กกจูปมสูตร (มัชฌิมนิกาย > มูลปัณณาสก์ > โอปัมมวรรค)


กกจูปมสูตร  (ว่าด้วยอุปมาด้วยเลื่อย)

สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่  ณ  พระเชตวัน  อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี  เขตกรุงสาวัตถี

สมัยนั้น  ท่านพระโมลิยผัคคุนะอยู่คลุกคลีกับภิกษุณีทั้งหลายเกินเวลา
ท่านพระโมลิยผัคคุนะอยู่คลุกคลีกับภิกษุณีทั้งหลายอย่างนี้
ถ้าภิกษุบางรูปติเตียนภิกษุณีเหล่านั้นต่อหน้าท่านพระโมลิยผัคคุนะ
ท่านพระโมลิยผัคคุนะก็โกรธไม่พอใจภิกษุรูปนั้นถึงกับก่ออธิกรณ์ขึ้นก็มี
อนึ่ง  ถ้าภิกษุบางรูปติเตียนท่านพระโมลิยผัคคุนะต่อหน้าภิกษุณีเหล่านั้น
ภิกษุณีเหล่านั้นก็พากันโกรธไม่พอใจภิกษุรูปนั้นถึงกับก่ออธิกรณ์ขึ้นก็มี
ท่านพระโมลิยผัคคุนะอยู่คลุกคลีกับภิกษุณีทั้งหลายอย่างนี้

ครั้งนั้น  ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ  ถวายอภิวาท  แล้วนั่ง  ณ  ที่สมควร  ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ท่านพระโมลิยผัคคุนะอยู่คลุกคลีกับพวกภิกษุณีเกินเวลา
ท่านพระโมลิยผัคคุนะอยู่คลุกคลีกับพวกภิกษุณีอย่างนี้
ถ้าภิกษุบางรูปติเตียนภิกษุณีเหล่านั้นต่อหน้าท่านพระโมลิยผัคคุนะ
ท่านพระโมลิยผัคคุนะก็โกรธไม่พอใจภิกษุรูปนั้นถึงกับก่ออธิกรณ์ขึ้นก็มี
อนึ่ง  ถ้าภิกษุบางรูปติเตียนท่านพระโมลิยผัคคุนะต่อหน้าภิกษุณีเหล่านั้น
ภิกษุณีเหล่านั้นก็พากันโกรธไม่พอใจภิกษุรูปนั้นถึงกับก่ออธิกรณ์ขึ้นก็มี
ท่านพระโมลิยผัคคุนะอยู่คลุกคลีกับพวกภิกษุณีอย่างนี้"


[ ทรงเตือนพระโมลิยผัคคุนะที่โกรธ ]
ลำดับนั้น  พระผู้มีพระภาคได้รับสั่งเรียกภิกษุรูปหนึ่งมาตรัสว่า
"มาเถิดภิกษุ  เธอจงไปเรียกโมลิยผัคคุนภิกษุตามคำของเราว่า  'ท่านผัคคุนะ  พระศาสดาตรัสเรียกท่าน"

ภิกษุรูปนั้นทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว  เข้าไปหาท่านพระโมลิยผัคคุนะถึงที่อยู่  แล้วได้กล่าวกับท่านว่า
"ท่านผัคคุนะ  พระศาสดาตรัสเรียกท่าน"

ท่านพระโมลิยผัคคุนะรับคำภิกษุรูปนั้นแล้ว  เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ  ถวายอภิวาท  แล้วนั่ง  ณ  ที่สมควร

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามท่านโมลิยผัคคุนะว่า
"ผัคคุนะ  จริงหรือที่เขาลือกันว่าเธออยู่คลุกคลีกับภิกษุณีทั้งหลายเกินเวลา
เธออยู่คลุกคลีกับภิกษุณีทั้งหลายอย่างนี้
ถ้าภิกษุบางรูปติเตียนภิกษุณีเหล่านั้นต่อหน้าเธอ
เธอก็โกรธไม่พอใจภิกษุรูปนั้นถึงกับก่ออธิกรณ์ขึ้นก็มี
อนึ่ง  ถ้าภิกษุบางรูปติเตียนเธอต่อหน้าภิกษุณีทั้งหลาย
ภิกษุณีเหล่านั้นก็พากันโกรธไม่พอใจภิกษุรูปนั้นถึงกับก่ออธิกรณ์ขึ้นก็มี
จริงหรือที่เธออยู่คลุกคลีกับภิกษุณีทั้งหลายอย่างนี้"

ท่านพระโมลิยผัคคุนะทูลรับว่า  "จริง  พระพุทธเจ้าข้า"

พระผู้มีพระภาคจึงตรัสถามต่อไปว่า
"เธอเป็นกุลบุตรออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธามิใช่หรือ"

ท่านพระโมลิยผัคคุนะทูลว่า  "อย่างนั้น  พระพุทธเจ้าข้า"

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
"ผัคคุนะ  การที่เธออยู่คลุกคลีกับภิกษุณีทั้งหลายเกินเวลานี้
ไม่สมควรแก่เธอผู้เป็นกุลบุตรออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธาเลย

เพราะฉะนั้น  แม้ถ้าภิกษุบางรูปจะพึงติเตียนภิกษุณีเหล่านั้นต่อหน้าเธอ
แม้ในข้อนั้น  เธอก็ควรละฉันทะและวิตกอันอาศัยเรือน (อาศัยกามคุณ ๕) เสีย
เธอควรสำเหนียกอย่างนี้ว่า
'จิตของเราจักไม่แปรผัน
เราจักไม่เปล่งวาจาชั่วหยาบ
และจักอนุเคราะห์ด้วยสิ่งที่เป็นประโยชน์อยู่อย่างผู้มีเมตตาจิต  ไม่มีโทสะ'
ผัคคุนะ  เธอควรสำเหนียกอย่างนี้แล

เพราะฉะนั้น  ถ้าใคร ๆ จะพึงทำร้ายภิกษุณีเหล่านั้นด้วยฝ่ามือ  ก้อนดิน  ท่อนไม้  และศัสตราต่อหน้าเธอ
แม้ในข้อนั้น  เธอก็ควรละฉันทะและวิตกอันอาศัยเรือนเสีย
เธอควรสำเหนียกอย่างนี้ว่า
'จิตของเราจักไม่แปรผัน
เราจักไม่เปล่งวาจาชั่วหยาบ
และจักอนุเคราะห์ด้วยสิ่งที่เป็นประโยชน์อยู่อย่างผู้มีเมตตาจิต  ไม่มีโทสะ'
ผัคคุนะ  เธอควรสำเหนียกอย่างนี้แล

เพราะฉะนั้น  ถ้าใคร ๆ ติเตียนต่อหน้าเธอ
แม้ในข้อนั้น  เธอควรละฉันทะและวิตกอันอาศัยเรือนเสีย
เธอควรสำเหนียกอย่างนี้ว่า
'จิตของเราจักไม่แปรผัน
เราจักไม่เปล่งวาจาชั่วหยาบ
และจักอนุเคราะห์ด้วยสิ่งที่เป็นประโยชน์อยู่อย่างผู้มีเมตตาจิต  ไม่มีโทสะ'
ผัคคุนะ  เธอควรสำเหนียกอย่างนี้แล

เพราะฉะนั้น  ถ้าใคร ๆ จะพึงทำร้ายเธอด้วยฝ่ามือ  ก้อนดิน  ท่อนไม้  และศัสตรา
แม้ในข้อนั้น  เธอควรละฉันทะและวิตกอันอาศัยเรือนเสีย
เธอควรสำเหนียกอย่างนี้ว่า
'จิตของเราจักไม่แปรผัน
เราจักไม่เปล่งวาจาชั่วหยาบ
และจักอนุเคราะห์ด้วยสิ่งที่เป็นประโยชน์อยู่อย่างผู้มีเมตตาจิต  ไม่มีโทสะ'
ผัคคุนะ  เธอควรสำเหนียกอย่างนี้แล"


[ ประโยชน์ของการฉันอาหารมื้อเดียว ]
ครั้งนั้น  พระผู้มีพระภาครับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า
"ภิกษุทั้งหลาย
สมัยหนึ่ง  ภิกษุจำนวนมากได้ทำให้เรามีจิตยินดี
เราได้เตือนภิกษุทั้งหลาย  ณ  ที่นั้นว่า  'เราฉันอาหารมื้อเดียว
เราเมื่อฉันอาหารมื้อเดียว  ย่อมรู้สึกว่ามีอาพาธน้อย  มีความลำบากกายน้อย  มีความเบากาย  มีกำลัง  และอยู่อย่างผาสุก
มาเถิด  แม้พวกเธอก็จงฉันอาหารมื้อเดียว
แม้เธอทั้งหลายเมื่อฉันอาหารมื้อเดียว  จักรู้สึกว่ามีอาพาธน้อย  มีความลำบากกายน้อย  มีความเบากาย  มีกำลัง  และอยู่อย่างผาสุก'

เราไม่ต้องพร่ำสอนภิกษุเหล่านั้นอีก  เพียงแต่ทำให้สติเกิดขึ้นในภิกษุเหล่านั้นเท่านั้น

รถที่เทียมด้วยม้าอาชาไนย  ซึ่งฝึกมาดีแล้ว  แล่นไปตามทางใหญ่สี่แพร่ง  บนพื้นราบเรียบโดยไม่ต้องใช้แส้
เพียงแต่นายสารถีผู้ฝึกหัดม้าที่ฉลาดขึ้นรถแล้วจับสายบังเหียนด้วยมือซ้าย  จับแส้ด้วยมือขวา  เตือนม้าให้วิ่งตรงไป  หรือเลี้ยวกลับไปตามถนนที่ต้องการได้ตามความปรารถนา  แม้ฉันใด
เราก็ฉันนั้นเหมือนกัน  ไม่ต้องพร่ำสอนภิกษุเหล่านั้นอีก  เพียงแต่ทำให้สติเกิดขึ้นในภิกษุเหล่านั้นเท่านั้น

เพราะฉะนั้น  แม้เธอทั้งหลายก็จงละอกุศลธรรม
จงทำความพากเพียรในกุศลธรรมทั้งหลาย
เมื่อเป็นเช่นนี้  แม้เธอทั้งหลายก็จักถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ในธรรมวินัยนี้

ภิกษุทั้งหลาย
ป่าสาละอันกว้าง  ใกล้บ้านหรือนิคม  ป่านั้นรกไปด้วยต้นละหุ่ง
บุรุษบางคนหวังดี  หวังประโยชน์  และหวังความเจริญเติบโตของต้นสาละนั้น
เขาจึงตัดหน่อต้นสาละที่คดซึ่งคอยแย่งอาหารแล้วนำออกไปทิ้งที่ภายนอก  แผ้วถางภายในป่าให้สะอาดเรียบร้อย  คอยบำรุงรักษาต้นสาละเล็ก ๆ ซึ่งตรง  แข็งแรงดีไว้อย่างดี
ด้วยการกระทำดังกล่าวมานี้  ต่อมา  ป่าไม้สาละนั้นก็เจริญงอกงามไพบูลย์ขึ้นโดยลำดับ  แม้ฉันใด
แม้เธอทั้งหลายก็ฉันนั้นเหมือนกัน  จงละอกุศลธรรม
จงทำความพากเพียรในกุศลธรรมทั้งหลาย
เมื่อเป็นเช่นนี้  เธอทั้งหลายก็จักถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ในธรรมวินัยนี้


[ นางเวเทหิกาบันดาลโทสะ ]
ภิกษุทั้งหลาย  เรื่องเคยมีมาแล้ว
ในกรุงสาวัตถีนี้แล  ได้มีหญิงแม่เรือนชื่อเวเทหิกา
เธอมีกิตติศัพท์อันงามขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า  'หญิงแม่เรือนชื่อเวเทหิกาเป็นคนเรียบร้อย  เจียมตน  ใจเย็น'
และเธอมีสาวใช้ชื่อกาลี  เป็นคนขยัน  ไม่เกียจคร้าน  จัดการงานดี

ต่อมา  สาวใช้ชื่อกาลีได้มีความคิดอย่างนี้ว่า
'กิตติศัพท์อันงามของนายหญิงของเราขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า
'หญิงแม่เรือนชื่อเวเทหิกาเป็นคนเรียบร้อย  เจียมตน  ใจเย็น'
นายหญิงของเราไม่แสดงความโกรธที่มีอยู่ในภายในให้ปรากฏ
หรือว่าหล่อนไม่มีความโกรธอยู่เลย
หรือนายหญิงของเราไม่แสดงความโกรธที่มีอยู่ในภายในให้ปรากฏเพราะเราจัดการงานทั้งหลายเรียบร้อยดี  ไม่ใช่หล่อนไม่มีความโกรธ
ทางที่ดี  เราจะต้องทดลองนายหญิงดู'

วันรุ่งขึ้น  นางกาลีก็แกล้งตื่นสาย
ฝ่ายหญิงแม่เรือนชื่อเวเทหิกาได้ตวาดสาวใช้ชื่อกาลีว่า  'เฮ้ย  นางกาลี'
นางกาลีขานรับว่า  'อะไรเจ้าคะ  นายหญิง'
นางเวเทหิกาถามว่า  'เฮ้ย  ทำไมจึงตื่นสาย'
นางกาลีตอบว่า  'ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ'
นางจึงกล่าวอีกว่า  'เฮ้ย  นางชาติชั่ว  เมื่อไม่มีอะไร  ทำไมจึงตื่นสาย'
แล้วโกรธ  ไม่พอใจ  ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด

ลำดับนั้น  นางกาลีได้คิดว่า
'นายหญิงของเราไม่แสดงความโกรธที่มีอยู่ในภายในเท่านั้น  ไม่ใช่หล่อนไม่มีความโกรธ
ที่ไม่แสดงความโกรธที่มีอยู่ในภายในให้ปรากฏ  ก็เพราะเราจัดการงานทั้งหลายเรียบร้อยดี  ไม่ใช่หล่อนไม่มีความโกรธ
ทางที่ดี  เราจะต้องทดลองนายหญิงให้ยิ่งขึ้นไป'

ต่อมา  นางกาลีก็ตื่นสายกว่าทุกวัน
ครั้งนั้น  หญิงแม่เรือนชื่อเวเทหิกา  ก็ร้องตวาดด่านางกาลีอีกว่า  'เฮ้ย  นางกาลี'
นางกาลีขานรับว่า  'อะไรเจ้าคะ  นายหญิง'
นางเวเทหิกาถามว่า  'เฮ้ย  ทำไมจึงตื่นสาย'
นางกาลีตอบว่า  'ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ'
นางจึงกล่าวอีกว่า  'เฮ้ย  นางชาติชั่ว  เมื่อไม่มีอะไร  ทำไมจึงตื่นสายเล่า'
แล้วโกรธ  ไม่พอใจ  แผดเสียงด้วยความขุ่นเคือง

ลำดับนั้น  นางกาลีได้คิดว่า
'นายหญิงของเราไม่แสดงความโกรธที่มีอยู่ในภายในเท่านั้น  ไม่ใช่หล่อนไม่มีความโกรธ
ที่ไม่แสดงความโกรธที่มีอยู่ในภายในให้ปรากฏ  ก็เพราะเราจัดการงานทั้งหลายเรียบร้อยดี  ไม่ใช่หล่อนไม่มีความโกรธ
ทางที่ดี  เราจะต้องทดลองให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก'

ต่อมา  นางกาลีก็ตื่นสายยิ่งกว่าทุกวัน
ครั้งนั้น  หญิงแม่เรือนชื่อเวเทหิกาก็ร้องตวาดด่านางกาลีว่า  'เฮ้ย  นางกาลีชาติชั่ว'
นางกาลีขานรับว่า  'อะไรเจ้าคะ  นายหญิง'
นางเวเทหิกาถามว่า  'เฮ้ย  ทำไมจึงตื่นสายนัก'
นางกาลีตอบว่า  'ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ'
นางจึงกล่าวอีกว่า  'เฮ้ย  นางชาติชั่ว  เมื่อไม่มีอะไร  ทำไมจึงตื่นสายเล่า'
แล้วโกรธจัด  คว้าลิ่มประตูขว้างศีรษะ  ปากก็ด่าว่า  'ข้าจะตีหัวเอ็งให้แตก'

คราวนั้น  นางกาลีหัวแตกมีเลือดไหลโชก  เที่ยวโพนทะนาแก่คนบ้านใกล้เรือนเคียงว่า
'พ่อคุณแม่คุณทั้งหลาย  ขอเชิญดูการกระทำของคนเรียบร้อย  เจียมตน  ใจเย็นเถิด
นางโกรธไม่พอใจว่าตื่นสาย  จึงคว้าลิ่มประตูขว้างศีรษะของสาวใช้คนหนึ่ง  ปากก็ด่าว่า  'ข้าจะตีหัวเอ็งให้แตก'

ภิกษุทั้งหลาย  ตั้งแต่นั้นมา  กิตติศัพท์อันชั่วช้าของหญิงแม่เรือนชื่อเวเทหิกาก็ขจรไปอย่างนี้ว่า
'หญิงแม่เรือนชื่อเวเทหิกา  เป็นหญิงดุร้าย  ไม่เจียมตน  ใจร้อน'  แม้ฉันใด
ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน  เป็นผู้เรียบร้อยนักเรียบร้อยหนา  เจียมตนนักเจียมตนหนา  ใจเย็นนักใจเย็นหนา  ก็เพียงชั่วเวลาที่ถ้อยคำอันไม่เป็นที่พอใจไม่มากระทบเท่านั้น
แต่เมื่อใด  ถ้อยคำอันไม่เป็นที่พอใจมากระทบเธอเข้า  แล้วเธอสามารถดำรงอยู่ในความไม่โกรธได้
เมื่อนั้นควรทราบว่า  'เธอเป็นผู้เรียบร้อย  เป็นผู้เจียมตน  เป็นผู้ใจเย็นจริง'

ภิกษุที่ทำตนเป็นคนว่าง่าย  ถึงความเป็นผู้ว่าง่าย  เพราะเหตุแห่งจีวร  บิณฑบาต  เสนาสนะ  และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร  เราไม่เรียกว่า  'เป็นผู้ว่าง่ายเลย'
ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะภิกษุนั้นเมื่อไม่ได้จีวร  บิณฑบาต  เสนาสนะ  และคิลานปัจจัยเภสัชบริขารนั้น  ก็จะไม่เป็นผู้ว่าง่าย  ไม่ถึงความเป็นผู้ว่าง่าย

แต่ภิกษุผู้สักการะ  เคารพ  นับถือ  บูชา  นอบน้อมธรรม  เป็นผู้ว่าง่าย  ถึงความเป็นผู้ว่าง่าย  เราเรียกว่า  'เป็นผู้ว่าง่าย'

เพราะเหตุนั้น  เธอทั้งหลายควรสำเหนียกอย่างนี้ว่า  'เราจักสักการะ    เคารพ  นับถือ  บูชา  นอบน้อมธรรม  จักเป็นผู้ว่าง่าย  จักถึงความเป็นผู้ว่าง่าย'

[ อุบายระงับความโกรธ ]
ภิกษุทั้งหลาย
วิธีพูดที่บุคคลอื่นจะใช้พูดกับเธอทั้งหลาย ๕ ประการนี้  คือ
๑. พูดตามกาลอันสมควรหรือไม่สมควร
๒. พูดเรื่องที่เป็นจริงหรือไม่เป็นจริง
๓. พูดคำที่อ่อนหวานหรือหยาบคาย
๔. พูดคำที่มีประโยชน์หรือไร้ประโยชน์
๕. มีเมตตาจิตพูดหรือมีโทสะพูด

บุคคลอื่นเมื่อพูด
จะพึงพูดตามกาลอันสมควรหรือไม่สมควรก็ตาม
จะพึงพูดเรื่องที่เป็นจริงหรือไม่เป็นจริงก็ตาม
จะพึงพูดคำที่อ่อนหวานหรือหยาบคายก็ตาม
จะพึงพูดคำที่มีประโยชน์หรือไร้ประโยชน์ก็ตาม
จะพึงมีเมตตาจิตพูดหรือมีโทสะพูดก็ตาม
ในข้อนั้น  เธอทั้งหลายควรสำเหนียกอย่างนี้ว่า
'จิตของเราจักไม่แปรผัน
เราจักไม่เปล่งวาจาชั่วหยาบ
และจักอนุเคราะห์ด้วยสิ่งอันเป็นประโยชน์อยู่อย่างผู้มีเมตตาจิต  ไม่มีโทสะ
เราจักแผ่เมตตาจิตไปให้บุคคลนั้นอยู่
และเราจักแผ่เมตตาจิตอันไพบูลย์  เป็นมหัคคตะ  ไม่มีขอบเขต  ไม่มีเวร  ไม่มีความเบียดเบียน  ไปยังสัตว์โลกทุกหมู่เหล่าอันเป็นอารมณ์ของเมตตาจิตนั้นอยู่'
ภิกษุทั้งหลาย  เธอทั้งหลายควรสำเหนียกด้วยอาการดังกล่าวมานี้


[ ทำใจให้หนักแน่นเหมือนแผ่นดิน ]
ภิกษุทั้งหลาย
เปรียบเหมือนบุรุษถือเอาจอบและตะกร้ามาแล้วพูดอย่างนี้ว่า
'เราจักทำแผ่นดินใหญ่นี้ไม่ให้เป็นแผ่นดิน'
เขาขุดลงตรงที่นั้น ๆ  โกยเศษดินทิ้งลงไปในที่นั้น ๆ  บ้วนน้ำลายลงในที่นั้น ๆ  ถ่ายปัสสาวะรดลงในที่นั้น ๆ
แล้วพูดสำทับว่า  'เอ็งอย่าเป็นแผ่นดิน  เอ็งอย่าเป็นแผ่นดิน'
เธอทั้งหลายเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร
บุรุษนั้นพึงทำแผ่นดินใหญ่นี้ไม่ให้เป็นแผ่นดินได้หรือไม่"

"ไม่ได้  พระพุทธเจ้าข้า"

"ข้อนั้นเพราะเหตุไร"

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  เพราะแผ่นดินใหญ่นี้ลึกหาประมาณมิได้
เขาจะทำแผ่นดินใหญ่นั้นไม่ให้เป็นแผ่นดินไม่ได้ง่าย
บุรุษนั้นจะต้องได้รับความเหน็ดเหนื่อย  และความลำบากใจเป็นแน่แท้"

"ภิกษุทั้งหลาย
วิธีพูดที่บุคคลอื่นจะใช้พูดกับเธอทั้งหลายก็ฉันนั้นเหมือนกัน  มีอยู่ ๕ ประการนี้  คือ
๑. พูดตามกาลอันสมควรหรือไม่สมควร
๒. พูดเรื่องที่เป็นจริงหรือไม่เป็นจริง
๓. พูดคำที่อ่อนหวานหรือหยาบคาย
๔. พูดคำที่มีประโยชน์หรือไร้ประโยชน์
๕. มีเมตตาจิตพูดหรือมีโทสะพูด

บุคคลอื่นเมื่อพูด
จะพึงพูดตามกาลอันสมควรหรือไม่สมควรก็ตาม
จะพึงพูดเรื่องที่เป็นจริงหรือไม่เป็นจริงก็ตาม
จะพึงพูดคำที่อ่อนหวานหรือหยาบคายก็ตาม
จะพึงพูดคำที่มีประโยชน์หรือไร้ประโยชน์ก็ตาม
จะพึงมีเมตตาจิตพูดหรือมีโทสะพูดก็ตาม
ในข้อนั้น  เธอทั้งหลายควรสำเหนียกอย่างนี้ว่า
'จิตของเราจักไม่แปรผัน
เราจักไม่เปล่งวาจาชั่วหยาบ
และจักอนุเคราะห์ด้วยสิ่งอันเป็นประโยชน์อยู่อย่างผู้มีเมตตาจิต  ไม่มีโทสะ
เราจักแผ่เมตตาจิตไปให้บุคคลนั้นอยู่
และเราจักแผ่เมตตาจิตอันไพบูลย์  เสมอด้วยแผ่นดิน  เป็นมหัคคตะ  ไม่มีขอบเขต  ไม่มีเวร  ไม่มีความเบียดเบียน  ไปยังสัตว์โลกทุกหมู่เหล่าอันเป็นอารมณ์ของเมตตาจิตนั้นอยู่'
ภิกษุทั้งหลาย  เธอทั้งหลายควรสำเหนียกด้วยอาการดังกล่าวมานี้


[ ทำใจให้ว่างเหมือนอากาศ ]
ภิกษุทั้งหลาย
เปรียบเหมือนบุรุษถือเอาครั่งสีเหลือง  สีเขียว  หรือสีแดงเลือดนกมา แล้วพูดอย่างนี้ว่า
'เราจักเขียนรูปในอากาศนี้  ทำให้เป็นรูปปรากฏ'
เธอทั้งหลายเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร
บุรุษนั้นจะเขียนรูปในอากาศนี้  ทำให้เป็นรูปปรากฏได้หรือไม่"

"ไม่ได้  พระพุทธเจ้าข้า"

"ข้อนั้นเพราะเหตุไร"

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  เพราะอากาศนี้ไม่มีรูปร่าง  ชี้ให้เห็นไม่ได้
เขาจะเขียนรูปในอากาศนั้น  ทำให้เป็นรูปปรากฏไม่ได้ง่ายเลย
บุรุษนั้นจะต้องเหน็ดเหนื่อย  ลำบากใจเสียเปล่าเป็นแน่”

"ภิกษุทั้งหลาย
วิธีพูดที่บุคคลอื่นจะใช้พูดกับเธอทั้งหลายก็ฉันนั้นเหมือนกัน  มีอยู่ ๕ ประการนี้  คือ
๑. พูดตามกาลอันสมควรหรือไม่สมควร
๒. พูดเรื่องที่เป็นจริงหรือไม่เป็นจริง
๓. พูดคำที่อ่อนหวานหรือหยาบคาย
๔. พูดคำที่มีประโยชน์หรือไร้ประโยชน์
๕. มีเมตตาจิตพูดหรือมีโทสะพูด

บุคคลอื่นเมื่อพูด
จะพึงพูดตามกาลอันสมควรหรือไม่สมควรก็ตาม
จะพึงพูดเรื่องที่เป็นจริงหรือไม่เป็นจริงก็ตาม
จะพึงพูดคำที่อ่อนหวานหรือหยาบคายก็ตาม
จะพึงพูดคำที่มีประโยชน์หรือไร้ประโยชน์ก็ตาม
จะพึงมีเมตตาจิตพูดหรือมีโทสะพูดก็ตาม
ในข้อนั้น  เธอทั้งหลายควรสำเหนียกอย่างนี้ว่า
'จิตของเราจักไม่แปรผัน
เราจักไม่เปล่งวาจาชั่วหยาบ
และจักอนุเคราะห์ด้วยสิ่งอันเป็นประโยชน์อยู่อย่างผู้มีเมตตาจิต  ไม่มีโทสะ
เราจักแผ่เมตตาจิตไปให้บุคคลนั้นอยู่
และเราจักแผ่เมตตาจิตอันไพบูลย์  เสมอด้วยอากาศ  เป็นมหัคคตะ  ไม่มีขอบเขต  ไม่มีเวร  ไม่มีความเบียดเบียน  ไปยังสัตว์โลกทุกหมู่เหล่าอันเป็นอารมณ์ของเมตตาจิตนั้นอยู่'
ภิกษุทั้งหลาย  เธอทั้งหลายควรสำเหนียกด้วยอาการดังกล่าวมานี้


[ ทำใจให้เย็นเหมือนแม่น้ำ ]
ภิกษุทั้งหลาย
เปรียบเหมือนบุรุษถือคบหญ้าที่ลุกโพลงมาแล้วพูดอย่างนี้ว่า
'เราจักเผาแม่น้ำคงคาให้ร้อนจัด  เดือดเป็นควันพุ่งด้วยคบหญ้าที่ลุกโพลงแล้วนี้
เธอทั้งหลายเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร
บุรุษนั้นจักเผาแม่น้ำคงคาให้ร้อนจัด  เดือดเป็นควันพุ่งด้วยคบหญ้าที่ลุกโพลงแล้วได้หรือไม่"

"ไม่ได้  พระพุทธเจ้าข้า”

"ข้อนั้นเพราะเหตุไร”

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  เพราะแม่น้ำคงคาเป็นแม่น้ำที่ลึกสุดประมาณ
เขาจะทำแม่น้ำคงคานั้นให้ร้อนจัด  เดือดเป็นควันพุ่งด้วยคบหญ้าที่ลุกโพลงแล้วไม่ได้ง่ายเลย
บุรุษนั้นจะต้องเหน็ดเหนื่อยลำบากใจเสียเปล่าเป็นแน่"

"ภิกษุทั้งหลาย
วิธีพูดที่บุคคลอื่นจะใช้พูดกับเธอทั้งหลายก็ฉันนั้นเหมือนกัน  มีอยู่ ๕ ประการนี้  คือ
๑. พูดตามกาลอันสมควรหรือไม่สมควร
๒. พูดเรื่องที่เป็นจริงหรือไม่เป็นจริง
๓. พูดคำที่อ่อนหวานหรือหยาบคาย
๔. พูดคำที่มีประโยชน์หรือไร้ประโยชน์
๕. มีเมตตาจิตพูดหรือมีโทสะพูด

บุคคลอื่นเมื่อพูด
จะพึงพูดตามกาลอันสมควรหรือไม่สมควรก็ตาม
จะพึงพูดเรื่องที่เป็นจริงหรือไม่เป็นจริงก็ตาม
จะพึงพูดคำที่อ่อนหวานหรือหยาบคายก็ตาม
จะพึงพูดคำที่มีประโยชน์หรือไร้ประโยชน์ก็ตาม
จะพึงมีเมตตาจิตพูดหรือมีโทสะพูดก็ตาม
ในข้อนั้น  เธอทั้งหลายควรสำเหนียกอย่างนี้ว่า
'จิตของเราจักไม่แปรผัน
เราจักไม่เปล่งวาจาชั่วหยาบ
และจักอนุเคราะห์ด้วยสิ่งอันเป็นประโยชน์อยู่อย่างผู้มีเมตตาจิต  ไม่มีโทสะ
เราจักแผ่เมตตาจิตไปให้บุคคลนั้นอยู่
และเราจักแผ่เมตตาจิตอันไพบูลย์  เสมอด้วยแม่น้ำ  เป็นมหัคคตะ  ไม่มีขอบเขต  ไม่มีเวร  ไม่มีความเบียดเบียน  ไปยังสัตว์โลกทุกหมู่เหล่าอันเป็นอารมณ์ของเมตตาจิตนั้นอยู่'
ภิกษุทั้งหลาย  เธอทั้งหลายควรสำเหนียกด้วยอาการดังกล่าวมานี้


[ ทำใจให้อ่อนโยนเหมือนกระสอบหนังแมว ]
ภิกษุทั้งหลาย
เปรียบเหมือนกระสอบหนังแมวที่ฟอกแล้ว  ฟอกสะอาดแล้ว  ฟอกเรียบร้อยแล้ว  อ่อนนุ่มดังปุยนุ่น  ตีไม่มีเสียง  ตีไม่ดัง
ถ้ามีบุรุษถือเอาไม้หรือกระเบื้องมาแล้วพูดอย่างนี้ว่า
'เราจักทำกระสอบหนังแมวนี้ที่ฟอกแล้ว  ฟอกสะอาดแล้ว  ฟอกเรียบร้อยแล้ว  อ่อนนุ่มดังปุยนุ่น  ตีไม่มีเสียง  ตีไม่ดัง  ให้มีเสียงดังก้องด้วยไม้หรือกระเบื้อง'
เธอทั้งหลายเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร
บุรุษนั้นจะทำกระสอบหนังแมวนี้ที่ฟอกแล้ว  ฟอกสะอาดแล้ว  ฟอกเรียบร้อยแล้ว  อ่อนนุ่มดังปุยนุ่น  ตีไม่มีเสียง  ตีไม่ดัง  ให้กลับมีเสียงดังก้องขึ้นด้วยไม้หรือกระเบื้องได้หรือไม่"

"ไม่ได้  พระพุทธเจ้าข้า"

"ข้อนั้นเพราะเหตุไร"

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  เพราะกระสอบหนังแมวนี้ที่เขาฟอกแล้ว  ฟอกสะอาดแล้ว  ฟอกเรียบร้อยแล้ว  อ่อนนุ่มดังปุยนุ่น  ตีไม่มีเสียง  ตีไม่ดัง
เขาจะทำกระสอบหนังแมวนั้นให้กลับมีเสียงดังก้องขึ้นด้วยไม้หรือกระเบื้องไม่ได้ง่ายเลย
บุรุษนั้นจะต้องเหน็ดเหนื่อยลำบากใจเสียเปล่าเป็นแน่"

"ภิกษุทั้งหลาย
วิธีพูดที่บุคคลอื่นจะใช้พูดกับเธอทั้งหลายก็ฉันนั้นเหมือนกัน  มีอยู่ ๕ ประการนี้  คือ
๑. พูดตามกาลอันสมควรหรือไม่สมควร
๒. พูดเรื่องที่เป็นจริงหรือไม่เป็นจริง
๓. พูดคำที่อ่อนหวานหรือหยาบคาย
๔. พูดคำที่มีประโยชน์หรือไร้ประโยชน์
๕. มีเมตตาจิตพูดหรือมีโทสะพูด

บุคคลอื่นเมื่อพูด
จะพึงพูดตามกาลอันสมควรหรือไม่สมควรก็ตาม
จะพึงพูดเรื่องที่เป็นจริงหรือไม่เป็นจริงก็ตาม
จะพึงพูดคำที่อ่อนหวานหรือหยาบคายก็ตาม
จะพึงพูดคำที่มีประโยชน์หรือไร้ประโยชน์ก็ตาม
จะพึงมีเมตตาจิตพูดหรือมีโทสะพูดก็ตาม
ในข้อนั้น  เธอทั้งหลายควรสำเหนียกอย่างนี้ว่า
'จิตของเราจักไม่แปรผัน
เราจักไม่เปล่งวาจาชั่วหยาบ
และจักอนุเคราะห์ด้วยสิ่งอันเป็นประโยชน์อยู่อย่างผู้มีเมตตาจิต  ไม่มีโทสะ
เราจักแผ่เมตตาจิตไปให้บุคคลนั้นอยู่
และเราจักแผ่เมตตาจิตอันไพบูลย์  เสมอด้วยกระสอบหนังแมว  เป็นมหัคคตะ  ไม่มีขอบเขต  ไม่มีเวร  ไม่มีความเบียดเบียน  ไปยังสัตว์โลกทุกหมู่เหล่าอันเป็นอารมณ์ของเมตตาจิตนั้นอยู่'
ภิกษุทั้งหลาย  เธอทั้งหลายควรสำเหนียกด้วยอาการดังกล่าวมานี้


[ โอวาทอุปมาด้วยเลื่อย ]
ภิกษุทั้งหลาย
หากพวกโจรผู้ประพฤติต่ำทราม  จะพึงใช้เลื่อยที่มีที่จับ ๒ ข้างเลื่อยอวัยวะน้อยใหญ่
ผู้มีใจคิดร้ายแม้ในพวกโจรนั้น  ก็ไม่ชื่อว่าทำตามคำสั่งสอนของเรา  เพราะเหตุที่อดกลั้นไม่ได้นั้น

แม้ในข้อนั้น  เธอทั้งหลายควรสำเหนียกอย่างนี้ว่า
'จิตของเราจักไม่แปรผัน
เราจักไม่เปล่งวาจาชั่วหยาบ
และจักอนุเคราะห์ด้วยสิ่งที่เป็นประโยชน์อยู่อย่างผู้มีเมตตาจิต  ไม่มีโทสะ
เราจักแผ่เมตตาจิตไปให้บุคคลนั้นอยู่
และเราจักแผ่เมตตาจิตอันไพบูลย์  เป็นมหัคคตะ  ไม่มีขอบเขต  ไม่มีเวร  ไม่มีความเบียดเบียน  ไปยังสัตว์โลกทุกหมู่เหล่าอันเป็นอารมณ์ของเมตตาจิตนั้นอยู่'
ภิกษุทั้งหลาย  เธอทั้งหลายควรสำเหนียกด้วยอาการดังกล่าวมานี้

ภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายควรมนสิการถึงโอวาทซึ่งมีอุปมาด้วยเลื่อยนี้เนือง ๆ เถิด

เธอทั้งหลายเห็นวิธีพูดที่มีโทษน้อยหรือมีโทษมาก  ที่เธอทั้งหลายอดกลั้นไม่ได้หรือไม่"

ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า  "ไม่เห็น  พระพุทธเจ้าข้า"

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  "ภิกษุทั้งหลาย
เพราะเหตุนั้น  เธอทั้งหลายจงมนสิการถึงโอวาทซึ่งมีอุปมาด้วยเลื่อยนี้เนือง ๆ เถิด
ข้อนั้นจักมีเพื่อประโยชน์  เพื่อสุขแก่เธอทั้งหลายสิ้นกาลนาน"

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสภาษิตนี้แล้ว
ภิกษุเหล่านั้นมีใจยินดีต่างชื่นชมพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค
ดังนี้แล


กกจูปมสูตร  จบ


บทความที่เกี่ยวข้อง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

พยสนสูตร (อังคุตตรนิกาย > ปัญจกนิบาต > ตติยปัณณาสก์ > คิลานวรรค)

กาลียักขินีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > ยมกวรรค)

ปฏาจาราเถรีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > สหัสสวรรค)