มหากัมมวิภังคสูตร (มัชฌิมนิกาย > อุปริปัณณาสก์ > วิภังควรรค)


มหากัมมวิภังคสูตร  (ว่าด้วยการจำแนกกรรม  สูตรใหญ่)

สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่  ณ  พระเวฬุวัน  สถานที่ให้เหยื่อกระแต  เขตกรุงราชคฤห์

สมัยนั้นแล  ท่านพระสมิทธิอยู่ในกระท่อมป่า

ครั้งนั้น  ปริพาชกชื่อโปตลิบุตรเที่ยวเดินเล่นอยู่  เข้าไปหาท่านพระสมิทธิถึงที่อยู่  แล้วได้สนทนาปราศรัยพอเป็นที่บันเทิงใจ  พอเป็นที่ระลึกถึงกัน  แล้วนั่ง  ณ  ที่สมควร  ได้กล่าวกับท่านพระสมิทธิว่า
"ท่านพระสมิทธิ
ข้าพเจ้าได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์พระสมณโคดมว่า
'กายกรรมไม่จริง  วจีกรรมไม่จริง  มโนกรรมเท่านั้นจริง'
และว่า  'สมาบัติที่บุคคลเข้าแล้วไม่เสวยเวทนาอะไร ๆ นั้นก็มีอยู่"

ท่านพระสมิทธิกล่าวว่า
"ท่านโปตลิบุตร
ท่านอย่ากล่าวอย่างนี้  อย่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาค  การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคไม่ดีเลย
เพราะพระผู้มีพระภาคมิได้ตรัสไว้อย่างนี้ว่า  'กายกรรมไม่จริง  วจีกรรมไม่จริง  มโนกรรมเท่านั้นจริง'
และว่า  'สมาบัติที่บุคคลเข้าแล้วไม่เสวยเวทนาอะไร ๆ นั้นก็มีอยู่’

"ท่านพระสมิทธิ  ท่านบวชมานานเท่าไรแล้ว"

"ท่านผู้มีอายุ  อาตมภาพบวชได้ไม่นาน  เพียง ๓ พรรษา"

"บัดนี้  ในเมื่อภิกษุใหม่ยังคิดปกป้องพระศาสดาถึงเพียงนี้  เราทั้งหลายจะพูดอะไรกับภิกษุผู้เป็นพระเถระได้เล่า
ท่านพระสมิทธิ  บุคคลทำกรรมที่ประกอบด้วยความจงใจทางกาย  ทางวาจา  และทางใจแล้ว  จะเสวยผลอะไร"

"ท่านโปตลิบุตร
บุคคลทำกรรมที่ประกอบด้วยความจงใจทางกาย  ทางวาจา  และทางใจแล้ว  จะเสวยทุกข์"

ลำดับนั้น  ปริพาชกชื่อโปตลิบุตรไม่ยินดีไม่คัดค้านภาษิตของท่านพระสมิทธิ  ลุกจากที่นั่งแล้วจากไป

ครั้งนั้นแล  เมื่อปริพาชกชื่อโปตลิบุตรจากไปไม่นาน
ท่านพระสมิทธิเข้าไปหาท่านพระอานนท์ถึงที่อยู่  แล้วได้สนทนาปราศรัยพอเป็นที่บันเทิงใจ  พอเป็นที่ระลึกถึงกัน  แล้วนั่ง  ณ  ที่สมควร  เล่าเรื่องที่ตนได้สนทนาปราศรัยกับปริพาชกชื่อโปตลิบุตรทั้งหมดแก่ท่านพระอานนทเถระ

เมื่อท่านพระสมิทธิเล่าเรื่องอย่างนี้แล้ว
ท่านพระอานนท์จึงได้กล่าวกับท่านพระสมิทธิว่า
"ท่านสมิทธิ  เรื่องนี้มีมูลเหตุพอที่จะเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคได้
มาเถิด  เราทั้งสองพึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ  พึงกราบทูลเนื้อความนี้แด่พระองค์
พระผู้มีพระภาคของเราทั้งหลายทรงตอบอย่างใด  เราทั้งหลายควรทรงจำเนื้อความนั้นไว้อย่างนั้น"

ท่านพระสมิทธิรับคำแล้ว

ครั้งนั้น  ท่านพระสมิทธิและท่านพระอานนท์ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ  ถวายอภิวาท  แล้วนั่ง  ณ  ที่สมควร
ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลเรื่องที่ท่านพระสมิทธิได้สนทนาปราศรัยกับปริพาชกชื่อโปตลิบุตรทั้งหมดแด่พระผู้มีพระภาค

เมื่อพระอานนท์กราบทูลอย่างนี้แล้ว
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับท่านพระอานนท์ว่า
"อานนท์  เราไม่รู้แม้ความเห็นของปริพาชกชื่อโปตลิบุตรเลย  จะรู้การสนทนาปราศัยกันเห็นปานนี้ได้อย่างไร
โมฆบุรุษผู้มีนามว่าสมิทธินี้ได้ตอบปัญหาที่ควรจำแนกตอบแก่ปริพาชกชื่อโปตลิบุตรโดยแง่เดียว"

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว
ท่านพระอุทายีได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
"ก็ถ้าท่านพระสมิทธิกล่าวหมายเอาทุกข์นี้แล้ว
อารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งที่สัตว์เสวยแล้ว  อารมณ์นั้นต้องจัดเข้าในทุกข์หรือ  พระพุทธเจ้าข้า"

เมื่อท่านพระอุทายีกราบทูลอย่างนี้แล้ว
พระผู้มีพระภาคจึงรับสั่งเรียกท่านพระอานนท์มาตรัสว่า
"อานนท์  เธอจงเห็นความนอกลู่นอกทางของอุทายีผู้เป็นโมฆบุรุษนี้เถิด
เราได้รู้บัดนี้เอง  โมฆบุรุษอุทายีนี้เมื่อจะพูด  ก็พูดโพล่งออกมาโดยไม่แยบคาย

เบื้องต้นทีเดียว  ปริพาชกชื่อโปตลิบุตรถามถึงเวทนา ๓
ถ้าโมฆบุรุษสมิทธิผู้ถูกถามอย่างนี้  จะพึงตอบอย่างนี้ว่า
'ท่านโปตลิบุตร
บุคคลทำกรรมที่ประกอบด้วยความจงใจทางกาย  ทางวาจา  และทางใจอันให้ผลเป็นสุข  ย่อมเสวยสุข
บุคคลทำกรรมที่ประกอบด้วยความจงใจทางกาย  ทางวาจา  และทางใจอันให้ผลเป็นทุกข์  ย่อมเสวยทุกข์
บุคคลทำกรรมที่ประกอบด้วยความจงใจทางกาย  ทางวาจา  และทางใจอันให้ผลเป็นอทุกขมสุข  ย่อมเสวยผลเป็นอทุกขมสุข

อานนท์  โมฆบุรุษสมิทธิเมื่อตอบอย่างนี้  ชื่อว่าตอบโดยชอบแก่ปริพาชกชื่อโปตลิบุตร
แต่ว่าอัญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้นเป็นคนโง่  ไม่ฉลาด  จะเข้าใจมหากัมมวิภังค์ของตถาคตได้อย่างไรเล่า
ถ้าตถาคตจำแนกมหากัมมวิภังค์อยู่  เธอทั้งหลายควรฟัง"

ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า
"ข้าแต่พระผู้มีพระภาค  บัดนี้เป็นกาลสมควร
ข้าแต่พระสุคต  บัดนี้เป็นกาลสมควรที่พระผู้มีพระภาคจะทรงจำแนกมหากัมมวิภังค์
ภิกษุทั้งหลายได้สดับจากพระผู้มีพระภาคแล้วจักทรงจำไว้"

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
"ถ้าเช่นนั้น  เธอจงฟัง  จงใส่ใจให้ดี  เราจักกล่าว"

ท่านพระอานนท์ทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสเรื่องนี้ว่า
"อานนท์  บุคคล ๔ จำพวกนี้มีปรากฏอยู่ในโลก
บุคคล ๔ จำพวก  ไหนบ้าง  คือ


[ บุคคล ๔ จำพวก ]
๑. บุคคลบางคนในโลกนี้  เป็นผู้มักฆ่าสัตว์  ลักทรัพย์  ประพฤติผิดในกาม  พูดเท็จ  พูดส่อเสียด  พูดคำหยาบ  พูดเพ้อเจ้อ  เป็นผู้เพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของเขา  เป็นผู้มีจิตพยาบาท  เป็นมิจฉาทิฏฐิในโลกนี้
หลังจากตายแล้วเขาจึงไปเกิดในอบาย  ทุคติ  วินิบาต  นรก

๒. บุคคลบางคนในโลกนี้  เป็นผู้มักฆ่าสัตว์  ลักทรัพย์  ประพฤติผิดในกาม  พูดเท็จ  พูดส่อเสียด  พูดคำหยาบ  พูดเพ้อเจ้อ  เป็นผู้เพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของเขา  เป็นผู้มีจิตพยาบาท  เป็นมิจฉาทิฏฐิในโลกนี้
หลังจากตายแล้วเขาจึงไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์

๓. บุคคลบางคนในโลกนี้  เป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์  เว้นขาดจากการลักทรัพย์  เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม  เว้นขาดจากการพูดเท็จ  เว้นขาดจากการพูดส่อเสียด  เว้นขาดจากการพูดคำหยาบ  เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ  เป็นผู้ไม่เพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของเขา  เป็นผู้มีจิตไม่พยาบาท  เป็นสัมมาทิฏฐิในโลกนี้
หลังจากตายแล้วเขาจึงไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์

๔. บุคคลบางคนในโลกนี้  เป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์  เว้นขาดจากการลักทรัพย์  เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม  เว้นขาดจากการพูดเท็จ  เว้นขาดจากการพูดส่อเสียด  เว้นขาดจากการพูดคำหยาบ  เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ  เป็นผู้ไม่เพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของเขา  เป็นผู้มีจิตไม่พยาบาท  เป็นสัมมาทิฏฐิในโลกนี้
หลังจากตายแล้วเขาจึงไปเกิดในอบาย  ทุคติ  วินิบาต  นรก


[ ทิฏฐิของสมณพราหมณ์ ๔ จำพวก ]
อานนท์
๑. สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้อาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส  ความเพียรยิ่ง  ความพยายาม  ความไม่ประมาท  ความใส่ใจโดยชอบ  ย่อมบรรลุเจโตสมาธิโดยประการที่เมื่อจิตตั้งมั่นแล้ว  ย่อมเห็นบุคคลโน้นผู้มักฆ่าสัตว์  ลักทรัพย์  ประพฤติผิดในกาม  พูดเท็จ  พูดส่อเสียด  พูดคำหยาบ  พูดเพ้อเจ้อ  เพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของเขา  มีจิตพยาบาท  เป็นมิจฉาทิฏฐิในโลกนี้  หลังจากตายแล้วได้ไปเกิดในอบาย  ทุคติ  วินิบาต  นรก  ด้วยตาทิพย์อันบริสุทธิ์เหนือมนุษย์

สมณะหรือพราหมณ์นั้นจึงกล่าวอย่างนี้ว่า
'ท่านผู้เจริญ  ได้ยินว่า  กรรมชั่วมี  วิบากของทุจริตมี
ข้าพเจ้าได้เห็นบุคคลโน้นผู้มักฆ่าสัตว์  ลักทรัพย์  ประพฤติผิดในกาม  พูดเท็จ  พูดส่อเสียด  พูดคำหยาบ  พูดเพ้อเจ้อ  เพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของเขา  มีจิตพยาบาท  เป็นมิจฉาทิฏฐิในโลกนี้  หลังจากตายแล้วได้ไปเกิดในอบาย  ทุคติ  วินิบาต  นรก'
แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า
'ท่านผู้เจริญ  ได้ยินว่าบุคคลใดมักฆ่าสัตว์  ลักทรัพย์  ประพฤติผิดในกาม  พูดเท็จ  พูดส่อเสียด  พูดคำหยาบ  พูดเพ้อเจ้อ  เพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของเขา  มีจิตพยาบาท  เป็นมิจฉาทิฏฐิ  บุคคลนั้นทั้งหมดหลังจากตายแล้วจะไปเกิดในอบาย  ทุคติ  วินิบาต  นรก
ชนเหล่าใดรู้อย่างนี้  ชนเหล่านั้นชื่อว่ารู้ชอบ
ชนเหล่าใดรู้นอกเหนือไป  ชนเหล่านั้นชื่อว่ารู้ผิด'

สมณะหรือพราหมณ์นั้นจะพูดปักใจลงไปถึงเรื่องที่เขารู้เอง  เห็นเอง  ทราบเอง  ตามแรงจูงใจ  ตามความปักใจในเรื่องนั้นดังนี้ว่า  'นี้เท่านั้นจริง  อย่างอื่นไม่จริง'

๒. สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้อาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส  ความเพียรยิ่ง  ความพยายาม  ความไม่ประมาท  ความใส่ใจโดยชอบ  ย่อมบรรลุเจโตสมาธิโดยประการที่เมื่อจิตตั้งมั่นแล้ว  ย่อมเห็นบุคคลโน้น  ผู้มักฆ่าสัตว์  ลักทรัพย์  ประพฤติผิดในกาม  พูดเท็จ  พูดส่อเสียด  พูดคำหยาบ  พูดเพ้อเจ้อ  เพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของเขา  มีจิตพยาบาท  เป็นมิจฉาทิฏฐิในโลกนี้  หลังจากตายแล้วได้ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์  ด้วยตาทิพย์อันบริสุทธิ์เหนือมนุษย์

สมณะหรือพราหมณ์นั้นจึงกล่าวอย่างนี้ว่า
'ท่านผู้เจริญ  ได้ยินว่า  กรรมชั่วไม่มี  วิบากของทุจริตไม่มี
ข้าพเจ้าได้เห็นบุคคลโน้นผู้มักฆ่าสัตว์  ลักทรัพย์  ประพฤติผิดในกาม  พูดเท็จ  พูดส่อเสียด  พูดคำหยาบ  พูดเพ้อเจ้อ  เพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของเขา  มีจิตพยาบาท  เป็นมิจฉาทิฏฐิในโลกนี้  หลังจากตายแล้วได้ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์'
แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า
'ท่านผู้เจริญ  ได้ยินว่า  บุคคลใดมักฆ่าสัตว์  ลักทรัพย์  ประพฤติผิดในกาม  พูดเท็จ  พูดส่อเสียด  พูดคำหยาบ  พูดเพ้อเจ้อ  เพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของเขา  มีจิตพยาบาท  เป็นมิจฉาทิฏฐิ  บุคคลนั้นทั้งหมดหลังจากตายแล้วจะไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์
ชนเหล่าใดรู้อย่างนี้  ชนเหล่านั้นชื่อว่ารู้ชอบ
ชนเหล่าใดรู้นอกเหนือไป  ชนเหล่านั้นชื่อว่ารู้ผิด'

สมณะหรือพราหมณ์นั้นจะพูดปักใจลงไปถึงเรื่องที่เขารู้เอง  เห็นเอง  ทราบเอง  ตามแรงจูงใจ  ตามความปักใจในเรื่องนั้นดังนี้ว่า  'นี้เท่านั้นจริง  อย่างอื่นไม่จริง'

๓. สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้  อาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส  ความเพียรยิ่ง  ความพยายาม  ความไม่ประมาท  ความใส่ใจโดยชอบ  ย่อมบรรลุเจโตสมาธิโดยประการที่เมื่อจิตตั้งมั่นแล้ว  ย่อมเห็นบุคคลโน้น  ผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์  เว้นขาดจากการลักทรัพย์  เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม  เว้นขาดจากการพูดเท็จ  เว้นขาดจากการพูดส่อเสียด  เว้นขาดจากการพูดคำหยาบ  เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ  ไม่เพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของเขา  มีจิตไม่พยาบาท  เป็นสัมมาทิฏฐิในโลกนี้  หลังจากตายแล้วได้ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์  ด้วยตาทิพย์อันบริสุทธิ์เหนือมนุษย์

สมณะหรือพราหมณ์นั้นจึงกล่าวอย่างนี้ว่า
'ท่านผู้เจริญ  ได้ยินว่า  กรรมดีมีจริง  วิบากของสุจริตมีจริง
ข้าพเจ้าได้เห็นบุคคลโน้นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์  เว้นขาดจากการลักทรัพย์  เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม  เว้นขาดจากการพูดเท็จ  เว้นขาดจากการพูดส่อเสียด  เว้นขาดจากการพูดคำหยาบ  เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ  ไม่เพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของเขา  มีจิตไม่พยาบาท  เป็นสัมมาทิฏฐิในโลกนี้  หลังจากตายแล้วได้ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์'
แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า
'ท่านผู้เจริญ  ได้ยินว่า  บุคคลใดเว้นขาดจากการฆ่าสัตว์  เว้นขาดจากการลักทรัพย์  เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม  เว้นขาดจากการพูดเท็จ  เว้นขาดจากการพูดส่อเสียด  เว้นขาดจากการพูดคำหยาบ  เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ  ไม่เพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของเขา  มีจิตไม่พยาบาท  เป็นสัมมาทิฏฐิ  บุคคลนั้นทั้งหมดหลังจากตายแล้วจะไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์
ชนเหล่าใดรู้อย่างนี้  ชนเหล่านั้นชื่อว่ารู้ชอบ
ชนเหล่าใดรู้นอกเหนือไป  ชนเหล่านั้นชื่อว่ารู้ผิด'

สมณะหรือพราหมณ์นั้นจะพูดปักใจลงไปถึงเรื่องที่เขารู้เอง  เห็นเอง  ทราบเอง  ตามแรงจูงใจ  ตามความปักใจในเรื่องนั้นดังนี้ว่า  'นี้เท่านั้นจริง  อย่างอื่นไม่จริง'

๔. สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้  อาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส    ความเพียรยิ่ง  ความพยายาม  ความไม่ประมาท  ความใส่ใจโดยชอบ  ย่อมบรรลุเจโตสมาธิโดยประการที่เมื่อจิตตั้งมั่นแล้ว  ย่อมเห็นบุคคลโน้นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์  เว้นขาดจากการลักทรัพย์  เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม  เว้นขาดจากการพูดเท็จ  เว้นขาดจากการพูดส่อเสียด  เว้นขาดจากการพูดคำหยาบ  เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ  ไม่เพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของเขา  มีจิตไม่พยาบาท  เป็นสัมมาทิฏฐิในโลกนี้  หลังจากตายแล้วได้ไปเกิดในอบาย  ทุคติ  วินิบาต  นรก  ด้วยตาทิพย์อันบริสุทธิ์เหนือมนุษย์

สมณะหรือพราหมณ์นั้นจึงกล่าวอย่างนี้ว่า
'ท่านผู้เจริญ  ได้ยินว่า  กรรมดีไม่มี  วิบากของสุจริตไม่มี
ข้าพเจ้าได้เห็นบุคคลโน้นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์  เว้นขาดจากการลักทรัพย์  เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม  เว้นขาดจากการพูดเท็จ  เว้นขาดจากการพูดส่อเสียด  เว้นขาดจากการพูดคำหยาบ  เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ  ไม่เพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของเขา  มีจิตไม่พยาบาท  เป็นสัมมาทิฏฐิในโลกนี้  หลังจากตายแล้วได้ไปเกิดในอบาย  ทุคติ  วินิบาต  นรก'
แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า
'ท่านผู้เจริญ  ได้ยินว่าบุคคลใดเว้นขาดจากการฆ่าสัตว์  เว้นขาดจากการลักทรัพย์  เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม  เว้นขาดจากการพูดเท็จ  เว้นขาดจากการพูดส่อเสียด  เว้นขาดจากการพูดคำหยาบ  เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ  ไม่เพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของเขา  มีจิตไม่พยาบาท  เป็นสัมมาทิฏฐิ  บุคคลนั้นทั้งหมดหลังจากตายแล้วจะไปเกิดในอบาย  ทุคติ  วินิบาต  นรก
ชนเหล่าใดรู้อย่างนี้  ชนเหล่านั้นชื่อว่ารู้ชอบ
ชนเหล่าใดรู้นอกเหนือไป  ชนเหล่านั้นชื่อว่ารู้ผิด'

สมณะหรือพราหมณ์นั้นจะพูดปักใจลงไปถึงเรื่องที่เขารู้เอง  เห็นเอง  ทราบเอง  ตามแรงจูงใจ  ตามความปักใจในเรื่องนั้นดังนี้ว่า  'นี้เท่านั้นจริง  อย่างอื่นไม่จริง'


[ วาทะที่ตถาคตทรงคล้อยตามและไม่ทรงคล้อยตาม ]
อานนท์
๑. บรรดาสมณะหรือพราหมณ์ ๔ จำพวกนั้น
เราคล้อยตามวาทะของสมณะหรือพราหมณ์ผู้กล่าวอย่างนี้ว่า  'ท่านผู้เจริญ  ได้ยินว่า  กรรมชั่วมี  วิบากของทุจริตมี'

เราคล้อยตามแม้วาทะของเขาผู้กล่าวอย่างนี้ว่า  'ข้าพเจ้าได้เห็นบุคคลโน้นผู้มักฆ่าสัตว์  ลักทรัพย์  ประพฤติผิดในกาม  พูดเท็จ  พูดส่อเสียด  พูดคำหยาบ  พูดเพ้อเจ้อ  เพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของเขา  มีจิตพยาบาท  เป็นมิจฉาทิฏฐิในโลกนี้  หลังจากตายแล้วได้ไปเกิดในอบาย  ทุคติ  วินิบาต  นรก'

แต่เราไม่คล้อยตามวาทะของเขาผู้กล่าวอย่างนี้ว่า  'ท่านผู้เจริญ  ได้ยินว่า  บุคคลใดเป็นผู้ฆ่าสัตว์  ลักทรัพย์  ประพฤติผิดในกาม  พูดเท็จ  พูดส่อเสียด  พูดคำหยาบ  พูดเพ้อเจ้อ  เพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของเขา  มีจิตพยาบาท  เป็นมิจฉาทิฏฐิ  บุคคลนั้นทั้งหมดหลังจากตายแล้วจะไปเกิดในอบาย  ทุคติ  วินิบาต  นรก'

เราไม่คล้อยตามแม้วาทะของเขาผู้กล่าวอย่างนี้ว่า  'ชนเหล่าใดรู้อย่างนี้  ชนเหล่านั้นชื่อว่ารู้ชอบ  ชนเหล่าใดรู้นอกเหนือไป  ชนเหล่านั้นชื่อว่ารู้ผิด'

เราไม่คล้อยตามแม้วาทะของเขาที่พูดปักใจลงไปถึงเรื่องที่เขารู้เอง  เห็นเอง  ทราบเอง  ตามแรงจูงใจ  ตามความปักใจในเรื่องนั้นว่า  'นี้เท่านั้นจริง  อย่างอื่นไม่จริง'

ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะตถาคตมีความรู้ในมหากัมมวิภังค์เป็นอย่างอื่น

๒. บรรดาสมณะหรือพราหมณ์ ๔ จำพวกนั้น
เราไม่คล้อยตามวาทะของสมณะหรือพราหมณ์ผู้กล่าวอย่างนี้ว่า  'ท่านผู้เจริญ  ได้ยินว่า  กรรมชั่วไม่มี  วิบากของทุจริตไม่มี'

เราคล้อยตามวาทะของเขาผู้กล่าวอย่างนี้ว่า  'ข้าพเจ้าได้เห็นบุคคลโน้นผู้มักฆ่าสัตว์  ลักทรัพย์  ประพฤติผิดในกาม  พูดเท็จ  พูดส่อเสียด  พูดคำหยาบ  พูดเพ้อเจ้อ  เพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของเขา  มีจิตพยาบาท  เป็นมิจฉาทิฏฐิในโลกนี้  หลังจากตายแล้วได้ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์'

แต่เราไม่คล้อยตามวาทะของเขาผู้กล่าวอย่างนี้ว่า  'ท่านผู้เจริญ  ได้ยินว่า  บุคคลใดมักฆ่าสัตว์  ลักทรัพย์  ประพฤติผิดในกาม  พูดเท็จ  พูดส่อเสียด  พูดคำหยาบ  พูดเพ้อเจ้อ  เพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของเขา  มีจิตพยาบาท  เป็นมิจฉาทิฏฐิ  บุคคลนั้นทั้งหมดหลังจากตายแล้วจะไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์'

เราไม่คล้อยตามแม้วาทะของเขาผู้กล่าวอย่างนี้ว่า  'ชนเหล่าใดรู้อย่างนี้  ชนเหล่านั้นชื่อว่ารู้ชอบ  ชนเหล่าใดรู้นอกเหนือไป  ชนเหล่านั้นชื่อว่ารู้ผิด'

เราไม่คล้อยตามแม้วาทะของเขาที่พูดปักใจลงไปถึงเรื่องที่เขารู้เอง  เห็นเอง  ทราบเอง  ตามแรงจูงใจ  ตามความปักใจในเรื่องนั้นว่า  'นี้เท่านั้นจริง  อย่างอื่นไม่จริง'

ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะตถาคตมีความรู้ในมหากัมมวิภังค์เป็นอย่างอื่น

๓. บรรดาสมณะหรือพราหมณ์ทั้ง ๔ จำพวกนั้น
เราคล้อยตามวาทะของสมณะหรือพราหมณ์ผู้กล่าวอย่างนี้ว่า  'ท่านผู้เจริญ  ได้ยินว่า  กรรมดีมี  วิบากของสุจริตมี'

เราคล้อยตามวาทะของเขาผู้กล่าวอย่างนี้ว่า  'ข้าพเจ้าได้เห็นบุคคลโน้นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์  เว้นขาดจากการลักทรัพย์  เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม  เว้นขาดจากการพูดเท็จ  เว้นขาดจากการพูดส่อเสียด  เว้นขาดจากการพูดคำหยาบ  เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ  ไม่เพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของเขา  มีจิตไม่พยาบาท  เป็นสัมมาทิฏฐิในโลกนี้  หลังจากตายแล้วได้ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์'

และเราก็คล้อยตามวาทะของเขา  ผู้กล่าวอย่างนี้ว่า  'ท่านผู้เจริญ  ได้ยินว่า  บุคคลใดเว้นขาดจากการฆ่าสัตว์  เว้นขาดจากการลักทรัพย์  เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม  เว้นขาดจากการพูดเท็จ  เว้นขาดจากการพูดส่อเสียด  เว้นขาดจากการพูดคำหยาบ  เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ  ไม่เพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของเขา  มีจิตไม่พยาบาท  เป็นสัมมาทิฏฐิ  บุคคลนั้นทั้งหมดหลังจากตายแล้วจะไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์'

เราไม่คล้อยตามแม้วาทะของเขาผู้กล่าวอย่างนี้ว่า  'ชนเหล่าใดรู้อย่างนี้  ชนเหล่านั้นชื่อว่ารู้ชอบ    ชนเหล่าใดรู้นอกเหนือไป  ชนเหล่านั้นชื่อว่ารู้ผิด'

เราไม่คล้อยตามแม้วาทะของเขาที่พูดปักใจลงไปถึงเรื่องที่เขารู้เอง  เห็นเอง  ทราบเอง  ตามแรงจูงใจตามความปักใจในเรื่องนั้นว่า  'นี้เท่านั้นจริง  อย่างอื่นไม่จริง'

ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะตถาคตมีความรู้ในมหากัมมวิภังค์เป็นอย่างอื่น

๔. บรรดาสมณะหรือพราหมณ์ทั้ง ๔ จำพวกนั้น
เราไม่คล้อยตามวาทะของสมณะหรือพราหมณ์ผู้กล่าวอย่างนี้ว่า  'ท่านผู้เจริญ  ได้ยินว่า  กรรมดีไม่มี  วิบากของสุจริตไม่มี'

เราคล้อยตามวาทะของเขาผู้กล่าวอย่างนี้ว่า  'ข้าพเจ้าได้เห็นบุคคลโน้นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์  เว้นขาดจากการลักทรัพย์  เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม  เว้นขาดจากการพูดเท็จ  เว้นขาดจากการพูดส่อเสียด  เว้นขาดจากการพูดคำหยาบ  เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ  ไม่เพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของเขา  มีจิตไม่พยาบาท  เป็นสัมมาทิฏฐิในโลกนี้  หลังจากตายแล้วได้ไปเกิดในอบาย  ทุคติ  วินิบาต  นรก'

แต่เราไม่คล้อยตามวาทะของเขาผู้กล่าวอย่างนี้ว่า  'ท่านผู้เจริญ  ได้ยินว่า  บุคคลใดเว้นขาดจากการฆ่าสัตว์  เว้นขาดจากการลักทรัพย์  เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม  เว้นขาดจากการพูดเท็จ  เว้นขาดจากการพูดส่อเสียด  เว้นขาดจากการพูดคำหยาบ  เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ  ไม่เพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของเขา  มีจิตไม่พยาบาท  เป็นสัมมาทิฏฐิ  บุคคลนั้นทั้งหมดหลังจากตายแล้วจะไปเกิดในอบาย  ทุคติ  วินิบาต  นรก'

เราไม่คล้อยตามแม้วาทะของเขาผู้กล่าวอย่างนี้ว่า  'ชนเหล่าใดรู้อย่างนี้  ชนเหล่านั้นชื่อว่ารู้ชอบ  ชนเหล่าใดรู้นอกเหนือไป  ชนเหล่านั้นชื่อว่ารู้ผิด'

เราไม่คล้อยตามแม้วาทะของเขาที่พูดปักใจลงไปถึงเรื่องที่เขารู้เอง  เห็นเอง  ทราบเอง  ตามแรงจูงใจ  ตามความปักใจในเรื่องนั้นว่า  'นี้เท่านั้นจริง  อย่างอื่นไม่จริง'

ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะตถาคตมีความรู้ในมหากัมมวิภังค์เป็นอย่างอื่น


[ ทรงจำแนกญาณในมหากัมมวิภังค์ ]
อานนท์
๑. บรรดาบุคคล ๔ จำพวกนั้น
บุคคลใดเป็นผู้มักฆ่าสัตว์  ลักทรัพย์  ประพฤติผิดในกาม  พูดเท็จ  พูดส่อเสียด  พูดคำหยาบ  พูดเพ้อเจ้อ  เพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของเขา  มีจิตพยาบาท  เป็นมิจฉาทิฏฐิในโลกนี้  หลังจากตายแล้วจึงไปเกิดในอบาย  ทุคติ  วินิบาต  นรก

บุคคลนั้นหลังจากตายแล้วไปเกิดในอบาย  ทุคติ  วินิบาต  นรก
เพราะบาปกรรมที่เขาทำไว้ในชาติก่อน  ให้ผลเป็นทุกข์
บาปกรรมที่เขาทำไว้ในภายหลัง  ให้ผลเป็นทุกข์
หรือในเวลาจะตาย  เขามีมิจฉาทิฏฐิที่ให้บริบูรณ์ยึดมั่นไว้

แต่การที่บุคคลเป็นผู้มักฆ่าสัตว์  ลักทรัพย์  ประพฤติผิดในกาม  พูดเท็จ  พูดส่อเสียด  พูดคำหยาบ  พูดเพ้อเจ้อ  เพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของเขา  มีจิตพยาบาท  เป็นมิจฉาทิฏฐิในโลกนี้
เขาย่อมเสวยวิบากแห่งกรรมนั้นในชาตินี้บ้าง  ในชาติหน้าบ้าง  ในชาติต่อ ๆ ไปบ้าง

๒. บรรดาบุคคล ๔ จำพวกนั้น
บุคคลใดเป็นผู้มักฆ่าสัตว์  ลักทรัพย์  ประพฤติผิดในกาม  พูดเท็จ  พูดส่อเสียด  พูดคำหยาบ  พูดเพ้อเจ้อ  เพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของเขา  มีจิตพยาบาท  เป็นมิจฉาทิฏฐิในโลกนี้  หลังจากตายแล้วจึงไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์

บุคคลนั้นหลังจากตายแล้วไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์
เพราะกรรมดีที่เขาทำไว้ในชาติก่อน  ให้ผลเป็นสุข
กรรมดีที่เขาทำไว้ในภายหลัง  ให้ผลเป็นสุข
หรือในเวลาจะตาย  เขามีสัมมาทิฏฐิที่ให้บริบูรณ์ยึดมั่นไว้

แต่การที่บุคคลเป็นผู้มักฆ่าสัตว์  ลักทรัพย์  ประพฤติผิดในกาม  พูดเท็จ  พูดส่อเสียด  พูดคำหยาบ  พูดเพ้อเจ้อ  เพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของเขา  มีจิตพยาบาท  เป็นมิจฉาทิฏฐิในโลกนี้
เขาย่อมเสวยวิบากแห่งกรรมนั้นในชาตินี้บ้าง  ในชาติหน้าบ้าง  ในชาติต่อ ๆ ไปบ้าง

๓. บรรดาบุคคล ๔ จำพวกนั้น
บุคคลใดเป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์  เว้นขาดจากการลักทรัพย์  เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม  เว้นขาดจากการพูดเท็จ  เว้นขาดจากการพูดส่อเสียด  เว้นขาดจากการพูดคำหยาบ  เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ  ไม่เพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของเขา  มีจิตไม่พยาบาท  เป็นสัมมาทิฏฐิในโลกนี้  หลังจากตายแล้วจึงไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์

บุคคลนั้นหลังจากตายแล้วไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์
เพราะกรรมดีที่เขาทำไว้ในชาติก่อน  ให้ผลเป็นสุข
กรรมดีที่เขาทำไว้ในภายหลัง  ให้ผลเป็นสุข
หรือในเวลาจะตาย  เขามีสัมมาทิฏฐิที่ให้บริบูรณ์ยึดมั่นไว้

แต่การที่บุคคลเป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์  เว้นขาดจากการลักทรัพย์  เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม  เว้นขาดจากการพูดเท็จ  เว้นขาดจากการพูดส่อเสียด  เว้นขาดจากการพูดคำหยาบ  เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ  ไม่เพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของเขา  มีจิตไม่พยาบาท  เป็นสัมมาทิฏฐิในโลกนี้
เขาเสวยวิบากแห่งกรรมนั้นในชาตินี้บ้าง  ในชาติหน้าบ้าง  ในชาติต่อ ๆ ไปบ้าง

๔. บรรดาบุคคล ๔ จำพวกนั้น
บุคคลใดเป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์เว้นขาดจากการลักทรัพย์  เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม  เว้นขาดจากการพูดเท็จ  เว้นขาดจากการพูดส่อเสียด  เว้นขาดจากการพูดคำหยาบ  เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ  ไม่เพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของเขา  มีจิตไม่พยาบาท  เป็นสัมมาทิฏฐิในโลกนี้  หลังจากตายแล้วจึงไปเกิดในอบาย  ทุคติ  วินิบาต  นรก

บุคคลนั้นหลังจากตายแล้วไปเกิดในอบาย  ทุคติ  วินิบาต  นรก
เพราะบาปกรรมที่เขาทำไว้ในชาติก่อน  ให้ผลเป็นทุกข์
บาปกรรมที่เขาทำไว้ในภายหลัง  ให้ผลเป็นทุกข์
หรือในเวลาจะตาย  เขามีมิจฉาทิฏฐิที่ให้บริบูรณ์ยึดมั่นไว้

แต่การที่บุคคลเป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์เว้นขาดจากการลักทรัพย์  เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม  เว้นขาดจากการพูดเท็จ  เว้นขาดจากการพูดส่อเสียด  เว้นขาดจากการพูดคำหยาบ  เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ  ไม่เพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของเขา  มีจิตไม่พยาบาท  เป็นสัมมาทิฏฐิในโลกนี้
เขาย่อมเสวยวิบากแห่งกรรมนั้นในชาตินี้บ้าง  ในชาติหน้าบ้าง  ในชาติต่อ ๆ ไปบ้าง

อานนท์
กรรมที่ไม่ควร  ส่องให้เห็นว่าไม่ควรก็มีอยู่
กรรมที่ไม่ควร  ส่องให้เห็นว่าควรก็มีอยู่
กรรมที่ควร  ส่องให้เห็นว่าควรก็มีอยู่
และกรรมที่ควร  ส่องให้เห็นว่าไม่ควรก็มีอยู่  ดังพรรณนามาฉะนี้"

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสภาษิตนี้แล้ว
ท่านพระอานนท์มีใจยินดีชื่นชมพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค  ดังนี้แ


มหากัมมวิภังคสูตร  จบ


บทความที่เกี่ยวข้อง
๑. จะสอนลูกอย่างไรเมื่อเห็นคนชั่วได้ดี

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

พยสนสูตร (อังคุตตรนิกาย > ปัญจกนิบาต > ตติยปัณณาสก์ > คิลานวรรค)

กาลียักขินีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > ยมกวรรค)

ปฏาจาราเถรีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > สหัสสวรรค)