ปุตตมังสสูตร (สังยุตตนิกาย > นิทานวรรค > นิทานสังยุต > มหาวรรค)


ปุตตมังสสูตร  (ว่าด้วยเนื้อบุตร)

สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่  ณ  พระเชตวัน  อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี  เขตกรุงสาวัตถี

ณ  ที่นั้น  พระผู้มีพระภาคได้รับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า
"ภิกษุทั้งหลาย"

ภิกษุเหล่านั้นทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว
พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสเรื่องนี้ว่า
"ภิกษุทั้งหลาย
อาหาร ๔ อย่างนี้  เป็นไปเพื่อความดำรงอยู่ของหมู่สัตว์ผู้เกิดแล้ว  หรือเพื่ออนุเคราะห์หมู่สัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด

อาหาร ๔ อย่าง  อะไรบ้าง  คือ
๑. กวฬิงการาหาร  ที่หยาบหรือละเอียด
๒. ผัสสาหาร
๓. มโนสัญเจตนาหาร
๔. วิญญาณาหาร

อาหาร ๔ อย่างนี้  เป็นไปเพื่อความดำรงอยู่ของหมู่สัตว์ผู้เกิดแล้ว  หรือเพื่ออนุเคราะห์หมู่สัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด

กวฬิงการาหาร  จะพึงเห็นได้อย่างไร
คือ  เปรียบเหมือนภรรยาสามีทั้งสอง  ถือเอาเสบียงเล็กน้อย  เดินทางกันดาร
เขาทั้งสองมีบุตรน้อย ๑ คนทั้งน่ารักและน่าพอใจ
ขณะที่พวกเขากำลังเดินทางกันดาร  เสบียงที่มีเพียงเล็กน้อยได้หมดสิ้นไป  แต่ทางกันดารของพวกเขายังไม่ผ่านไปยังเหลืออยู่ไกล

ลำดับนั้น  เขาทั้งสองตกลงกันว่า
'เสบียงที่เหลืออยู่เล็กน้อยได้หมดสิ้นไปแล้ว  แต่ทางกันดารยังเหลืออยู่ไกล
ทางที่ดี  พวกเราช่วยกันฆ่าบุตรน้อยที่น่ารักน่าพอใจคนนี้เสีย  ทำเป็นเนื้อเค็มและเนื้อย่าง  บริโภคเนื้อบุตร  ก็จะข้ามพ้นทางกันดารที่เหลืออยู่ได้
เราทั้ง ๓ อย่าพินาศพร้อมกันเลย'

ต่อมา  ภรรยาสามีทั้งสองนั้นก็ฆ่าบุตรน้อยที่น่ารักน่าพอใจคนนั้น  ทำเป็นเนื้อเค็มและเนื้อย่าง  บริโภคเนื้อบุตรนั้นแหละจึงข้ามพ้นทางกันดารนั้นไปได้
พวกเขาบริโภคเนื้อบุตรไปพลาง  ทุบอกไปพลาง  รำพันว่า  'บุตรน้อยอยู่ที่ไหน  บุตรน้อยอยู่ที่ไหน'

เธอทั้งหลายจะเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร
คือ  พวกเขาบริโภคเนื้อบุตรเป็นอาหาร  เพื่อเล่น  เพื่อความมัวเมา  หรือเพื่อตกแต่ง  เพื่อประดับร่างกายหรือ"

"หามิได้  พระพุทธเจ้าข้า"

"พวกเขาบริโภคอาหารที่ปรุงจากเนื้อบุตรเพียงเพื่อจะข้ามทางกันดารให้พ้นหรือ"

"ใช่  พระพุทธเจ้าข้า"

"ภิกษุทั้งหลาย  อุปมานี้ฉันใด  อุปไมยก็ฉันนั้น
เรากล่าวว่า  'บุคคลพึงเห็นกวฬิงการาหารเปรียบเหมือนเนื้อบุตร'
เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้กวฬิงการาหารได้แล้ว  ก็เป็นอันกำหนดรู้ราคะซึ่งเกิดจากกามคุณ ๕
เมื่อกำหนดรู้ราคะซึ่งเกิดจากกามคุณ ๕ ได้แล้ว  สังโยชน์ที่เป็นเครื่องชักนำอริยสาวกให้มาสู่โลกนี้อีก  ก็ไม่มี

ผัสสาหาร  จะพึงเห็นได้อย่างไร
คือ  เปรียบเหมือนแม่โคที่ไม่มีหนังหุ้ม
ถ้ายืนพิงฝาอยู่  ก็จะถูกฝูงสัตว์ที่อาศัยฝาเจาะกิน
ถ้ายืนพิงต้นไม้อยู่  ก็จะถูกฝูงสัตว์ที่อาศัยต้นไม้เจาะกิน
ถ้าลงไปยืนแช่น้ำอยู่  ก็จะถูกฝูงสัตว์ที่อาศัยอยู่ในน้ำกัดกิน
ถ้ายืนอยู่ในที่แจ้ง  ก็จะถูกฝูงสัตว์ที่อาศัยอยู่ในอากาศเกาะจิกกิน
ไม่ว่าแม่โคตัวที่ไม่มีหนังหุ้มตัวนั้นจะไปอาศัยอยู่ในสถานที่ใด ๆ ก็ตาม  ก็ถูกจำพวกสัตว์ที่อาศัยอยู่ในสถานที่นั้น ๆ กัดกินอยู่ร่ำไป

อุปมานี้ฉันใด  อุปไมยก็ฉันนั้น
เรากล่าวว่า  'บุคคลพึงเห็นผัสสาหารเปรียบเหมือนแม่โคที่ไม่มีหนังหุ้ม'
เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้ผัสสาหารได้แล้ว  ก็เป็นอันกำหนดรู้เวทนา ๓ ประการ
เมื่อกำหนดรู้เวทนา ๓ ประการได้แล้ว  เรากล่าวว่าไม่มีสิ่งใดที่
อริยสาวกพึงทำให้ยิ่งไปกว่านี้

มโนสัญเจตนาหาร  จะพึงเห็นได้อย่างไร
คือ  เปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิง  ลึกกว่าชั่วคน  เต็มไปด้วยถ่านเพลิง  ไม่มีเปลว  ไม่มีควัน

ครั้งนั้น  บุรุษคนหนึ่งต้องการมีชีวิต  ไม่อยากตาย  รักสุขเกลียดทุกข์  เดินมา
บุรุษมีกำลัง ๒ คนจับแขนของเขาคนละข้าง  ฉุดไปลงหลุมถ่านเพลิง
ทันใดนั้น  เขามีเจตนาปรารถนาตั้งใจจะไปให้ไกลจากหลุมถ่านเพลิง
ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะเขารู้ว่า  'ถ้าเราจักตกหลุมถ่านเพลิงนี้  เราจักต้องตายหรือถึงทุกข์ปางตายเพราะเหตุนั้น'

อุปมานี้ฉันใด  อุปไมยก็ฉันนั้น
เรากล่าวว่า  'บุคคลพึงเห็นมโนสัญเจตนาหารเปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิง'
เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้มโนสัญเจตนาหารได้แล้ว  ก็เป็นอันกำหนดรู้ตัณหา ๓ ประการ
เมื่อกำหนดรู้ตัณหา ๓ ประการได้แล้ว  เรากล่าวว่าไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวกพึงทำให้ยิ่งไปกว่านี้

วิญญาณาหาร  จะพึงเห็นได้อย่างไร
คือ  เปรียบเหมือนราชบุรุษทั้งหลายจับโจรผู้ประพฤติชั่วได้แล้ว
จึงทูลแสดงแด่พระราชาว่า  'ขอเดชะ  ผู้นี้เป็นโจรประพฤติชั่วต่อพระองค์  ขอจงทรงลงพระอาญาตามที่ทรงพระราชประสงค์แก่โจรผู้นี้เถิด'

พระราชามีพระกระแสรับสั่งว่า  'ท่านทั้งหลาย  จงไปช่วยกันประหาร (ทำร้าย) มันด้วยหอก ๑๐๐ เล่มในเวลาเช้า'

ราชบุรุษทั้งหลายก็ช่วยกันประหารนักโทษคนนั้นด้วยหอก ๑๐๐ เล่มในเช้าวันนั้น

ต่อมาในเวลาเที่ยงวัน  พระราชาทรงซักถามราชบุรุษทั้งหลายว่า  'ท่านทั้งหลาย  นักโทษคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง'

ราชบุรุษทั้งหลายกราบทูลว่า  'เขายังมีชีวิตอยู่  พระพุทธเจ้าข้า'

จึงมีพระกระแสรับสั่งว่า  'ท่านทั้งหลาย  จงไปช่วยกันประหารมันด้วยหอก ๑๐๐ เล่มในเวลาเที่ยงวัน'

ราชบุรุษทั้งหลายก็ช่วยกันประหารนักโทษคนนั้นด้วยหอก ๑๐๐ เล่มในเวลาเที่ยงวัน

ต่อมาในเวลาเย็น  พระราชาทรงซักถามราชบุรุษทั้งหลายอีกว่า  'ท่านทั้งหลาย  นักโทษคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง'

ราชบุรุษทั้งหลายกราบทูลว่า  'เขายังมีชีวิตอยู่  พระพุทธเจ้าข้า'

จึงมีพระกระแสรับสั่งว่า  'ท่านทั้งหลาย  จงไปช่วยกันประหารมันด้วยหอก ๑๐๐ เล่มในเวลาเย็น'

ราชบุรุษทั้งหลายก็ช่วยกันประหารนักโทษคนนั้นด้วยหอก ๑๐๐ เล่มในเวลาเย็น

เธอทั้งหลายจะเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร
คือ  เมื่อเขาถูกประหารด้วยหอก ๓๐๐ เล่มตลอดทั้งวัน  จะพึงได้เสวยทุกข์โทมนัสซึ่งมีการประหารนั้นเป็นเหตุ    มิใช่หรือ"

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  เมื่อเขาถูกประหารแม้ด้วยหอก ๑ เล่ม  ยังได้เสวยทุกข์โทมนัสซึ่งมีการประหารนั้นเป็นเหตุ  ไม่ต้องพูดถึงเมื่อถูกประหารด้วยหอก ๓๐๐ เล่ม"

"ภิกษุทั้งหลาย  อุปมานี้ฉันใด  อุปไมยก็ฉันนั้น
เรากล่าวว่า  'บุคคลพึงเห็นวิญญาณาหารเปรียบเหมือนนักโทษประหาร'
เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้วิญญาณาหารได้แล้ว  ก็เป็นอันกำหนดรู้นามรูปได้
เมื่อกำหนดรู้นามรูปได้แล้ว  เรากล่าวว่าไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวกพึงทำให้ยิ่งไปกว่านี้"


ปุตตมังสสูตร  จบ


บทความที่เกี่ยวข้อง
๑. กินอย่างไรเมื่อมีข่าวไขมันทรานส์

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

พยสนสูตร (อังคุตตรนิกาย > ปัญจกนิบาต > ตติยปัณณาสก์ > คิลานวรรค)

กาลียักขินีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > ยมกวรรค)

ปฏาจาราเถรีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > สหัสสวรรค)