อภยราชกุมารสูตร (มัชฌิมนิกาย > มัชฌิมปัณณาสก์ > คหปติวรรค)


อภยราชกุมารสูตร  (ว่าด้วยพระราชกุมารพระนามว่าอภัย)

สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่  ณ  พระเวฬุวัน  สถานที่ให้เหยื่อกระแต  เขตกรุงราชคฤห์

ครั้งนั้นแล  พระราชกุมารพระนามว่าอภัย  เสด็จเข้าไปหานิครนถ์  นาฏบุตรถึงที่อยู่  ทรงไหว้นิครนถ์  นาฏบุตร  แล้วประทับนั่ง  ณ  ที่สมควร

นิครนถ์  นาฏบุตรได้ทูลอภัยราชกุมารว่า
"เสด็จไปเถิดพระราชกุมาร  เชิญพระองค์เสด็จไปโต้วาทะกับพระสมณโคดมเถิด
เมื่อพระองค์ทรงโต้วาทะกับพระสมณโคดมอย่างนี้แล้ว  กิตติศัพท์อันงามของพระองค์จักระบือไปว่า
'อภัยราชกุมารทรงโต้วาทะกับพระสมณโคดมผู้มีฤทธิ์มาก  มีอานุภาพมากอย่างนี้"

อภัยราชกุมารตรัสถามว่า
"ท่านผู้เจริญ  ข้าพเจ้าจะโต้วาทะกับพระสมณโคดมผู้มีฤทธิ์มาก  มีอานุภาพมาก  ได้อย่างไร"

นิครนถ์  นาฏบุตรทูลตอบว่า
"มาเถิดพระราชกุมาร  เชิญพระองค์เสด็จเข้าไปเฝ้าพระสมณโคดมถึงที่ประทับ  แล้วตรัสถามพระสมณโคดมอย่างนี้ว่า
'ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  มีบ้างไหมที่พระตถาคตตรัสวาจาอันไม่เป็นที่รัก  ไม่เป็นที่ชอบใจของคนอื่น'

ถ้าพระสมณโคดมถูกถามอย่างนี้  แล้วจะทรงตอบว่า
'ราชกุมาร  มีบ้างที่ตถาคตกล่าววาจาอันไม่เป็นที่รัก  ไม่เป็นที่ชอบใจของคนอื่น'

พระองค์พึงทูลถามพระสมณโคดมอย่างนี้ว่า
'ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  เมื่อเป็นเช่นนั้น  การกระทำของพระองค์จะต่างอะไรจากปุถุชน
เพราะปุถุชนก็กล่าววาจาอันไม่เป็นที่รัก  ไม่เป็นที่ชอบใจของคนอื่น'

แต่ถ้าพระสมณโคดมถูกถามอย่างนี้  แล้วจะทรงตอบว่า
'ราชกุมาร  ตถาคตไม่กล่าววาจาอันไม่เป็นที่รัก  ไม่เป็นที่ชอบใจของคนอื่น'

พระองค์พึงทูลถามพระสมณโคดมอย่างนี้ว่า
'ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  เมื่อเป็นเช่นนั้น  เพราะเหตุไรพระองค์จึงทรงพยากรณ์พระเทวทัตว่า  'เทวทัตจักเกิดในอบาย  จักเกิดในนรก  ดำรงอยู่สิ้น ๑ กัป  เป็นผู้ที่ใคร ๆ เยียวยาไม่ได้
เพราะวาจาของพระองค์นั้น  พระเทวทัตโกรธ  เสียใจ'

พระราชกุมาร  พระสมณโคดมถูกพระองค์ทูลถามปัญหา ๒ เงื่อนนี้แล้ว  จะทรงกลืนไม่เข้า  คายไม่ออก

กระจับเหล็กติดอยู่ในลำคอของบุรุษ  บุรุษนั้นไม่อาจกลืนเข้าไป  ไม่อาจคายออก  แม้ฉันใด
พระสมณโคดมก็ฉันนั้นเหมือนกัน  ถูกพระองค์ทูลถามปัญหา ๒ เงื่อนนี้แล้ว  ก็จะทรงกลืนไม่เข้า  คายไม่ออก"

อภัยราชกุมารทรงรับคำนิครนถ์  นาฏบุตรแล้ว  เสด็จลุกจากที่ประทับ  ทรงไหว้นิครนถ์  นาฏบุตร  กระทำประทักษิณ  แล้วเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ  ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค  แล้วประทับนั่ง  ณ  ที่สมควร

อภัยราชกุมารประทับนั่ง  ณ  ที่สมควร  แล้วทรงแหงนดูดวงอาทิตย์  ทรงดำริว่า
"วันนี้ไม่ใช่เวลาสมควรที่จะโต้วาทะกับพระผู้มีพระภาค
วันพรุ่งนี้เถิด  เราจะโต้วาทะกับพระผู้มีพระภาคในวังของเรา"

จึงกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ขอพระผู้มีพระภาคมีพระองค์เป็นที่ ๔  โปรดทรงรับภัตตาหารของข้าพระองค์ในวันพรุ่งนี้เถิด"
(มีพระองค์เป็นที่ ๔  หมายถึงนิมนต์พระผู้มีพระภาคพร้อมกับภิกษุอื่นอีก ๓ รูป)

พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์โดยดุษณีภาพ

ลำดับนั้น  อภัยราชกุมารทรงทราบอาการที่พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์แล้ว  จึงเสด็จลุกจากที่ประทับ  ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค  ทรงกระทำประทักษิณ  แล้วเสด็จจากไป

เมื่อล่วงราตรีนั้นไป  เวลาเช้า  พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสก  ถือบาตรและจีวร  เสด็จเข้าไปยังวังของอภัยราชกุมาร  ประทับนั่งบนพุทธอาสน์ที่ปูลาดไว้แล้ว

ต่อมา  อภัยราชกุมารทรงอังคาสพระผู้มีพระภาคให้อิ่มหนำสำราญด้วยของเคี้ยวของฉันอันประณีตด้วยพระองค์เอง

เมื่อพระผู้มีพระภาคเสวยเสร็จทรงวางพระหัตถ์แล้ว
อภัยราชกุมารจึงทรงเลือกประทับนั่ง  ณ  ที่สมควรที่ใดที่หนึ่งซึ่งต่ำกว่า

[ ถ้อยคำอันไม่เป็นที่รัก ]
อภัยราชกุมารประทับนั่ง  ณ  ที่สมควรแล้ว  ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  พระตถาคตจะพึงตรัสวาจาอันไม่เป็นที่รัก  ไม่เป็นที่ชอบใจของคนอื่นบ้างหรือไม่หนอ"

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
"ราชกุมาร  ในปัญหาข้อนี้  จะวิสัชนาโดยส่วนเดียวมิได้"

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  เพราะปัญหาข้อนี้  พวกนิครนถ์ฉิบหายแล้ว"

"ราชกุมาร  เหตุไฉนพระองค์จึงตรัสอย่างนี้เล่า"

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  เพราะปัญหาข้อนี้  พวกนิครนถ์ได้ฉิบหายแล้ว
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ    ขอประทานวโรกาส
หม่อมฉันเข้าไปหานิครนถ์  นาฏบุตรถึงที่อยู่  ไหว้แล้วนั่ง  ณ  ที่สมควร
นิครนถ์  นาฏบุตรได้บอกว่า
'เสด็จไปเถิดพระราชกุมาร  เชิญพระองค์เสด็จไปโต้วาทะกับพระสมณโคดมเถิด
เมื่อพระองค์ทรงโต้วาทะกับพระสมณโคดมอย่างนี้  กิตติศัพท์อันงามของพระองค์จักระบือไปว่า
'อภัยราชกุมารทรงโต้วาทะกับพระสมณโคดมผู้มีฤทธิ์มาก  มีอานุภาพมากอย่างนี้'

เมื่อนิครนถ์  นาฏบุตรกล่าวอย่างนี้  ข้าพระองค์ได้ถามว่า
'ท่านขอรับ  ข้าพเจ้าจะโต้วาทะกับพระสมณโคดมผู้มีฤทธิ์มาก  มีอานุภาพมาก  ได้อย่างไร'

นิครนถ์  นาฏบุตรตอบว่า
'มาเถิดพระราชกุมาร  เชิญพระองค์เสด็จเข้าไปเฝ้าพระสมณโคดมถึงที่ประทับ  แล้วทูลถามอย่างนี้ว่า
'ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  มีบ้างไหมที่พระตถาคตตรัสวาจาอันไม่เป็นที่รัก  ไม่เป็นที่ชอบใจของคนอื่น'

ถ้าพระสมณโคดมถูกถามอย่างนี้  แล้วทรงตอบว่า
'ราชกุมาร  มีบ้างที่ตถาคตกล่าววาจาอันไม่เป็นที่รัก  ไม่เป็นที่ชอบใจของคนอื่น'

พระองค์พึงทูลถามพระสมณโคดมอย่างนี้ว่า
'ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  เมื่อเป็นเช่นนั้น  การกระทำของพระองค์จะต่างอะไรจากปุถุชน  เพราะปุถุชนก็กล่าววาจาอันไม่เป็นที่รัก  ไม่เป็นที่ชอบใจของคนอื่น'

แต่ถ้าพระสมณโคดมถูกพระองค์ทูลถามอย่างนี้  แล้วจะทรงตอบอย่างนี้ว่า
'ราชกุมาร  ตถาคตไม่กล่าววาจาอันไม่เป็นที่รัก  ไม่เป็นที่ชอบใจของคนอื่น'

พระองค์พึงทูลถามพระสมณโคดมอย่างนี้ว่า
'ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  เมื่อเป็นเช่นนั้น  เพราะเหตุไรพระองค์จึงทรงพยากรณ์พระเทวทัตว่า  'เทวทัตจักเกิดในอบาย  จักเกิดในนรก  ดำรงอยู่สิ้น ๑ กัป  เป็นผู้ที่ใคร ๆ เยียวยาไม่ได้'
เพราะวาจาของพระองค์นั้น  พระเทวทัตโกรธ  เสียใจ'

พระราชกุมาร  พระสมณโคดมถูกพระองค์ทูลถามปัญหา ๒ เงื่อนนี้แล้ว  จะทรงกลืนไม่เข้า  คายไม่ออก

กระจับเหล็กติดอยู่ในลำคอของบุรุษ  บุรุษนั้นไม่อาจกลืนเข้าไปได้  ไม่อาจคายออก  แม้ฉันใด
พระสมณโคดมก็ฉันนั้นเหมือนกัน  ถูกพระองค์ทูลถามปัญหา ๒ เงื่อนนี้แล้ว  จะทรงกลืนไม่เข้า  คายไม่ออก"


[ เกณฑ์ในการตรัสวาจาของพระพุทธเจ้า ]
ขณะนั้นเอง  กุมารน้อยยังนอนหงายอยู่บนพระเพลาของอภัยราชกุมาร

ลำดับนั้น  พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับอภัยราชกุมารว่า
"ราชกุมาร  พระองค์เข้าพระทัยความข้อนั้นว่าอย่างไร
ถ้ากุมารน้อยนี้อาศัยความประมาทของพระองค์หรือของหญิงพี่เลี้ยง  แล้วนำไม้หรือก้อนกรวดมาใส่ปาก
พระองค์จะพึงปฏิบัติกับกุมารน้อยนั้นอย่างไร"

อภัยราชกุมารกราบทูลว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  หม่อมฉันจะนำออกเสีย
ถ้าหม่อมฉันไม่อาจจะนำออกแต่ทีแรกได้  หม่อมฉันก็จะเอามือซ้ายประคองศีรษะ  แล้วงอนิ้วมือขวา  ล้วงเอาไม้หรือก้อนกรวดพร้อมด้วยเลือดออกเสีย
ข้อนั้นเพราะเหตุไร  เพราะหม่อมฉันมีความเอ็นดูในกุมารน้อย"

"ราชกุมาร  ตถาคตก็อย่างนั้นเหมือนกัน
๑. ตถาคตรู้วาจาที่ไม่จริง  ไม่แท้  ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
และวาจานั้นไม่เป็นที่รัก  ไม่เป็นที่ชอบใจของคนอื่น
ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น

๒. ตถาคตรู้วาจาที่จริง  ที่แท้  แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
และวาจานั้นไม่เป็นที่รัก  ไม่เป็นที่ชอบใจของคนอื่น
ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น

๓. ตถาคตรู้วาจาที่จริง  ที่แท้  และประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก  ไม่เป็นที่ชอบใจของคนอื่น
ในข้อนั้น  ตถาคตรู้กาลที่จะกล่าววาจานั้น

๔. ตถาคตรู้วาจาที่ไม่จริง  ไม่แท้  ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รักเป็นที่ชอบใจของคนอื่น
ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น

๕. ตถาคตรู้วาจาที่จริง  ที่แท้  ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก  เป็นที่ชอบใจของคนอื่น
ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น

๖. ตถาคตรู้วาจาที่จริง  ที่แท้  ที่ประกอบด้วยประโยชน์
และวาจานั้นเป็นที่รัก  เป็นที่ชอบใจของคนอื่น
ในข้อนั้น  ตถาคตรู้กาลที่จะกล่าววาจานั้น

ข้อนั้นเพราะเหตุไร  เพราะตถาคตมีความเอ็นดูในหมู่สัตว์ทั้งหลาย"

[ พุทธปฏิภาณ ]
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
กษัตริย์ผู้เป็นบัณฑิตก็ดี  พราหมณ์ผู้เป็นบัณฑิตก็ดี  คหบดีผู้เป็นบัณฑิตก็ดี  สมณะผู้เป็นบัณฑิตก็ดี  ตั้งปัญหาแล้วเข้ามาเฝ้าพระตถาคต  ทูลถามปัญหานั้น
การตอบปัญหาแก่บัณฑิตเหล่านั้น  พระผู้มีพระภาคทรงตรึกด้วยพระทัยก่อนว่า  'บัณฑิตทั้งหลายจักเข้ามาหาเราแล้วทูลถามปัญหาอย่างนี้  เราเมื่อบัณฑิตเหล่านั้นทูลถามอย่างนี้แล้ว  จักตอบอย่างนี้'
หรือว่าคำตอบนั้นปรากฏแก่พระตถาคตโดยทันที"

"ราชกุมาร  ถ้าเช่นนั้น  ในข้อนี้  ตถาคตจักถามพระองค์บ้าง
ข้อนี้พระองค์เห็นควรอย่างไร  พระองค์พึงตอบอย่างนั้น
พระองค์ทรงเข้าพระทัยความข้อนั้นว่าอย่างไร
พระองค์เป็นผู้ชำนาญในองค์ประกอบน้อยใหญ่ของรถ  มิใช่หรือ"

"ใช่  พระพุทธเจ้าข้า  หม่อมฉันเป็นผู้ชำนาญในองค์ประกอบน้อยใหญ่ของรถ"

"ราชกุมาร  พระองค์ทรงเข้าพระทัยความข้อนั้นว่าอย่างไร
ชนทั้งหลายเข้าไปเฝ้าพระองค์  แล้วทูลถามอย่างนี้ว่า
'องค์ประกอบน้อยใหญ่ของรถคันนี้ชื่ออะไร'
การตอบปัญหาแก่ชนเหล่านั้น  พระองค์ตรึกด้วยพระทัยก่อนว่า  'ชนทั้งหลายเข้ามาหาเราแล้วจักถามอย่างนี้  เราเมื่อถูกชนเหล่านั้นถามอย่างนี้  จักตอบอย่างนี้'
หรือว่าคำตอบนั้นปรากฏแก่พระองค์โดยทันที"

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
เพราะหม่อมฉันเป็นผู้เชี่ยวชาญรู้จักรถเป็นอย่างดี
ชำนาญในองค์ประกอบน้อยใหญ่ของรถ
องค์ประกอบน้อยใหญ่ของรถทั้งหมด  หม่อมฉันทราบดีแล้ว
ฉะนั้น  การตอบปัญหานั้นปรากฏแก่หม่อมฉันโดยทันที"

"ราชกุมาร
กษัตริย์ผู้เป็นบัณฑิตก็ดี  พราหมณ์ผู้เป็นบัณฑิตก็ดี  คหบดีผู้เป็นบัณฑิตก็ดี  สมณะผู้เป็นบัณฑิตก็ดี  ตั้งปัญหาแล้วจักเข้ามาหาตถาคต  ถามปัญหานั้น
การตอบปัญหานั้นปรากฏแก่ตถาคตโดยทันทีเหมือนกัน
ข้อนั้นเพราะเหตุไร  เพราะธรรมธาตุนั้นตถาคตแทงตลอดดีแล้ว
การตอบปัญหานั้นปรากฏแก่ตถาคตโดยทันที"
(ธรรมธาตุ  ในที่นี้หมายถึงสภาวธรรม  เป็นชื่อของพระสัพพัญญุตญาณ)

[ อภัยราชกุมารแสดงตนเป็นอุบาสก ]
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว  อภัยราชกุมารได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  พระภาษิตของพระองค์ชัดเจนไพเราะยิ่งนัก
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  พระภาษิตของพระองค์ชัดเจนไพเราะยิ่งนัก
พระผู้มีพระภาคทรงประกาศธรรมแจ่มแจ้งโดยประการต่าง ๆ
เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ  เปิดของที่ปิด  บอกทางแก่ผู้หลงทาง  หรือตามประทีปในที่มืดด้วยตั้งใจว่า  คนมีตาดีจักเห็นรูปได้
ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระผู้มีพระภาค  พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ
ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะ  ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนตลอดชีวิต"
ดังนี้แล


อภยราชกุมารสูตร  จบ


บทความที่เกี่ยวข้อง
๑. ความเห็นเรื่องโกหกสีขาว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

พยสนสูตร (อังคุตตรนิกาย > ปัญจกนิบาต > ตติยปัณณาสก์ > คิลานวรรค)

กาลียักขินีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > ยมกวรรค)

ปฏาจาราเถรีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > สหัสสวรรค)