อหิเปตวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > พาลวรรค)
อหิเปตวัตถุ (เรื่องเปรตผู้มีรูปร่างเหมือนงู)
พระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถานี้แก่ภิกษุทั้งหลาย ดังนี้ว่า
"บาปกรรมที่บุคคลทำแล้วยังไม่ให้ผลทันที
เหมือนน้ำนมที่รีดในวันนี้
บาปกรรมนั้นจะค่อย ๆ เผาผลาญคนพาล
เหมือนไฟที่ถูกเถ้ากลบไว้ ฉะนั้น"
อรรถกถา
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน เขตกรุงราชคฤห์
ทรงปรารภอหิเปรตตนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า
ได้ยินว่า ในวันหนึ่ง ท่านพระลักขณเถระและท่านพระมหาโมคคัลลานเถระ ลงจากภูเขาคิชฌกูฏ
ด้วยคิดว่า "เราจักเที่ยวบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์"
บรรดาพระเถระ ๒ รูปนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะเห็นอหิเปรตตนหนึ่ง จึงได้กระทำการยิ้มแย้มให้ปรากฏ
ลำดับนั้น พระลักขณเถระถามเหตุกะพระเถระนั้นว่า
"ผู้มีอายุ เพราะเหตุไรท่านจึงทำการยิ้มแย้มให้ปรากฏ"
พระเถระตอบว่า "ผู้มีอายุ เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาเพื่อวิสัชนาปัญหานี้
ท่านพึงถามผมในสำนักพระผู้มีพระภาคเถิด"
เมื่อพระเถระทั้งสองนั้นเที่ยวบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์แล้ว
ไปสู่สำนักพระผู้มีพระภาค นั่ง ณ ที่สมควรแล้ว
พระลักขณเถระถามว่า "ท่านโมคคัลลานะผู้มีอายุ
ท่านลงจากภูเขาคิชฌกูฏ ทำการยิ้มแย้มให้ปรากฏ
ผมถามถึงเหตุแห่งการยิ้มแย้ม
ท่านกล่าวว่า 'ท่านพึงถามผมในสำนักพระผู้มีพระภาค'
บัดนี้ ท่านจงบอกเหตุนั้นเถิด"
พระเถระกล่าวว่า "ผู้มีอายุ ผมเห็นอหิเปรตตนหนึ่ง จึงได้ทำการยิ้มแย้มให้ปรากฏ
อัตภาพของเปรตนั้นเห็นปานนี้ ศีรษะของมันเหมือนศีรษะมนุษย์ อัตภาพที่เหลือของมันเหมือนงู
นั่นชื่ออหิเปรต อัตภาพโดยประมาณ ๒๕ โยชน์
เปลวไฟตั้งขึ้นจากศีรษะของมันลามไปจนถึงหาง
ตั้งขึ้นจากหางถึงศีรษะ
ตั้งขึ้นในท่ามกลางลามไปถึงข้างทั้งสอง
ตั้งขึ้นแต่ข้างทั้งสองรวมลงในท่ามกลาง"
ได้ยินว่า อัตภาพของเปรตโดยทั่วไปประมาณ ๓ คาวุต
แต่อัตภาพของอหิเปรตและกากเปรตประมาณ ๒๕ โยชน์
(๔ คาวุต เป็น ๑ โยชน์)
เมื่อพระเถระจะถามบุพกรรมของเปรตนั้น จึงกล่าวว่า
"ลิ้นของเจ้าประมาณ ๕ โยชน์
ศีรษะของเจ้าประมาณ ๙ โยชน์
กายของเจ้าสูงประมาณ ๒๕ โยชน์
เจ้าทำกรรมอะไรไว้ จึงถึงทุกข์เช่นนี้"
เปรตตนนั้นกล่าวว่า "พระโมคคัลลานะผู้เจริญ
ข้าพเจ้ากลืนกินภัตตามปรารถนาที่เขานำมาเพื่อสงฆ์
ในสมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่"
ได้ยินว่า ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ
ภิกษุทั้งหลายเข้าไปสู่บ้านเพื่อบิณฑบาต
พวกชาวบ้านเห็นพระเถระทั้งหลายแล้วรักใคร่ นิมนต์ให้นั่งที่โรงฉัน ล้างเท้า ทาด้วยน้ำมัน ให้ดื่มข้าวยาคู ถวายของควรเคี้ยว รอคอยบิณฑบาตกาล นั่งฟังธรรมอยู่
ในกาลจบธรรมกถา พวกชาวบ้านรับบาตรของพระเถระทั้งหลาย
แล้วใส่โภชนะมีรสเลิศต่าง ๆ ในเรือนของตน ๆ ลงในบาตร
ในครั้งนั้น กาตัวหนึ่งจับอยู่ที่หลังคาแห่งโรงฉัน
เห็นโภชนะนั้นแล้ว ได้บินโฉบลงไปคาบเอาคำข้าว ๓ คำเต็มปาก ๓ ครั้งจากบาตรที่ชาวบ้านคนหนึ่งถือไว้
ภัตนั้นยังหาเป็นของสงฆ์ไม่
มิใช่เป็นภัตที่เขากำหนดถวายแก่สงฆ์
เป็นภัตที่เหลือจากที่ภิกษุฉันแล้วอันชาวบ้านจะพึงนำไปบริโภคก็ไม่ใช่
เป็นเพียงภัตที่เขานำมาเฉพาะสงฆ์อย่างเดียวเท่านั้น
กาตัวนั้นคาบเอาคำข้าว ๓ คำจากบาตรนั้น
ด้วยกรรมเพียงเท่านี้ เมื่อตายแล้ว ได้ไปไหม้อยู่ในอเวจี
ในบัดนี้ ด้วยผลกรรมที่เหลืออยู่ จึงเกิดเป็นกากเปรต เสวยทุกข์ที่ภูเขาคิชฌกูฏนี้
เรื่องกากเปรตมีเท่านี้
ลำดับนั้น พระศาสดาทรงเป็นพยานของพระเถระนั้น ตรัสว่า
"ภิกษุทั้งหลาย โมคคัลลานะพูดจริง
แม้เราเองก็เห็นเปรตนั้นในวันบรรลุสัมโพธิญาณเหมือนกัน
แต่เรายังไม่กล่าว เพราะเอ็นดูคนอื่นว่า
'ชนเหล่าใดไม่เชื่อคำของเรา ความไม่เชื่อนั้นพึงเป็นไปเพื่อสิ่งมิใช่ประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนเหล่านั้น'
แต่ในกาลนี้ที่โมคคัลลานะเห็นแล้วนั่นแล เราเป็นพยานของโมคคัลลานะ"
ภิกษุทั้งหลายฟังเรื่องนั้นแล้ว จึงทูลถามบุพกรรมของเปรตนั้น
พระศาสดาตรัสแก่ภิกษุเหล่านั้นว่า
"ได้ยินว่า ในอดีตกาล
พวกชนอาศัยกรุงพาราณสี สร้างบรรณศาลาไว้เพื่อพระปัจเจกพุทธเจ้า ใกล้ฝั่งแม่น้ำ
พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นอยู่ในบรรณศาลานั้น ย่อมเที่ยวไปบิณฑบาตในเมืองเนืองนิตย์
แม้พวกชาวเมืองก็ถือสักการะมีของหอมและดอกไม้เป็นต้น ไปสู่ที่บำรุงของพระปัจเจกพุทธเจ้า ทั้งเย็นทั้งเช้า
บุรุษชาวกรุงพาราณสีคนหนึ่งอาศัยหนทางนั้นไถนา
มหาชนเมื่อไปสู่ที่บำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้าย่อมเหยียบย่ำนานั้นไปทั้งเย็นทั้งเช้า
ชาวนานั้นแม้ห้ามอยู่ว่า "ขอพวกท่านอย่าเหยียบนาของข้าพเจ้า" ก็ไม่สามารถจะห้ามได้
ครั้งนั้น ชาวนานั้นได้มีความคิดอย่างนั้นว่า
"ถ้าบรรณศาลาของพระปัจเจกพุทธเจ้าไม่พึงมีในที่นี้ไซร้
ชนทั้งหลายก็คงไม่มาเหยียบย่ำนาของเรา"
วันรุ่งขึ้น เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน
ชาวนานั้นจึงเข้าไปทุบภาชนะเครื่องใช้แล้วเผาบรรณศาลาเสีย
พระปัจเจกพุทธเจ้าเมื่อกลับมา เห็นบรรณศาลาถูกไฟไหม้ จึงหลีกไปตามสบาย
มหาชนถือของหอมและระเบียบดอกไม้มา เห็นบรรณศาลาถูกไฟไหม้ จึงกล่าวว่า
"พระผู้เป็นเจ้าของพวกเราไป ณ ที่ไหนแล้วหนอ"
ชาวนาคนนั้นยืนอยู่ในท่ามกลางมหาชน พูดอย่างนี้ว่า
"ข้าพเจ้าเป็นคนเผาบรรณศาลาของพระปัจเจกพุทธเจ้าเอง"
ครั้งนั้น ชนทั้งหลายพูดว่า "พวกเราจงจับชายผู้นี้ไว้
เพราะชายชั่วคนนี้ พวกเราจึงไม่ได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าอีก"
แล้วทุบตีชาวนานั้นด้วยท่อนไม้เป็นต้น ให้ถึงความสิ้นชีวิตแล้ว
ชาวนานั้นเกิดในอเวจี ไหม้ในนรกตราบเท่าแผ่นดินนี้หนาขึ้นประมาณ ๑ โยชน์
แล้วจึงเกิดเป็นอหิเปรตที่เขาคิชฌกูฏ ด้วยผลกรรมที่ยังเหลืออยู่"
"ภิกษุทั้งหลาย
ชื่อว่าบาปกรรมนั้น เป็นเช่นกับน้ำนม
น้ำนมอันบุคคลกำลังรีดนั่นแล ยังไม่แปรไปฉันใด
กรรมอันบุคคลกำลังกระทำนั่นแล ก็ยังไม่ทันให้ผลฉันนั้น
แต่ในกาลใดที่กรรมให้ผล
ในกาลนั้น ผู้กระทำย่อมประกอบด้วยทุกข์เห็นปานนั้น"
ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
"บาปกรรมที่บุคคลทำแล้วยังไม่ให้ผลทันที
เหมือนน้ำนมที่รีดในวันนี้
บาปกรรมนั้นจะค่อย ๆ เผาผลาญคนพาล
เหมือนไฟที่ถูกเถ้ากลบไว้ ฉะนั้น"
ในกาลจบพระธรรมเทศนา
ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล
บทความที่เกี่ยวข้อง
๑. ตัวช่วยของคนมีศีล
"บาปกรรมที่บุคคลทำแล้วยังไม่ให้ผลทันที
เหมือนน้ำนมที่รีดในวันนี้
บาปกรรมนั้นจะค่อย ๆ เผาผลาญคนพาล
เหมือนไฟที่ถูกเถ้ากลบไว้ ฉะนั้น"
อหิเปตวัตถุ จบ
อรรถกถา
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน เขตกรุงราชคฤห์
ทรงปรารภอหิเปรตตนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า
ได้ยินว่า ในวันหนึ่ง ท่านพระลักขณเถระและท่านพระมหาโมคคัลลานเถระ ลงจากภูเขาคิชฌกูฏ
ด้วยคิดว่า "เราจักเที่ยวบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์"
บรรดาพระเถระ ๒ รูปนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะเห็นอหิเปรตตนหนึ่ง จึงได้กระทำการยิ้มแย้มให้ปรากฏ
ลำดับนั้น พระลักขณเถระถามเหตุกะพระเถระนั้นว่า
"ผู้มีอายุ เพราะเหตุไรท่านจึงทำการยิ้มแย้มให้ปรากฏ"
พระเถระตอบว่า "ผู้มีอายุ เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาเพื่อวิสัชนาปัญหานี้
ท่านพึงถามผมในสำนักพระผู้มีพระภาคเถิด"
เมื่อพระเถระทั้งสองนั้นเที่ยวบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์แล้ว
ไปสู่สำนักพระผู้มีพระภาค นั่ง ณ ที่สมควรแล้ว
พระลักขณเถระถามว่า "ท่านโมคคัลลานะผู้มีอายุ
ท่านลงจากภูเขาคิชฌกูฏ ทำการยิ้มแย้มให้ปรากฏ
ผมถามถึงเหตุแห่งการยิ้มแย้ม
ท่านกล่าวว่า 'ท่านพึงถามผมในสำนักพระผู้มีพระภาค'
บัดนี้ ท่านจงบอกเหตุนั้นเถิด"
พระเถระกล่าวว่า "ผู้มีอายุ ผมเห็นอหิเปรตตนหนึ่ง จึงได้ทำการยิ้มแย้มให้ปรากฏ
อัตภาพของเปรตนั้นเห็นปานนี้ ศีรษะของมันเหมือนศีรษะมนุษย์ อัตภาพที่เหลือของมันเหมือนงู
นั่นชื่ออหิเปรต อัตภาพโดยประมาณ ๒๕ โยชน์
เปลวไฟตั้งขึ้นจากศีรษะของมันลามไปจนถึงหาง
ตั้งขึ้นจากหางถึงศีรษะ
ตั้งขึ้นในท่ามกลางลามไปถึงข้างทั้งสอง
ตั้งขึ้นแต่ข้างทั้งสองรวมลงในท่ามกลาง"
ได้ยินว่า อัตภาพของเปรตโดยทั่วไปประมาณ ๓ คาวุต
แต่อัตภาพของอหิเปรตและกากเปรตประมาณ ๒๕ โยชน์
(๔ คาวุต เป็น ๑ โยชน์)
[ บุพกรรมของกากเปรต ]
พระมหาโมคคัลลานะเห็นแม้กากเปรตอันไฟเผาไหม้อยู่ ที่ยอดเขาคิชฌกูฏเมื่อพระเถระจะถามบุพกรรมของเปรตนั้น จึงกล่าวว่า
"ลิ้นของเจ้าประมาณ ๕ โยชน์
ศีรษะของเจ้าประมาณ ๙ โยชน์
กายของเจ้าสูงประมาณ ๒๕ โยชน์
เจ้าทำกรรมอะไรไว้ จึงถึงทุกข์เช่นนี้"
เปรตตนนั้นกล่าวว่า "พระโมคคัลลานะผู้เจริญ
ข้าพเจ้ากลืนกินภัตตามปรารถนาที่เขานำมาเพื่อสงฆ์
ในสมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่"
ได้ยินว่า ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ
ภิกษุทั้งหลายเข้าไปสู่บ้านเพื่อบิณฑบาต
พวกชาวบ้านเห็นพระเถระทั้งหลายแล้วรักใคร่ นิมนต์ให้นั่งที่โรงฉัน ล้างเท้า ทาด้วยน้ำมัน ให้ดื่มข้าวยาคู ถวายของควรเคี้ยว รอคอยบิณฑบาตกาล นั่งฟังธรรมอยู่
ในกาลจบธรรมกถา พวกชาวบ้านรับบาตรของพระเถระทั้งหลาย
แล้วใส่โภชนะมีรสเลิศต่าง ๆ ในเรือนของตน ๆ ลงในบาตร
ในครั้งนั้น กาตัวหนึ่งจับอยู่ที่หลังคาแห่งโรงฉัน
เห็นโภชนะนั้นแล้ว ได้บินโฉบลงไปคาบเอาคำข้าว ๓ คำเต็มปาก ๓ ครั้งจากบาตรที่ชาวบ้านคนหนึ่งถือไว้
ภัตนั้นยังหาเป็นของสงฆ์ไม่
มิใช่เป็นภัตที่เขากำหนดถวายแก่สงฆ์
เป็นภัตที่เหลือจากที่ภิกษุฉันแล้วอันชาวบ้านจะพึงนำไปบริโภคก็ไม่ใช่
เป็นเพียงภัตที่เขานำมาเฉพาะสงฆ์อย่างเดียวเท่านั้น
กาตัวนั้นคาบเอาคำข้าว ๓ คำจากบาตรนั้น
ด้วยกรรมเพียงเท่านี้ เมื่อตายแล้ว ได้ไปไหม้อยู่ในอเวจี
ในบัดนี้ ด้วยผลกรรมที่เหลืออยู่ จึงเกิดเป็นกากเปรต เสวยทุกข์ที่ภูเขาคิชฌกูฏนี้
เรื่องกากเปรตมีเท่านี้
[ บุพกรรมของอหิเปรต ]
แต่ในเรื่องนี้ พระเถระกล่าวว่า "ผมเห็นอหิเปรต จึงได้ทำการยิ้มแย้มให้ปรากฏ"ลำดับนั้น พระศาสดาทรงเป็นพยานของพระเถระนั้น ตรัสว่า
"ภิกษุทั้งหลาย โมคคัลลานะพูดจริง
แม้เราเองก็เห็นเปรตนั้นในวันบรรลุสัมโพธิญาณเหมือนกัน
แต่เรายังไม่กล่าว เพราะเอ็นดูคนอื่นว่า
'ชนเหล่าใดไม่เชื่อคำของเรา ความไม่เชื่อนั้นพึงเป็นไปเพื่อสิ่งมิใช่ประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนเหล่านั้น'
แต่ในกาลนี้ที่โมคคัลลานะเห็นแล้วนั่นแล เราเป็นพยานของโมคคัลลานะ"
ภิกษุทั้งหลายฟังเรื่องนั้นแล้ว จึงทูลถามบุพกรรมของเปรตนั้น
พระศาสดาตรัสแก่ภิกษุเหล่านั้นว่า
"ได้ยินว่า ในอดีตกาล
พวกชนอาศัยกรุงพาราณสี สร้างบรรณศาลาไว้เพื่อพระปัจเจกพุทธเจ้า ใกล้ฝั่งแม่น้ำ
พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นอยู่ในบรรณศาลานั้น ย่อมเที่ยวไปบิณฑบาตในเมืองเนืองนิตย์
แม้พวกชาวเมืองก็ถือสักการะมีของหอมและดอกไม้เป็นต้น ไปสู่ที่บำรุงของพระปัจเจกพุทธเจ้า ทั้งเย็นทั้งเช้า
บุรุษชาวกรุงพาราณสีคนหนึ่งอาศัยหนทางนั้นไถนา
มหาชนเมื่อไปสู่ที่บำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้าย่อมเหยียบย่ำนานั้นไปทั้งเย็นทั้งเช้า
ชาวนานั้นแม้ห้ามอยู่ว่า "ขอพวกท่านอย่าเหยียบนาของข้าพเจ้า" ก็ไม่สามารถจะห้ามได้
ครั้งนั้น ชาวนานั้นได้มีความคิดอย่างนั้นว่า
"ถ้าบรรณศาลาของพระปัจเจกพุทธเจ้าไม่พึงมีในที่นี้ไซร้
ชนทั้งหลายก็คงไม่มาเหยียบย่ำนาของเรา"
วันรุ่งขึ้น เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน
ชาวนานั้นจึงเข้าไปทุบภาชนะเครื่องใช้แล้วเผาบรรณศาลาเสีย
พระปัจเจกพุทธเจ้าเมื่อกลับมา เห็นบรรณศาลาถูกไฟไหม้ จึงหลีกไปตามสบาย
มหาชนถือของหอมและระเบียบดอกไม้มา เห็นบรรณศาลาถูกไฟไหม้ จึงกล่าวว่า
"พระผู้เป็นเจ้าของพวกเราไป ณ ที่ไหนแล้วหนอ"
ชาวนาคนนั้นยืนอยู่ในท่ามกลางมหาชน พูดอย่างนี้ว่า
"ข้าพเจ้าเป็นคนเผาบรรณศาลาของพระปัจเจกพุทธเจ้าเอง"
ครั้งนั้น ชนทั้งหลายพูดว่า "พวกเราจงจับชายผู้นี้ไว้
เพราะชายชั่วคนนี้ พวกเราจึงไม่ได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าอีก"
แล้วทุบตีชาวนานั้นด้วยท่อนไม้เป็นต้น ให้ถึงความสิ้นชีวิตแล้ว
ชาวนานั้นเกิดในอเวจี ไหม้ในนรกตราบเท่าแผ่นดินนี้หนาขึ้นประมาณ ๑ โยชน์
แล้วจึงเกิดเป็นอหิเปรตที่เขาคิชฌกูฏ ด้วยผลกรรมที่ยังเหลืออยู่"
[ พระศาสดาทรงเปรียบเทียบผลกรรม ]
พระศาสดาครั้นตรัสบุพกรรมของอหิเปรตนั้นแล้ว จึงตรัสว่า"ภิกษุทั้งหลาย
ชื่อว่าบาปกรรมนั้น เป็นเช่นกับน้ำนม
น้ำนมอันบุคคลกำลังรีดนั่นแล ยังไม่แปรไปฉันใด
กรรมอันบุคคลกำลังกระทำนั่นแล ก็ยังไม่ทันให้ผลฉันนั้น
แต่ในกาลใดที่กรรมให้ผล
ในกาลนั้น ผู้กระทำย่อมประกอบด้วยทุกข์เห็นปานนั้น"
ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
"บาปกรรมที่บุคคลทำแล้วยังไม่ให้ผลทันที
เหมือนน้ำนมที่รีดในวันนี้
บาปกรรมนั้นจะค่อย ๆ เผาผลาญคนพาล
เหมือนไฟที่ถูกเถ้ากลบไว้ ฉะนั้น"
ในกาลจบพระธรรมเทศนา
ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล
บทความที่เกี่ยวข้อง
๑. ตัวช่วยของคนมีศีล
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น