มูสิกชาดก (ขุททกนิกาย > ชาดก > เอกกนิบาต > กุสนาฬิวรรค)


มูสิกชาดก  (ว่าด้วยความประพฤติของผู้เอาธรรมบังหน้า)

ญาหนูโพธิสัตว์กล่าวตำหนิสุนัขจิ้งจอกว่า
       "ผู้ใดกล่าวเชิดชูธรรมให้เป็นธงชัย
เพื่อล่อลวงให้สัตว์ทั้งหลายตายใจ  แล้วซ่อนตนประพฤติชั่ว
ความประพฤติของผู้นั้นชื่อว่าเป็นความประพฤติของแมว"

มูสิกชาดก  จบ

อรรถกถา
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่  ณ  พระเชตวันมหาวิหาร  ทรงปรารภภิกษุผู้หลอกลวงรูปหนึ่ง  จึงได้ตรัสเรื่องนี้

ความย่อว่า  ในครั้งนั้น  เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลความที่ภิกษุนั้นเป็นผู้หลอกลวงให้ทรงทราบแล้ว
พระศาสดาตรัสว่า  "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น  แม้ในปางก่อนภิกษุนี้ก็หลอกลวงเหมือนกัน"
ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก  ดังต่อไปนี้

ในอดีตกาล  ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี
พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในกำเนิดหนู  อาศัยความเจริญเติบโต  มีร่างกายอ้วนใหญ่คล้ายกับลูกสุกรอ่อน  มีหนูหลายร้อยเป็นบริวาร  ท่องเที่ยวอยู่ในป่า

ครั้งนั้น  มีหมาจิ้งจอกตัวหนึ่งท่องเที่ยวไปตามประสา  มันเห็นฝูงหนูนั้น  คิดว่า  "เราจักลวงกินหนูเหล่านี้"
แล้วแหงนหน้าจ้องดวงอาทิตย์สูดดม  ยืนด้วยเท้าข้างเดียว  ในที่ไม่ไกลกับที่อาศัยของฝูงหนู

พระโพธิสัตว์ (พญาหนู) เที่ยวหากินเห็นมันแล้ว  คิดว่า  "หมาจิ้งจอกนี้คงเป็นผู้มีศีล"
จึงเดินไปสู่ที่อยู่ของมัน  พลางถามว่า  "ท่านผู้เจริญ  ท่านชื่ออะไรเล่า"
มันตอบว่า  "เราชื่อธรรมิกะ"

ถามว่า  "เพราะเหตุไรท่านจึงไม่ยืนสี่เท้า  แต่ยืนด้วยเท้าข้างเดียว"
ตอบว่า  "เมื่อเราเหยียบแผ่นดินทั้งสี่เท้าละก็  แผ่นดินไม่อาจทนอยู่ได้  เหตุนั้น  เราต้องยืนเท้าเดียวเท่านั้น"

ถามว่า  "ทำไมต้องยืนอ้าปากด้วยเล่า"
ตอบว่า  "เราไม่กินอาหารอื่น  กินลมอย่างเดียว"

ถามว่า  "เมื่อเป็นเช่นนั้น  ทำไมจึงต้องจ้องมองดวงอาทิตย์ด้วยเล่า"
ตอบว่า  "เรานอบน้อมพระอาทิตย์"

พระโพธิสัตว์ฟังคำของมันแล้ว  มั่นใจว่าสุนัขจิ้งจอกตัวนี้คงมีศีลเป็นแน่
ตั้งแต่นั้นมา  ก็ไปสู่ที่อยู่ของมันกับฝูงหนูทั้งเวลาเย็นเวลาเช้า

ครั้นในเวลาที่ฝูงหนูนั้นไปทำการบำรุงแล้วกลับ
หมาจิ้งจอกก็จับเอาหนูตัวสุดท้ายเคี้ยวกินเนื้อ  แล้วเช็ดปากยืนอยู่
ฝูงหนูก็บางตาลงโดยลำดับ

หนูทั้งหลายปรึกษากันว่า
"เมื่อก่อน  พวกเราต้องเบียดเสียดกันอยู่  เดี๋ยวนี้ดูพร่องไป
พื้นที่ที่เราอยู่แม้เพียงเท่านี้ก็ยังไม่เต็ม  นี่มันเรื่องอะไรกัน"
แล้วพากันบอกเรื่องราวแก่พระโพธิสัตว์

พระโพธิสัตว์คิดว่า  "เหตุไรเล่าหนอพวกหนูจึงเบาบางไป"
แล้วตั้งข้อสงสัยในหมาจิ้งจอก  ดำริว่า  "ต้องสอบสวนหมาจิ้งจอกนั้น"

ในวันต่อมา  เมื่อไปบำรุงหมาจิ้งจอกถึงที่อยู่แล้ว
ในเวลากลับ  ให้พวกหนูออกหน้าไปก่อน  ตนเองอยู่หลังเพื่อน
หมาจิ้งจอกวิ่งตามไปจะตะปบพระโพธิสัตว์
พระโพธิสัตว์เห็นดังนั้น  ก็หันกลับมากล่าวว่า
       "ผู้ใดกล่าวเชิดชูธรรมให้เป็นธงชัย
เพื่อล่อลวงให้สัตว์ทั้งหลายตายใจ  แล้วซ่อนตนประพฤติชั่ว
ความประพฤติของผู้นั้นชื่อว่าเป็นความประพฤติของแมว"

พญาหนูกล่าวพลางกระโดดขึ้นเกาะคอมันไว้  แล้วกัดที่ซอกคอใต้คางให้ถึงความสิ้นชีวิต
ฝูงหนูกลับมากัดกินหมาจิ้งจอก  แล้วพากันไป
นับแต่นั้นมา  พวกหนูก็หมดภัย  ได้อยู่อย่างมีความสุข

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาตรัสจบลงแล้ว  ทรงประชุมชาดกว่า
"ภิกษุทั้งหลาย
หมาจิ้งจอกในกาลนั้น  ได้มาเป็นภิกษุหลอกลวงในกาลนี้
ส่วนพญาหนู  ได้มาเป็นเราตถาคต  ฉะนี้แล"


บทความที่เกี่ยวข้อง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

พยสนสูตร (อังคุตตรนิกาย > ปัญจกนิบาต > ตติยปัณณาสก์ > คิลานวรรค)

กาลียักขินีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > ยมกวรรค)

ปฏาจาราเถรีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > สหัสสวรรค)