สัตตชฏิลสูตร (สังยุตตนิกาย > สคาถวรรค > โกสลสังยุต > ทุติยวรรค)


สัตตชฏิลสูตร  (ว่าด้วยนักบวชพวกละ ๗ คน)

สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่  ณ  บุพพาราม  ปราสาทของนางวิสาขามิคารมาตา  เขตกรุงสาวัตถี

สมัยนั้น  ในเวลาเย็น  พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากที่หลีกเร้นแล้วประทับนั่งที่นอกซุ้มประตู

ครั้งนั้น  พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ  ถวายอภิวาท  แล้วประทับนั่ง  ณ  ที่สมควร

สมัยนั้น  ชฎิล ๗ คน  นิครนถ์ ๗ คน  อเจลก ๗ คน  เอกสาฎก ๗ คน  ปริพาชก ๗ คน  ผู้มีขนรักแร้  เล็บ  และขนยาว  ถือเครื่องบริขารต่าง ๆ  เดินผ่านไปในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค

ทันใดนั้น  พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จลุกจากที่ประทับ  ทรงห่มพระภูษาเฉวียงพระอังสาข้างหนึ่ง  ทรงจดพระชานุมณฑลเบื้องขวา  ณ  พื้นแผ่นดิน  ประนมมือไปทางชฎิล ๗ คน  นิครนถ์ ๗ คน  อเจลก ๗ คน  เอกสาฎก ๗ คน  ปริพาชก ๗ คนเหล่านั้น  แล้วทรงประกาศพระนาม ๓ ครั้งว่า
"ท่านเจ้าข้า  ข้าพเจ้าคือพระราชาปเสนทิโกศล
ท่านเจ้าข้า  ข้าพเจ้าคือพระราชาปเสนทิโกศล
ท่านเจ้าข้า  ข้าพเจ้าคือพระราชาปเสนทิโกศล"

ลำดับนั้น  เมื่อนักบวชเหล่านั้นจากไปได้ไม่นาน
พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ  ถวายอภิวาท  แล้วประทับนั่ง  ณ  ที่สมควร  แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พวกนักบวชเหล่านั้นคงเป็นพระอรหันต์หรือท่านผู้บรรลุอรหัตตมรรคเหล่าใดเหล่าหนึ่งในโลก"

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
"มหาบพิตร  พระองค์เป็นคฤหัสถ์  บริโภคกาม  อยู่ครองเรือน  บรรทมเบียดพระโอรสและพระชายา  ทาจุรณจันทน์จากแคว้นกาสี  ทรงมาลาของหอมและเครื่องลูบไล้  ยินดีเงินทอง
ยากที่จะรู้เรื่องนี้ว่า  'คนพวกนี้เป็นพระอรหันต์หรือว่าคนพวกนี้บรรลุอรหัตตมรรค'

มหาบพิตร  ศีลพึงรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน
ศีลนั้นจะพึงรู้ได้ด้วยกาลนาน  ไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย
ผู้ใส่ใจจึงจะรู้ได้  ผู้ไม่ใส่ใจรู้ไม่ได้
ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้  ผู้ไม่มีปัญญารู้ไม่ได้

มหาบพิตร  ความสะอาด (ของวาจา) จะพึงรู้ได้ด้วยการเจรจา
ความสะอาดนั้นจะพึงรู้ได้ด้วยกาลนาน  ไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย
ผู้ใส่ใจจึงจะรู้ได้  ผู้ไม่ใส่ใจรู้ไม่ได้
ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้  ผู้ไม่มีปัญญารู้ไม่ได้

มหาบพิตร  กำลังจะพึงรู้ได้ในคราวมีอันตราย
กำลังนั้นจะพึงรู้ได้ด้วยกาลนาน  ไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย
ผู้ใส่ใจจึงจะรู้ได้  ผู้ไม่ใส่ใจรู้ไม่ได้
ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้  ผู้ไม่มีปัญญารู้ไม่ได้

มหาบพิตร  ปัญญาจะพึงรู้ได้ด้วยการสนทนา
ปัญญานั้นจะพึงรู้ได้ด้วยกาลนาน  ไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย
ผู้ใส่ใจจึงจะรู้ได้  ผู้ไม่ใส่ใจรู้ไม่ได้
ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้  ผู้ไม่มีปัญญารู้ไม่ได้"

พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  น่าอัศจรรย์จริง  ไม่เคยปรากฏ
พระผู้มีพระภาคตรัสเรื่องนี้ไว้ดียิ่งนักว่า
'มหาบพิตร  พระองค์เป็นคฤหัสถ์  บริโภคกาม  ฯลฯ
ยากที่จะรู้เรื่องนี้  ฯลฯ
ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้  ผู้ไม่มีปัญญารู้ไม่ได้'

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
นักบวชเหล่านั้นเป็นคนของข้าพระองค์  เป็นบุรุษสอดแนม  เป็นสายลับ  เที่ยวสอดแนมไปยังชนบทแล้วพากันกลับมา
ข้าพระองค์จะรู้เรื่องราวหลังจากที่คนเหล่านั้นสืบมา
บัดนี้  คนเหล่านั้นคงจะชำระล้างละอองธุลีนั้นแล้ว  อาบสะอาดดี  ลูบไล้ผิวดีแล้ว  โกนผมและหนวด  นุ่งห่มผ้าขาว  เอิบอิ่มเพียบพร้อมด้วยกามคุณ ๕  บำเรอกายอยู่"

ลำดับนั้น  พระผู้มีพระภาคทรงทราบความนี้แล้ว  จึงได้ตรัสคาถาเหล่านี้ (ในสังยุตตนิกาย) ในเวลานั้นว่า
       "คนผู้รู้ดี  ไม่ควรไว้วางใจใครเพราะผิวพรรณและรูปร่าง
ไม่ควรไว้วางใจใครเพราะการเห็นกันชั่วครู่เดียว
เพราะว่านักบวชผู้ไม่สำรวมทั้งหลายย่อมเที่ยวไปในโลกนี้
ด้วยเครื่องบริขารของเหล่านักบวชผู้สำรวมดีแล้ว
       นักบวชเหล่านั้น  ผู้ไม่บริสุทธิ์ในภายใน  งามแต่ภายนอก
แวดล้อมด้วยบริวาร  ท่องเที่ยวอยู่ในโลก
ดุจตุ้มหูดินและเหรียญโลหะครึ่งมาสกหุ้มด้วยทองคำปลอมไว้"

และตรัสพุทธอุทาน (ในขุททกนิกาย) ในเวลานั้นว่า
       "บรรพชิตไม่พึงพยายามในบาปกรรมทั้งปวง
ไม่พึงเป็นคนของผู้อื่น
ไม่พึงอาศัยผู้อื่นเป็นอยู่
และไม่พึงใช้ธรรมเป็นเครื่องค้าขาย"

สัตตชฏิลสูตร  จบ

(หมายเหตุเพื่อการอ้างอิง
ในพระไตรปิฎก  มีพระสูตรที่มีเนื้อหาเดียวกันนี้ทั้งหมด ๒ เรื่อง  ปรากฏอยู่ใน
๑. สังยุตตนิกาย > สคาถวรรค > โกสลสังยุต > ทุติยวรรค
๒. ขุททกนิกาย > อุทาน > ชัจจันธวรรค)


บทความที่เกี่ยวข้อง
๑. คนเหล่าใดเป็นพระอรหันต์

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

พยสนสูตร (อังคุตตรนิกาย > ปัญจกนิบาต > ตติยปัณณาสก์ > คิลานวรรค)

กาลียักขินีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > ยมกวรรค)

ปฏาจาราเถรีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > สหัสสวรรค)