จูฬทุกขักขันธสูตร (มัชฌิมนิกาย > มูลปัณณาสก์ > สีหนาทวรรค)


จูฬทุกขักขันธสูตร  (ว่าด้วยกองทุกข์  สูตรเล็ก)

สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่  ณ  นิโครธาราม  เขตกรุงกบิลพัสดุ์  ในแคว้นสักกะ

ครั้งนั้น  เจ้าศากยะพระนามว่ามหานามะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ  ถวายอภิวาท  แล้วประทับนั่ง  ณ  ที่สมควร  ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ข้าพระองค์รู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วสิ้นกาลนานอย่างนี้ว่า
'โลภะเป็นอุปกิเลสแห่งจิต
โทสะเป็นอุปกิเลสแห่งจิต
โมหะเป็นอุปกิเลสแห่งจิต'

เมื่อเป็นเช่นนั้น
บางคราว  โลภธรรมยังครอบงำจิตของข้าพระองค์ไว้ได้บ้าง
โทสธรรมยังครอบงำจิตของข้าพระองค์ไว้ได้บ้าง
โมหธรรมยังครอบงำจิตของข้าพระองค์ไว้ได้บ้าง

ข้าพระองค์มีความคิดอย่างนี้ว่า  'ธรรมอะไรเล่าที่ข้าพระองค์ยังละไม่ได้ในภายใน
ซึ่งเป็นเหตุให้โลภธรรมยังครอบงำจิตของข้าพระองค์ไว้ได้บ้าง
โทสธรรมยังครอบงำจิตของข้าพระองค์ไว้ได้บ้าง
โมหธรรมยังครอบงำจิตของข้าพระองค์ไว้ได้บ้างเป็นครั้งคราว"

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  "มหานามะ
ธรรมในภายในนั้นแลเธอยังละไม่ได้
ซึ่งเป็นเหตุให้โลภธรรมครอบงำจิตของเธอไว้ได้บ้าง
โทสธรรมครอบงำจิตของเธอไว้ได้บ้าง
โมหธรรมครอบงำจิตของเธอไว้ได้บ้างเป็นครั้งคราว

ถ้าเธอจักละธรรมในภายในนั้นได้แล้ว  เธอก็จะไม่พึงอยู่ครองเรือน  ไม่พึงบริโภคกาม
แต่เพราะเธอละธรรมในภายในนั้นยังไม่ได้  เธอจึงยังอยู่ครองเรือน  ยังบริโภคกาม

แม้หากอริยสาวกเห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญาอันชอบว่า
'กามทั้งหลายมีความยินดีน้อย  มีทุกข์มาก  มีความคับแค้นมาก  มีโทษยิ่งใหญ่'  ก็ตาม
แต่อริยสาวกนั้นก็ยังไม่บรรลุฌานที่มีปีติและสุข (คือปฐมฌานและทุติยฌาน) ที่ปราศจากกามทั้งหลาย  ปราศจากอกุศลธรรมทั้งหลาย  หรือยังไม่บรรลุธรรมอื่นที่สงบกว่าฌานทั้ง ๒ นั้น
ดังนั้น  เขาจึงชื่อว่า  จะไม่เวียนมาหากามทั้งหลายอีกก็หาไม่

แต่เมื่อใด  อริยสาวกเห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญาอันชอบอย่างนี้ว่า
'กามทั้งหลายมีความยินดีน้อย  มีทุกข์มาก  มีความคับแค้นมาก  มีโทษยิ่งใหญ่'
อริยสาวกนั้นย่อมบรรลุฌานที่มีปีติและสุขที่ปราศจากกามทั้งหลาย  ปราศจากอกุศลธรรมทั้งหลาย  หรือบรรลุธรรมอื่นที่สงบกว่าฌานทั้ง ๒ นั้น
เมื่อนั้น  เขาจึงชื่อว่าย่อมไม่เวียนมาหากามทั้งหลายอีก

มหานามะ  ก่อนการตรัสรู้  แม้เมื่อครั้งเราเป็นโพธิสัตว์  ยังไม่ได้ตรัสรู้
เราก็เห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญาอันชอบอย่างนี้ว่า
'กามทั้งหลายมีความยินดีน้อย  มีทุกข์มาก  มีความคับแค้นมาก  มีโทษยิ่งใหญ่'  ก็ตาม
แต่เราก็ยังไม่บรรลุฌานที่มีปีติและสุขที่ปราศจากกามทั้งหลาย  ปราศจากอกุศลธรรมทั้งหลาย  หรือยังไม่บรรลุธรรมอื่นที่สงบกว่าฌานทั้ง ๒ นั้น
ดังนั้น  เราจึงปฏิญญาว่าชื่อว่าจะไม่เวียนมาหากามทั้งหลายก็หาไม่

แต่เมื่อใด  เราเห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญาอันชอบอย่างนี้ว่า
'กามทั้งหลายมีความยินดีน้อย  มีทุกข์มาก  มีความคับแค้นมาก  มีโทษยิ่งใหญ่'
เราได้บรรลุฌานที่มีปีติและสุขที่ปราศจากกามทั้งหลาย  ปราศจากอกุศลธรรมทั้งหลาย  หรือบรรลุธรรมอื่นที่สงบกว่าฌานทั้ง ๒ นั้น
เมื่อนั้น  เราจึงปฏิญญาว่าไม่เวียนมาหากามทั้งหลายอีก

[ คุณแห่งกาม ]
มหานามะ  อะไรเล่าเป็นคุณแห่งกามทั้งหลาย
กามคุณ ๕ ประการนี้
กามคุณ ๕ ประการ  อะไรบ้าง  คือ
๑. รูปที่จะพึงรู้แจ้งทางตา  ที่น่าปรารถนา  น่าใคร่  น่าพอใจ  ชวนให้รัก  ชักให้ใคร่  พาใจให้กำหนัด
๒. เสียงที่จะพึงรู้แจ้งทางหู  ที่น่าปรารถนา  น่าใคร่  น่าพอใจ  ชวนให้รัก  ชักให้ใคร่  พาใจให้กำหนัด
๓. กลิ่นที่จะพึงรู้แจ้งทางจมูก  ที่น่าปรารถนา  น่าใคร่  น่าพอใจ  ชวนให้รัก  ชักให้ใคร่  พาใจให้กำหนัด
๔. รสที่จะพึงรู้แจ้งทางลิ้น  ที่น่าปรารถนา  น่าใคร่  น่าพอใจ  ชวนให้รัก  ชักให้ใคร่  พาใจให้กำหนัด
๕. โผฏฐัพพะที่จะพึงรู้แจ้งทางกาย  ที่น่าปรารถนา  น่าใคร่  น่าพอใจ  ชวนให้รัก  ชักให้ใคร่  พาใจให้กำหนัด
กามคุณมี ๕ ประการนี้แล

การที่สุขโสมนัสเกิดขึ้นเพราะอาศัยกามคุณ ๕ ประการ  นี้ชื่อว่าเป็นคุณแห่งกามทั้งหลาย


[ โทษแห่งกาม ]
อะไรเล่า  เป็นโทษแห่งกามทั้งหลาย
คือ  กุลบุตรในโลกนี้เลี้ยงชีวิตด้วยการประกอบศิลปะใด  คือ  ด้วยการนับคะแนน  การคำนวณ  การนับจำนวน  การไถ  การค้าขาย  การเลี้ยงโค  การยิงธนู  การรับราชการ  หรือด้วยศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่ง  อดทนต่อความหนาว  ตรากตรำต่อความร้อน  เดือดร้อนเพราะสัมผัสแห่งเหลือบ  ยุง  ลม  แดด  และสัตว์เลื้อยคลาน  และตายเพราะความหิวกระหาย
แม้ข้อนี้ก็ชื่อว่าเป็นโทษแห่งกามทั้งหลาย  เป็นกองทุกข์ที่จะพึงเห็นได้เอง  มีกามเป็นเหตุ  มีกามเป็นต้นเหตุ  มีกามเป็นเหตุเกิด  เกิดเพราะเหตุแห่งกามทั้งหลายนั่นแล

ถ้าเมื่อกุลบุตรนั้นขยันพากเพียรพยายามอยู่อย่างนี้  โภคสมบัติเหล่านั้นไม่สัมฤทธิผล  เขาย่อมเศร้าโศก  ลำบาก  รำพัน  ตีอก  คร่ำครวญ  ถึงความหลงเพ้อว่า  'ความขยันของเราเป็นโมฆะหนอ  ความพยายามของเราก็ไม่มีผลเลยหนอ'
แม้ข้อนี้ก็ชื่อว่าเป็นโทษแห่งกามทั้งหลาย  เป็นกองทุกข์ที่จะพึงเห็นได้เอง  มีกามเป็นเหตุ  มีกามเป็นต้นเหตุ  มีกามเป็นเหตุเกิด  เกิดเพราะเหตุแห่งกามทั้งหลายนั่นแล

ถ้าเมื่อกุลบุตรนั้นขยันพากเพียรพยายามอยู่อย่างนี้  โภคสมบัติเหล่านั้นสัมฤทธิผล  เขาก็ต้องเสวยทุกข์โทมนัสอันมีเหตุมาจากการรักษาโภคสมบัติเหล่านั้นว่า  'ทำอย่างไร  พระราชาจะไม่พึงริบโภคสมบัติทั้งหลายของเรา  พวกโจรจะไม่พึงลักไป  ไฟจะไม่พึงไหม้  น้ำจะไม่พึงพัดไป  หรือทายาทผู้ไม่เป็นที่รักจะไม่พึงแย่งไป'
แต่เมื่อกุลบุตรนั้นรักษาคุ้มครองอยู่อย่างนี้  พระราชาริบโภคสมบัตินั้นไปก็ดี  พวกโจรปล้นเอาไปก็ดี  ไฟไหม้เสียก็ดี  น้ำพัดไปก็ดี  ทายาทผู้ไม่เป็นที่รักแย่งเอาไปก็ดี  เขาย่อมเศร้าโศก  ลำบาก  รำพัน  ตีอก  คร่ำครวญ  ถึงความหลงเพ้อว่า  'สิ่งใดเคยเป็นของเรา  แม้สิ่งนั้นก็ไม่เป็นของเรา'
แม้ข้อนี้ก็ชื่อว่าเป็นโทษแห่งกามทั้งหลาย  เป็นกองทุกข์ที่จะพึงเห็นได้เอง  มีกามเป็นเหตุ  มีกามเป็นต้นเหตุ  มีกามเป็นเหตุเกิด  เกิดเพราะเหตุแห่งกามทั้งหลายนั่นแล

อีกประการหนึ่ง  เพราะกามเป็นเหตุ  เพราะกามเป็นต้นเหตุ  เพราะกามเป็นเหตุเกิด  เพราะเหตุแห่งกามทั้งหลายนั่นแล  พระราชาทรงวิวาทกับพระราชาก็มี  กษัตริย์วิวาทกับกษัตริย์ก็มี  พราหมณ์วิวาทกับพราหมณ์ก็มี  คหบดีวิวาทกับคหบดีก็มี  มารดาวิวาทกับบุตรก็มี  บุตรวิวาทกับมารดาก็มี  บิดาวิวาทกับบุตรก็มี  บุตรวิวาทกับบิดาก็มี  พี่ชายน้องชายวิวาทกับพี่ชายน้องชายก็มี  พี่ชายน้องชายวิวาทกับพี่สาวน้องสาวก็มี  พี่สาวน้องสาววิวาทกับพี่ชายน้องชายก็มี  สหายวิวาทกับสหายก็มี
ชนเหล่านั้นก่อการทะเลาะ  ก่อการแก่งแย่ง  และก่อการวิวาทกันในที่นั้น  ทำร้ายกันและกันด้วยฝ่ามือบ้าง  ด้วยก้อนดินบ้าง  ด้วยท่อนไม้บ้าง  ด้วยศัสตราบ้าง
ชนเหล่านั้นจึงเข้าถึงความตายบ้าง  ทุกข์ปางตายบ้าง
แม้ข้อนี้ก็ชื่อว่าเป็นโทษแห่งกามทั้งหลาย  เป็นกองทุกข์ที่จะพึงเห็นได้เอง  มีกามเป็นเหตุ  มีกามเป็นต้นเหตุ  มีกามเป็นเหตุเกิด  เกิดเพราะเหตุแห่งกามทั้งหลายนั่นแล

อีกประการหนึ่ง  เพราะกามเป็นเหตุ  เพราะกามเป็นต้นเหตุ  เพราะกามเป็นเหตุเกิด  เพราะเหตุแห่งกามทั้งหลาย  ชนทั้งหลายถือดาบและโล่  จับธนูพาดลูกศร  แล้ววิ่งเข้าสู่สงครามปะทะกันทั้ง ๒ ฝ่าย
เมื่อพวกเขายิงลูกศรไปบ้าง  พุ่งหอกไปบ้าง  กวัดแกว่งดาบฟันกันบ้าง  ชนเหล่านั้นถูกลูกศรเสียบเอาบ้าง  ถูกหอกแทงเอาบ้าง  ถูกดาบตัดศีรษะบ้าง
ชนเหล่านั้นจึงเข้าถึงความตายบ้าง  ทุกข์ปางตายบ้าง
แม้ข้อนี้ก็ชื่อว่าเป็นโทษแห่งกามทั้งหลาย  เป็นกองทุกข์ที่จะพึงเห็นได้เอง  มีกามเป็นเหตุ  มีกามเป็นต้นเหตุ  มีกามเป็นเหตุเกิด  เกิดเพราะเหตุแห่งกามทั้งหลายนั่นแล

อีกประการหนึ่ง  เพราะกามเป็นเหตุ  เพราะกามเป็นต้นเหตุ  เพราะกามเป็นเหตุเกิด  เพราะเหตุแห่งกามทั้งหลาย  ชนทั้งหลายถือดาบและโล่  จับธนูพาดลูกศร  แล้ววิ่งเข้าไปยังเชิงกำแพงที่ฉาบด้วยเปือกตมร้อน
เมื่อพวกเขายิงลูกศรไปบ้าง  พุ่งหอกไปบ้าง  กวัดแกว่งดาบฟันกันบ้าง  ชนเหล่านั้นถูกลูกศรเสียบเอาบ้าง  ถูกหอกแทงเอาบ้าง  ถูกมูลโคร้อนรดบ้าง  ถูกคราดสับบ้าง  ถูกดาบตัดศีรษะบ้าง
ชนเหล่านั้นจึงเข้าถึงความตายบ้าง  ทุกข์ปางตายบ้าง
แม้ข้อนี้ก็ชื่อว่าเป็นโทษแห่งกามทั้งหลาย  เป็นกองทุกข์ที่จะพึงเห็นได้เอง  มีกามเป็นเหตุ  มีกามเป็นต้นเหตุ  มีกามเป็นเหตุเกิด  เกิดเพราะเหตุแห่งกามทั้งหลายนั่นแล

อีกประการหนึ่ง  เพราะกามเป็นเหตุ  เพราะกามเป็นต้นเหตุ  เพราะกามเป็นเหตุเกิด  เพราะเหตุแห่งกามทั้งหลาย  ชนทั้งหลายตัดช่องย่องเบาบ้าง  ขโมยยกเค้าบ้าง  ปล้นบ้านบ้าง  ดักจี้ในทางเปลี่ยวบ้าง  ละเมิดภรรยาผู้อื่นบ้าง
พระราชาก็รับสั่งให้จับเขาลงอาญาด้วยประการต่าง ๆ  คือ
เฆี่ยนด้วยแส้บ้าง  เฆี่ยนด้วยหวายบ้าง  ตีด้วยไม้พลองบ้าง
ตัดมือบ้าง  ตัดเท้าบ้าง  ตัดทั้งมือและเท้าบ้าง
ตัดใบหูบ้าง  ตัดจมูกบ้าง  ตัดทั้งใบหูและจมูกบ้าง
วางก้อนเหล็กแดงบนศีรษะบ้าง
ถลกหนังศีรษะแล้วขัดให้ขาวเหมือนสังข์บ้าง
เอาไฟยัดปากจนเลือดไหลเหมือนปากราหูบ้าง
เอาผ้าพันตัวราดน้ำมันแล้วจุดไฟเผาบ้าง
พันมือแล้วจุดไฟต่างคบบ้าง
ถลกหนังตั้งแต่คอถึงข้อเท้า  ให้ลุกเดินเหยียบหนังจนล้มลงบ้าง
ถลกหนังตั้งแต่คอถึงบั้นเอว  ทำให้มองดูเหมือนนุ่งผ้าคากรองบ้าง
สวมปลอกเหล็กที่ข้อศอกและเข่า  แล้วเสียบหลาวทั้งห้าทิศเอาไฟเผาบ้าง
ใช้เบ็ดเกี่ยวหนัง  เนื้อ  เอ็นออกมาบ้าง
เฉือนเนื้อออกเป็นแว่น ๆ เหมือนเหรียญกษาปณ์บ้าง
เฉือนหนัง  เนื้อ  เอ็นออก  เหลือไว้แต่กระดูกบ้าง
ใช้หลาวแทงช่องหูให้ทะลุถึงกันบ้าง
เสียบให้ติดดินแล้วจับหมุนได้รอบบ้าง
ทุบกระดูกให้แหลกแล้วถลกหนังออก  เหลือไว้แต่กองเนื้อเหมือนตั่งใบไม้บ้าง
รดตัวด้วยน้ำมันที่กำลังเดือดพล่านบ้าง
ให้สุนัขกัดกินจนเหลือแต่กระดูกบ้าง
ให้นอนบนหลาวเหล็กทั้งเป็นบ้าง
ตัดศีรษะออกด้วยดาบบ้าง
ชนเหล่านั้นจึงถึงความตายบ้าง  ทุกข์ปางตายบ้าง
แม้ข้อนี้ก็ชื่อว่าเป็นโทษแห่งกามทั้งหลาย  เป็นกองทุกข์ที่จะพึงเห็นได้เอง  มีกามเป็นเหตุ  มีกามเป็นต้นเหตุ  มีกามเป็นเหตุเกิด  เกิดเพราะเหตุแห่งกามทั้งหลายนั่นแล

อีกประการหนึ่ง  เพราะกามเป็นเหตุ  เพราะกามเป็นต้นเหตุ  เพราะกามเป็นเหตุเกิด  เพราะเหตุแห่งกามทั้งหลาย
ชนทั้งหลายประพฤติกายทุจริต  วจีทุจริต  และมโนทุจริต
ครั้นประพฤติกายทุจริต  วจีทุจริต  มโนทุจริตแล้ว  หลังจากตายแล้วย่อมไปเกิดในอบาย  ทุคติ  วินิบาต  นรก
แม้ข้อนี้ก็ชื่อว่าเป็นโทษแห่งกามทั้งหลาย  เป็นกองทุกข์ในสัมปรายภพ  มีกามเป็นเหตุ  มีกามเป็นต้นเหตุ  มีกามเป็นเหตุเกิด  เกิดเพราะเหตุแห่งกามทั้งหลายนั่นแล


[ ลัทธิของนิครนถ์ ]
มหานามะ  สมัยหนึ่ง  เราอยู่ที่ภูเขาคิชฌกูฏ  เขตกรุงราชคฤห์

สมัยนั้น  ณ  ตำบลกาฬศิลาข้างภูเขาอิสิคิลิ
นิครนถ์เป็นจำนวนมากถือการยืนเป็นวัตร  ปฏิเสธการนั่ง  เสวยทุกขเวทนาอันแรงกล้า  เผ็ดร้อน  ซึ่งเกิดจากความพยายาม

ครั้งนั้น  เราออกจากที่หลีกเร้นในเวลาเย็น  เข้าไปหานิครนถ์เหล่านั้นจนถึงตำบลกาฬศิลาข้างภูเขาอิสิคิลิ  แล้วได้กล่าวกับนิครนถ์เหล่านั้นว่า  'นิครนถ์ทั้งหลาย  ไฉนเล่า  ท่านทั้งหลายจึงถือการยืนเป็นวัตร  ปฏิเสธการนั่ง  เสวยทุกขเวทนาอันแรงกล้า  เผ็ดร้อน  ซึ่งเกิดจากความพยายาม'

เมื่อเรากล่าวอย่างนั้นแล้ว  นิครนถ์เหล่านั้นได้กล่าวกับเราว่า  'ท่านผู้มีอายุ  นิครนถ์  นาฏบุตรเป็นสัพพัญญู (ผู้รู้ทุกสิ่ง)  เห็นสิ่งทั้งปวง  ปฏิญญาญาณทัสสนะอย่างเบ็ดเสร็จว่า  'เมื่อเราเดิน  ยืน  หลับ  และตื่นอยู่  ญาณทัสสนะได้ปรากฏต่อเนื่องตลอดไป'
นิครนถ์  นาฏบุตรนั้นกล่าวอย่างนี้ว่า  'นิครนถ์ทั้งหลายผู้เจริญ  บาปกรรมที่พวกท่านทำแล้วในกาลก่อนมีอยู่
พวกท่านจงสลัดบาปกรรมนั้นด้วยปฏิปทาที่ทำได้ยากอันเผ็ดร้อนนี้
ข้อที่ท่านทั้งหลายสำรวมกาย  สำรวมวาจา  สำรวมใจ  ในกาลบัดนี้นั้น  เป็นการไม่กระทำบาปกรรมต่อไป
เพราะกรรมเก่าสิ้นสุดไปเพราะตบะ (การบำเพ็ญเพียรอย่างหนัก)  และเพราะไม่ทำกรรมใหม่  จึงไม่ตกอยู่ใต้อำนาจ (แห่งกรรม) ต่อไป
เพราะไม่เป็นไปตามอำนาจแห่งกรรมต่อไป  กรรมจึงสิ้นไป
เพราะกรรมสิ้นไป  ทุกข์จึงสิ้นไป
เพราะทุกข์สิ้นไป  เวทนาจึงสิ้นไป
เพราะเวทนาสิ้นไป  ทุกข์ทั้งปวงจึงจักเป็นอันสลายไป
คำที่นิครนถ์  นาฏบุตรกล่าวแล้วนั้น  ถูกใจและชอบใจเราทั้งหลาย  เพราะเหตุนั้น  พวกเราจึงมีใจยินดี'

มหานามะ  เมื่อพวกนิครนถ์กล่าวอย่างนี้แล้ว  เราได้กล่าวกับนิครนถ์เหล่านั้นว่า  'นิครนถ์ทั้งหลาย  พวกท่านรู้ไหมว่า  'เมื่อก่อน  เราทั้งหลายได้มีแล้ว  มิใช่ไม่ได้มีแล้ว'

พวกนิครนถ์ตอบว่า  'ท่านพระโคดม  ข้อนี้มิได้เป็นดังนั้น'

ตถาคตถามว่า  'พวกท่านรู้ไหมว่า  'เมื่อก่อน  เราทั้งหลายได้ทำบาปกรรมไว้  มิใช่ไม่ได้ทำไว้'

พวกนิครนถ์ตอบว่า  'ท่านพระโคดม  ข้อนี้มิได้เป็นดังนั้น'

ตถาคตถามว่า  'พวกท่านรู้ไหมว่า  'เมื่อก่อน  เราทั้งหลายได้ทำบาปกรรมเช่นนี้บ้าง ๆ'

พวกนิครนถ์ตอบว่า  'ท่านพระโคดม  ข้อนี้มิได้เป็นดังนั้น'

ตถาคตถามว่า  'พวกท่านรู้ไหมว่า  'เมื่อก่อน  ทุกข์เท่านี้เราสลัดได้แล้ว  ทุกข์เท่านี้เราพึงสลัดเสีย  หรือเมื่อเราสลัดทุกข์เท่านี้ได้แล้ว  ก็จักเป็นอันสลัดทุกข์ได้ทั้งหมด'

พวกนิครนถ์ตอบว่า  'ท่านพระโคดม  ข้อนี้มิได้เป็นดังนั้น'

ตถาคตถามว่า  'พวกท่านรู้จักการละอกุศลธรรมทั้งหลาย  การบำเพ็ญกุศลธรรมทั้งหลายในปัจจุบันหรือ'

พวกนิครนถ์ตอบว่า  'ท่านพระโคดม  ข้อนี้มิได้เป็นดังนั้น'

ตถาคตถามว่า  'ท่านนิครนถ์ทั้งหลาย  ได้ยินมาว่า
พวกท่านไม่รู้ว่า  'เมื่อก่อนเราทั้งหลายได้มีแล้ว  มิใช่ไม่ได้มีแล้ว'
ไม่รู้ว่า  'เมื่อก่อน  เราได้ทำบาปกรรมไว้  มิใช่ไม่ได้ทำไว้'
ไม่รู้ว่า  'เราได้ทำบาปกรรมเช่นนี้บ้าง ๆ'
ไม่รู้ว่า  'ทุกข์เท่านี้เราสลัดได้แล้ว  ทุกข์เท่านี้เราพึงสลัดเสีย  หรือเมื่อเราสลัดทุกข์เท่านี้ได้แล้ว  ก็จักเป็นอันสลัดทุกข์ได้ทั้งหมด'
ไม่รู้จักการละอกุศลธรรมทั้งหลาย  การบำเพ็ญกุศลธรรมทั้งหลายในปัจจุบัน
เมื่อเป็นเช่นนี้  ผู้ที่บวชในพวกนิครนถ์ก็เฉพาะแต่พวกคนโหดร้าย  มีมือเปื้อนเลือด  ทำกรรมชั่วช้า  กลับมาเกิดในหมู่มนุษย์ในโลก'

[ บุคคลผู้อยู่เป็นสุข ]
พวกนิครนถ์ตอบว่า  'ท่านพระโคดม  บุคคลมิใช่จะพึงประสบความสุขได้ด้วยความสุข  แต่จะพึงประสบความสุขได้ด้วยความทุกข์
ถ้าบุคคลจักประสบความสุขได้ด้วยความสุข  พระเจ้าพิมพิสารจอมทัพแคว้นมคธก็คงจะประสบความสุข  เพราะพระเจ้าพิมพิสารจอมทัพแคว้นมคธจะอยู่เป็นสุขกว่าท่านพระโคดม'

ตถาคตถามว่า  'นิครนถ์ทั้งหลายกล่าววาจาหุนหัน  ไม่ทันพิจารณาอย่างแน่แท้ว่า  'บุคคลมิใช่จะพึงประสบความสุขได้ด้วยความสุข  แต่จะพึงประสบความสุขได้ด้วยความทุกข์
ถ้าบุคคลจักประสบความสุขได้ด้วยความสุข  พระเจ้าพิมพิสารจอมทัพแคว้นมคธก็คงจะประสบความสุข  เพราะพระเจ้าพิมพิสารจอมทัพแคว้นมคธจะอยู่เป็นสุขยิ่งกว่าท่านพระโคดม'
แต่ว่าเราเท่านั้นที่พวกท่านควรซักถามในเนื้อความนั้นว่า
'บรรดาท่านทั้งหลาย  ใครเล่าหนออยู่เป็นสุขกว่ากัน  พระเจ้าพิมพิสารจอมทัพแคว้นมคธ  หรือท่านพระโคดมเอง'

พวกนิครนถ์ตอบว่า  'พวกข้าพเจ้ากล่าววาจาหุนหัน  ไม่ทันพิจารณาอย่างแน่แท้ว่า  'บุคคลมิใช่จะพึงประสบความสุขได้ด้วยความสุข  แต่จะพึงประสบความสุขได้ด้วยความทุกข์
ถ้าบุคคลจักประสบความสุขได้ด้วยความสุข  พระเจ้าพิมพิสารจอมทัพแคว้นมคธก็คงจะประสบความสุข  เพราะพระเจ้าพิมพิสารจอมทัพแคว้นมคธจะอยู่เป็นสุขกว่าท่านพระโคดม'
ขอโอกาสหยุดเรื่องนี้ไว้เพียงเท่านี้
แม้บัดนี้  พวกข้าพเจ้าจะถามท่านพระโคดมบ้างว่า
'บรรดาท่านทั้งหลาย  ใครเล่าหนออยู่เป็นสุขกว่ากัน  พระเจ้าพิมพิสารจอมทัพแคว้นมคธ  หรือท่านพระโคดมเอง'

ตถาคตถามว่า  'ถ้าอย่างนั้น  ในเนื้อความข้อนั้น  เราจักถามพวกท่านนั่นแลว่า  พวกท่านเข้าใจอย่างใด  ควรตอบอย่างนั้น
พวกท่านเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร
พระเจ้าพิมพิสารจอมทัพแคว้นมคธไม่ทรงเคลื่อนไหวพระวรกาย  ไม่มีพระดำรัส  สามารถเสวยสุขโดยส่วนเดียวอยู่ตลอด ๗ คืน ๗ วันหรือ'

พวกนิครนถ์ตอบว่า  'ท่านพระโคดม  ข้อนี้มิได้เป็นดังนั้น'

ตถาคตถามว่า  'พวกท่านเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร  พระเจ้าพิมพิสารจอมทัพแคว้นมคธไม่ทรงเคลื่อนไหวพระวรกาย  ไม่มีพระดำรัส    สามารถเสวยสุขโดยส่วนเดียวอยู่ตลอด ๖ คืน ๖ วัน  ...  ๕ คืน ๕ วัน  ...  ๔ คืน ๔ วัน  ...  ๓ คืน ๓ วัน  ...  ๒ คืน ๒ วัน
พระเจ้าพิมพิสารจอมทัพแคว้นมคธไม่ทรงเคลื่อนไหวพระวรกาย  ไม่มีพระดำรัส  สามารถเสวยสุขโดยส่วนเดียวอยู่ตลอด ๑ คืน ๑ วันได้หรือ'

พวกนิครนถ์ตอบว่า  'ท่านพระโคดม  ข้อนี้มิได้เป็นดังนั้น'

ตถาคตถามว่า  'เราไม่เคลื่อนไหวกาย  ไม่พูด  สามารถเสวยสุขโดยส่วนเดียวอยู่ตลอด ๑ คืน ๑ วัน  ...  ๒ คืน ๒ วัน  ...  ๓ คืน ๓ วัน  ...  ๔ คืน ๔ วัน  ...  ๕ คืน ๕ วัน  ...  ๖ คืน ๖ วัน
เราไม่เคลื่อนไหวกาย  ไม่พูด  สามารถเสวยสุขโดยส่วนเดียวอยู่ตลอด ๗ คืน ๗ วัน
พวกท่านเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร  เมื่อเป็นเช่นนี้  ใครเล่าจะอยู่เป็นสุขกว่ากัน  พระเจ้าพิมพิสารจอมทัพแคว้นมคธหรือเราเอง'

พวกนิครนถ์ตอบว่า  'เมื่อเป็นเช่นนี้  ท่านพระโคดมเท่านั้นอยู่เป็นสุขกว่าพระเจ้าพิมพิสารจอมทัพแคว้นมคธ"

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสภาษิตนี้แล้ว
เจ้าศากยะพระนามว่ามหานามะทรงมีใจยินดีชื่นชมพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค  ดังนี้


จูฬทุกขักขันธสูตร  จบ


บทความที่เกี่ยวข้อง
๑. มองโทษประหารอย่างชาวพุทธ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

พยสนสูตร (อังคุตตรนิกาย > ปัญจกนิบาต > ตติยปัณณาสก์ > คิลานวรรค)

กาลียักขินีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > ยมกวรรค)

ปฏาจาราเถรีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > สหัสสวรรค)