผ้าห่มไปให้นาง
นางนุ่งผ้านั้นแล้ว  เข้าไปเฝ้าพระศาสดา  ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์แทบพระบาททั้งสอง
แล้วทูลว่า  "ขอพระองค์จึงทรงเป็นที่พึ่งแก่หม่อมฉันเถิด  พระพุทธเจ้าข้า
เพราะว่าเหยี่ยวเฉี่ยวบุตรคนหนึ่งของหม่อมฉันไป
บุตรอีกคนหนึ่งถูกน้ำพัดไป
สามีตายที่ทางเปลี่ยว
มารดาบิดาและพี่ชายถูกเรือนทับตาย  เขาเผาบนเชิงตะกอนเดียวกัน"

พระศาสดาตรัสว่า  "อย่าคิดเลย  ปฏาจารา
เธอมาสู่สำนักของผู้สามารถจะเป็นที่พึ่งของเธอแล้ว
บุตรคนหนึ่งของเธอถูกเหยี่ยวเฉี่ยวไป  คนหนึ่งถูกน้ำพัดไป
สามีตายแล้วที่ทางเปลี่ยว  มารดาบิดาและพี่ชายถูกเรือนทับ  ฉันใด
น้ำตาที่ไหลออกของเธอผู้ร้องไห้อยู่ในวัฏสงสารนี้  ในเวลาที่ปิยชนมีบุตรเป็นต้นตาย
ยังมากกว่าน้ำแห่งมหาสมุทรทั้ง ๔  ก็ฉันนั้นเหมือนกัน"

ดังนี้แล้ว  ตรัสว่า
"น้ำในสมุทรทั้ง ๔ มีประมาณน้อย
น้ำตาของคนผู้มีความทุกข์  เศร้าโศกมิใช่น้อย  มากกว่าน้ำในมหาสมุทรนั้น
เหตุไรเธอจึงประมาทอยู่เล่า"

เมื่อพระศาสดาตรัสอนมตัคคปริยายสูตร (พระสูตรว่าด้วยความยาวนานของวัฏสงสาร) อยู่อย่างนั้น
ความโศกของนางได้เบาบางลงแล้ว

ลำดับนั้น  พระศาสดาทรงทราบว่านางมีความโศกเบาบางแล้ว
ทรงเตือนอีกว่า  "ปฏาจารา
ขึ้นชื่อว่าปิยชนมีบุตรเป็นต้น  ไม่อาจเพื่อเป็นที่ต้านทาน  เป็นที่พึ่ง  หรือเป็นที่ป้องกันของผู้ไปสู่ปรโลกได้
เพราะฉะนั้น  บุตรเป็นต้นเหล่านั้นถึงมีอยู่  ก็ชื่อว่าย่อมไม่มีทีเดียว
ส่วนบัณฑิตชำระศีลแล้ว  ควรชำระทางที่ทำให้ถึงนิพพานของตนเท่านั้น"

เมื่อจะทรงแสดงธรรม  ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
"เมื่อบุคคลถูกความตายครอบงำ
บุตรทั้งหลายก็ต้านทานไม่ได้
บิดาและพวกพ้องก็ต้านทานไม่ได้
แม้ญาติก็ต้านทานไม่ได้
บัณฑิตรู้ความจริงนี้แล้ว  พึงเป็นผู้สำรวมในศีล
พึงชำระทางไปพระนิพพานโดยเร็วทีเดียว"

ในกาลจบเทศนา
นางปฏาจาราเผากิเลสมีประมาณเท่าฝุ่นในแผ่นดินใหญ่แล้ว  ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล
ชนเหล่าอื่นเป็นอันมากก็บรรลุอริยผลทั้งหลาย  มีโสดาปัตติผลเป็นต้น


[ นางปฏาจาราทูลขอบวช ]
ฝ่ายนางปฏาจารานั้นเป็นพระโสดาบันแล้ว  ได้ทูลขอบรรพชา
พระศาสดาทรงส่งนางไปยังสำนักของพวกภิกษุณีให้บรรพชาแล้ว

วันหนึ่ง  นางกำลังเอาหม้อตักน้ำล้างเท้า  เทน้ำลง
น้ำนั้นไหลไปหน่อยหนึ่งแล้วก็ซึมหายไป
ครั้งที่ ๒  น้ำที่นางเทลง  ได้ไหลไปไกลกว่าครั้งแรก
ครั้งที่ ๓  น้ำที่เทลง  ได้ไหลไปไกลกว่าครั้งที่ ๒

นางถือเอาน้ำนั้นนั่นแลเป็นอารมณ์  กำหนดวัยทั้ง ๓ แล้ว  คิดว่า
"สัตว์เหล่านี้ตายเสียในปฐมวัยก็มี  เหมือนน้ำที่เราเทลงครั้งแรก
ตายเสียในมัชฌิมวัยก็มี  เหมือนน้ำที่เราเทลงครั้งที่ ๒  ไหลไปไกลกว่าครั้งแรก
ตายเสียในปัจฉิมวัยก็มี  เหมือนน้ำที่เราเทลงครั้งที่ ๓  ไหลไปไกลกว่าครั้งที่ ๒"

พระศาสดาประทับในพระคันธกุฎี  ทรงแผ่พระรัศมีไป  เป็นเหมือนประทับยืนตรัสอยู่เฉพาะหน้าของนาง
ตรัสว่า  "ปฏาจารา  ข้อนี้เป็นอย่างนั้น
ด้วยว่าความเป็นอยู่วันเดียวก็ดี  ขณะเดียวก็ดี  ของผู้เห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมแห่งปัญจขันธ์เหล่านั้น
ประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ ๑๐๐ ปีของผู้ไม่เห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมแห่งปัญจขันธ์"

ดังนี้แล้ว  จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
       "ผู้เห็นความเกิดและความดับ (ของขันธ์ ๕)
แม้มีชีวิตอยู่เพียงวันเดียว
ประเสริฐกว่าผู้ไม่เห็นความเกิดและความดับ
ที่มีชีวิตอยู่ตั้ง ๑๐๐ ปี"

ในกาลจบพระธรรมเทศนา
นางปฏาจาราบรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย  ดังนี้แล

บทความที่เกี่ยวข้อง
๑. เตือนสติอย่างไรดีเมื่อต้องสูญเสีย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

พยสนสูตร (อังคุตตรนิกาย > ปัญจกนิบาต > ตติยปัณณาสก์ > คิลานวรรค)

กาลียักขินีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > ยมกวรรค)