โลสกชาดก (ขุททกนิกาย > ชาดก > เอกกนิบาต > อัตถกามวรรค)


โลสกชาดก  (ว่าด้วยคนโลเลต้องเศร้าโศก)

พระโพธิสัตว์เล่าเรื่องนายมิตตพินทุกะที่ไม่ทำตามคำสอนของผู้หวังความเจริญ  จึงได้รับทุกข์  แล้วได้กล่าวว่า
       "ผู้ใดที่คนอื่นผู้มีจิตเกื้อกูล  อ่อนโยน  กล่าวสอนอยู่
ไม่กระทำตามคำสอนของบุคคลผู้หวังความเจริญ
ผู้อนุเคราะห์ด้วยเหตุอันเป็นประโยชน์
ผู้นั้นย่อมเศร้าโศก  เหมือนมิตตพินทุกะจับขาแพะแล้วเศร้าโศกอยู่ฉะนั้น"

โลสกชาดก  จบ

อรรถกถา
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่  ณ  พระเชตวันมหาวิหาร  ทรงปรารภพระโลสกติสสเถระ  จึงได้ตรัสเรื่องนี้

ก็พระเถระผู้มีชื่อว่า  โลสกะ  นี้  คือใคร  มีประวัติเป็นมาอย่างไร
ท่านเป็นบุตรของชาวประมงคนหนึ่ง  ในแคว้นโกศล  เป็นผู้ทำลายตระกูลวงศ์ของตน  ไม่มีลาภ  มาบวชในหมู่ภิกษุ

ได้ยินมาว่า  ท่านจุติจากที่ที่ท่านเกิดแล้ว  ถือปฏิสนธิในท้องของหญิงชาวประมงนางหนึ่ง  ณ  หมู่บ้านชาวประมงตำบลหนึ่ง  ซึ่งอยู่ร่วมกันถึง ๑,๐๐๐ ครอบครัว  ในแคว้นโกศล

ในวันที่ท่านถือปฏิสนธิ  ชาวประมงทั้ง ๑,๐๐๐ ครอบครัวนั้นพากันถือข่ายเที่ยวหาปลาในลำน้ำและบ่อบึง  แต่ไม่ได้แม้แต่ปลาตัวเล็ก ๆ สักตัวหนึ่ง
และนับแต่วันนั้นมา  พวกชาวประมงเหล่านั้นก็พากันเสื่อมโทรมอย่างเดียว

เมื่ออยู่ในท้องมารดานั้นเล่า  บ้านชาวประมงเหล่านั้นก็ถูกไฟไหม้ถึง ๗ ครั้ง  ถูกพระราชาปรับสินไหม ๗ ครั้ง

โดยนัยนี้  ชาวประมงเหล่านั้นจึงถึงความลำบากโดยลำดับ
พวกเขาคิดกันว่า  "เมื่อก่อน  เรื่องทำนองนี้ไม่เคยมีแก่พวกเราเลย
แต่บัดนี้  พวกเราพากันย่ำแย่
ในระหว่างพวกเรา  ต้องมีตัวกาลกรรณีคนหนึ่งเป็นแน่
พวกเราจงแบ่งเป็น ๒ พวกเถิด"

ดังนี้แล้ว  แยกกันอยู่ฝ่ายละ ๕๐๐ ครอบครัว
เมื่อมารดาบิดาของเขาอยู่กลุ่มใด  กลุ่มนั้นก็แย่  อีกกลุ่มก็เจริญ

พวกที่แย่นั้น  ก็แยกกลุ่มกันอีก  โดยแยกกันออกเป็น ๒ กลุ่มอีก
แยกกันไปโดยทำนองนี้
จนกระทั่งตระกูลของเขานั่นแหละเหลือโดดเดี่ยวเพียงตระกูลเดียว

คนทั้งหลายจึงรู้ว่า  "คนเหล่านั้นเป็นกาลกรรณี"
ก็รุมกันโบยตีไล่ออกไป

ครั้งนั้น  มารดาบิดาของเขาเลี้ยงชีพมาโดยแร้นแค้น
พอท้องแก่  ก็คลอด  ณ  ที่แห่งหนึ่ง
ธรรมดาท่านผู้เป็นสัตว์เกิดมาในภพสุดท้าย  ใครไม่อาจทำลายได้
เพราะมีอุปนิสัยแห่งอรหัตผลรุ่งเรืองอยู่ในหทัยของท่านเหมือนดวงประทีปภายในหม้อฉะนั้น

มารดาเลี้ยงเขามาจนถึงในเวลาที่เขาวิ่งเที่ยวไปมาได้
ก็เอาชามกระเบื้องดินเผาใบหนึ่งใส่มือให้  พลางเสือกไสด้วยคำว่า
"ลูกเอ๋ย  เจ้าจงไปสู่เรือนหลังอื่นเถิด"
ดังนี้แล้ว  หลบหนีไป

จำเดิมแต่นั้นมา  เขาก็อยู่อย่างเดียวดาย
เที่ยวหากินไปตามประสา  หลับนอน  ณ  ที่แห่งหนึ่ง
ไม่ได้อาบน้ำ  ไม่ได้ปรนนิบัติร่างกาย  ดูเหมือนปีศาจคลุกฝุ่น
เลี้ยงชีวิตมาได้โดยลำเค็ญ

เขามีอายุครบ ๗ ขวบโดยลำดับ
เลือกเม็ดข้าวกินทีละเม็ดเหมือนกาในที่สำหรับเทน้ำล้างหม้อใกล้ประตูเรือนแห่งหนึ่ง

ครั้งนั้น  พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเที่ยวบิณฑบาตอยู่ในเมืองสาวัตถี
เห็นเขาแล้วรำพึงว่า  "เด็กคนนี้น่าสงสารนัก  เป็นชาวบ้านไหนหนอ"
แผ่เมตตาจิตไปในเขาเพิ่มยิ่งขึ้น  แล้วเรียกว่า  "มานี่เถิด  เด็กน้อย"

เขามาไหว้พระเถระแล้วยืนอยู่

ลำดับนั้น  พระเถระถามเขาว่า
"เจ้าเป็นชาวบ้านไหน  พ่อแม่ของเจ้าอยู่ที่ไหน"

เขาตอบว่า  "ท่านขอรับ  กระผมไร้ที่พึ่ง  พ่อแม่ของกระผมพูดว่า
เพราะกระผมทำให้ท่านต้องลำบาก  จึงทิ้งกระผมหนีไป"

พระเถระถามว่า  "เออ  ก็เจ้าจักบวชไหมละ"

เขาตอบว่า  "ท่านขอรับ  กระผมอยากบวชนัก  แต่คนกำพร้าอย่างกระผมใครจักบวชให้"

พระเถระกล่าวว่า  "เราจักบวชให้"

เขากล่าวว่า  "สาธุ  ท่านขอรับ  โปรดอนุเคราะห์ให้กระผมบวชเถิด"

พระเถระจึงให้ของเคี้ยวของบริโภคแก่เขา
แล้วพาไปวิหาร  อาบน้ำให้เอง  ให้บรรพชา
จนเมื่ออายุครบ  จึงให้อุปสมบท

ในตอนแก่  ท่านมีชื่อว่า  "โลสกติสสเถระ"
เป็นพระไม่มีบุญ  มีลาภน้อย
เล่ากันว่า  แม้ในคราวอสทิสทาน  ท่านก็ไม่เคยได้ฉันเต็มท้อง
ได้ขบฉันเพียงพอจะสืบต่อชีวิตไปได้เท่านั้น
เพราะเมื่อใครใส่บาตรท่านเพียงข้าวต้มกระบวยเดียว
บาตรก็ปรากฏเหมือนเต็มเสมอขอบแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนั้น  คนทั้งหลายก็สำคัญว่าบาตรของภิกษุรูปนี้เต็มแล้ว  เลยถวายองค์หลัง ๆ

บางอาจารย์กล่าวว่า
ในเวลาถวายยาคูในบาตรของท่าน  ข้าวยาคูในภาชนะของคนทั้งหลายก็หายไป  ดังนี้ก็มี

แม้ในปัจจัยอื่น  มีของควรเคี้ยวเป็นต้น  ก็มีนัยนี้เหมือนกัน

โดยสมัยต่อมา  ท่านเจริญวิปัสสนา
แม้จะดำรงในพระอรหัตอันเป็นผลชั้นยอด  ก็ยังคงมีลาภน้อย

ครั้นเมื่ออายุสังขารของท่านล่วงโรยทรุดโทรมลงโดยลำดับ
ก็ถึงวันเป็นที่ปรินิพพาน
ท่านพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรคำนึงอยู่  ก็รู้ถึงการปรินิพพานของท่าน
จึงดำริว่า  "วันนี้  พระโลสกติสสเถระนี้จักปรินิพพาน
ในวันนี้  เราควรให้อาหารแก่เธอจนพอ"

ดังนี้แล้ว  พาท่านเข้าไปเมืองสาวัตถี  เพื่อบิณฑบาต
แต่เพราะพาท่านไปด้วย
พระสารีบุตรเถระเลยไม่ได้แม้เพียงการยกมือไหว้ในเมืองสาวัตถีอันมีคนมากมาย

พระเถระจึงกล่าวกับพระโลสกติสสะว่า
"อาวุโส  เธอจงไปนั่งคอยอยู่ที่โรงฉันเถิด"
ดังนี้แล้ว  ส่งท่านกลับ

พอพระเถระมาจากที่นั้นเท่านั้น
พวกชาวเมืองก็พูดกันว่า  "พระผู้เป็นเจ้ามาแล้ว"
นิมนต์ให้นั่งเหนืออาสนะ  ให้ฉันภัตตาหาร

พระเถระก็ส่งอาหารที่ได้แล้วนั้นไป  โดยกล่าวกับคนเหล่านั้นว่า
"พวกเธอจงให้ภัตนี้แก่พระโลสกติสสเถระ"

คนที่รับภัตนั้นไปก็ลืมพระโลสกติสสเถระ  พากันกินเสียเองจนเรียบ

ในเวลาที่พระเถระเดินกลับไปถึงวิหาร
พระโลสกติสสเถระก็เข้าไปนมัสการพระเถระ
พระเถระถามว่า  "อาวุโส  คุณได้อาหารแล้วหรือ"

ท่านตอบว่า  "ไม่ได้ดอกครับ"

พระเถระถึงความสลดใจ  ดูเวลาแล้ว  กาลยังไม่ล่วงเลย
พระเถระจึงกล่าวว่า  "ช่างเถิดผู้มีอายุ  คุณจงนั่งอยู่ที่เดิมนั่นแหละ"

ครั้นให้พระโลสกติสสเถระนั่งรอในโรงฉันแล้ว
พระเถระก็ไปสู่พระราชวังของพระเจ้าโกศล

พระราชารับสั่งให้รับบาตรของพระเถระ  ทรงกำหนดว่ามิใช่กาลแห่งภัต
จึงรับสั่งให้ถวายของหวาน ๔ อย่างจนเต็มบาตร

พระเถระรับบาตรกลับไปถึงวิหาร  จึงเรียกพระโลสกติสสเถระว่า
"มาเถิด  ผู้มีอายุติสสะ  ฉันของหวาน ๔ อย่างนี้เถิด"
แล้วถือบาตรยืนอยู่

ท่านพระโลสกติสสเถระเกรงใจพระเถระ  จึงไม่ฉัน

ลำดับนั้น  พระเถระกล่าวกะท่านว่า
"มาเถิดน่า  ท่านผู้มีอายุติสสะ  ผมจะยืนถือบาตรไว้  คุณจงนั่งฉัน
ถ้าผมปล่อยบาตรจากมือ  บาตรจะไม่มีอะไร"

ลำดับนั้น  ท่านพระโลสกติสสเถระเมื่อพระธรรมเสนาบดีผู้เป็นอัครสาวกยืนถือบาตรไว้ให้  จึงนั่งฉันของหวาน ๔ อย่าง
ของหวาน ๔ อย่างนั้นไม่ถึงความหมดสิ้นด้วยกำลังแห่งฤทธิ์ของพระเถระ

พระโลสกติสสเถระฉันจนเต็มความต้องการในเวลานั้น
ในวันนั้นเอง  ท่านก็ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับในสำนักของท่าน
ทรงรับสั่งให้กระทำการปลงสรีระ  เก็บเอาธาตุทั้งหลายก่อพระเจดีย์บรรจุไว้

ในเวลานั้น  ภิกษุทั้งหลายประชุมกันในธรรมสภา  นั่งสนทนากันว่า
"ผู้มีอายุทั้งหลาย  น่าอัศจรรย์จริง  ท่านพระโลสกติสสเถระมีบุญน้อย  มีลาภน้อย
อันผู้มีบุญน้อย  มีลาภน้อยเห็นปานดังนี้  บรรลุอริยธรรมได้อย่างไร"

พระบรมศาสดาเสด็จไปธรรมสภา  มีพระดำรัสถามว่า
"ภิกษุทั้งหลาย  พวกเธอประชุมกันด้วยเรื่องอะไรเล่า"

เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว  จึงตรัสว่า
"ภิกษุทั้งหลาย
โลสกติสสะผู้นี้ได้ประกอบกรรมคือความเป็นผู้มีลาภน้อย  และความเป็นผู้ได้อริยธรรมของตน  ด้วยตนเอง
เนื่องด้วยครั้งก่อน  เธอกระทำอันตรายลาภของของผู้อื่น  จึงเป็นผู้มีลาภน้อย
แต่เธอเป็นผู้บรรลุอริยธรรมได้  ด้วยผลที่บำเพ็ญวิปัสสนา  คือ  อนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา"
ดังนี้แล้ว  ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้

ในอดีตกาล  ครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะ
ภิกษุรูปหนึ่งอาศัยกุฎุมพีผู้หนึ่งอยู่ในอาวาสประจำหมู่บ้าน  เป็นผู้เรียบร้อย  มีศีล  หมั่นบำเพ็ญวิปัสสนา

ครั้งนั้น  มีพระขีณาสพองค์หนึ่งอยู่ในป่าหิมพานต์  ได้มาถึงบ้านที่อยู่ของกุฎุมพีผู้อุปัฏฐากภิกษุนั้นโดยลำดับ

กุฎุมพีเลื่อมใสในอิริยาบถของพระเถระ  จึงรับบาตร  นิมนต์เข้าสู่เรือน  ให้ฉันภัตตาหารโดยเคารพ  สดับพระธรรมกถาเล็กน้อย  แล้วไหว้พระเถระ  กล่าวว่า
"ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ
นิมนต์พระคุณเจ้าไปสู่วิหารใกล้บ้านของกระผมก่อนเถิด
ต่อเวลาเย็น  พวกกระผมจึงจะไปเยี่ยม"

พระเถระจึงไปสู่วิหาร  นมัสการพระเถระเจ้าอาวาส  ทักถามกันแล้วนั่ง  ณ  ที่สมควร
ท่านเจ้าอาวาสก็ทำปฏิสันถารกับท่าน  แล้วถามว่า
"ผู้มีอายุ  คุณได้รับภัตตาหารแล้วหรือ"

ท่านตอบว่า  "ได้แล้วครับ"

"คุณได้ที่ไหน"

"ได้ที่เรือนกุฎุมพีใกล้ ๆ วิหารนี้แหละ"

ครั้นบอกอย่างนี้แล้ว  ก็ถามถึงเสนาสนะของตน  จัดแจงปัดกวาด  เก็บบาตรจีวรไว้เรียบร้อย
แล้วนั่งระงับยับยั้งอยู่ด้วยความสุขในฌาน  ด้วยความสุขในผลสมาบัติ

พอเวลาเย็น  กุฎุมพีก็ให้คนถือเอาพวงดอกไม้และน้ำมันเติมประทีปไปวิหาร  นมัสการพระเถระเจ้าอาวาส  แล้วถามว่า
"พระคุณเจ้าผู้เจริญ  มีพระเถระอาคันตุกะมาพักรูปหนึ่งมิใช่หรือ"

ท่านตอบว่า  "จ้ะ  มีมาพัก"

คหบดีถามว่า  "เดี๋ยวนี้ท่านพักอยู่ที่ไหนขอรับ"

ท่านตอบว่า  "ที่เสนาสนะหลังโน้น"

กุฎุมพีไปสู่สำนักของท่าน  นั่ง  ณ  ที่สมควร  ฟังธรรมกถาจนถึงค่ำ
แล้วจึงบูชาพระเจดีย์และต้นโพธิ์  จุดประทีปสว่างไสว
แล้วนิมนต์ภิกษุทั้งสองให้รับบาตรในวันรุ่งขึ้น  แล้วกลับไป

ฝ่ายพระเถระผู้เป็นเจ้าอาวาส  คิดว่า
"กุฎุมพีนี้ถูกพระอาคันตุกะยุให้แตกกับเราเสียแล้ว
ถ้าเธอจักอยู่ในวิหารนี้ไซร้  ที่ไหนกุฎุมพีจะนับถือเรา"
เกิดความไม่พอใจในพระเถระ  คิดว่า
"เราควรแสดงอาการไม่ให้เธอยู่ในวิหารนี้"
ดังนี้แล้ว  ในเวลาที่ท่านมาปรนนิบัติ  ก็ไม่พูดด้วย

พระเถระขีณาสพทราบอัธยาศัยของภิกษุผู้เป็นเจ้าอาวาสแล้ว
คำนึงว่า  "พระเถระนี้ไม่ได้ทราบถึงการที่เราไม่มีความห่วงใยในตระกูล  ในลาภ  หรือในหมู่"
แล้วกลับไปที่อยู่ของตน  ยับยั้งอยู่ด้วยความสุขในฌานและความสุขในผลสมาบัติ

ถึงวันรุ่งขึ้น  ท่านเจ้าอาวาสก็ตีระฆังด้วยหลังเล็บ  เคาะประตูด้วยเล็บ  แล้วไปสู่เรือนของกุฎุมพี

กุฎุมพีรับบาตร  นิมนต์ให้นั่งเหนืออาสนะที่ปูลาดไว้  แล้วถามว่า
"ข้าแต่ท่านผู้เจริญ  พระอาคันตุกะเถระไปไหนเสียเล่า"

ท่านเจ้าอาวาสตอบว่า  "ฉันไม่ทราบความประพฤติของพระผู้ใกล้ชิดสนิทสนมของคุณ
ฉันตีระฆัง  เคาะประตู  ก็ไม่อาจปลุกให้ตื่นได้
เมื่อวาน  ฉันโภชนะอันประณีตในเรือนของคุณแล้ว  คงอิ่มอยู่จนวันนี้
บัดนี้  ก็ยังนอนหลับอยู่นั่นเอง
เมื่อท่านจะเลื่อมใส  ก็เลื่อมใสในภิกษุผู้มีสภาพเห็นปานนี้ทีเดียว"

ฝ่ายพระเถระผู้ขีณาสพกำหนดเวลาภิกษาจารของตนแล้ว  ก็ชำระสรีระของตนแล้ว  ทรงบาตรจีวร  เหาะไปในอากาศ
แต่ได้ไปเสียในที่อื่น

กุฎุมพีนิมนต์พระเถระเจ้าอาวาสฉันข้าวปายาสที่ปรุงด้วยเนยใส  น้ำผึ้ง  น้ำตาลกรวดแล้ว  รมบาตรด้วยของหอม  ใส่ข้าวปายาสจนเต็ม  แล้วกล่าวว่า
"ข้าแต่ท่านผู้เจริญ  พระเถระนั้นเห็นจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า
พระคุณเจ้าจงนำข้าวปายาสนี้ไปให้ท่านด้วยเถิด"
แล้วถวายบาตรไป

พระเถระเจ้าอาวาสไม่ห้ามเสียทันที  คงรับบาตรมา  เดินไปคิดไปว่า
"ถ้าภิกษุนั้นได้ข้าวปายาสนี้ไซร้  ถึงเราจะจับคอฉุดให้ไป  ก็จักไม่ไป
ก็ถ้าเราจักให้ข้าวปายาสนี้แก่ผู้อื่น  การกระทำของเราก็จักรู้ไปทั่ว
หากเททิ้งลงในน้ำเล่า  เนยใสก็จักปรากฏเหนือน้ำได้
ถ้าทิ้งบนแผ่นดิน  ฝูงกาจักรุมกันกิน  การกระทำของเราก็จักรู้ไปทั่ว
เราควรทิ้งข้าวปายาสนี้ที่ไหนดีหนอ"

แล้วเห็นนากำลังไหม้อยู่แห่งหนึ่ง  จึงคุ้ยถ่านขึ้น  เทข้าวปายาสลงไป  กลบด้วยก้อนถ่าน  แล้วจึงไปวิหาร

ครั้นไม่เห็นภิกษุรูปนั้น  จึงคิดได้ว่า
"ชะรอยภิกษุนั้นจักเป็นพระขีณาสพ  รู้อัธยาศัยของเรา  แล้วจักไปเสียที่อื่นเป็นแน่
โอ  เพราะท้องเป็นเหตุเราทำกรรมไม่สมควรเลย"

ทันใดนั้นเอง  ความเสียใจอย่างใหญ่หลวงก็เกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้น
จำเดิมแต่วันนั้นไปทีเดียว  ท่านก็กลายเป็นมนุษย์เปรต
อยู่มาไม่นาน  ก็ตายไปเกิดในนรก

ภิกษุนั้นหมกไหม้อยู่ในนรกหลายแสนปี
เศษของผลกรรมยังนำให้ไปเกิดเป็นยักษ์ถึง ๕๐๐ ชาติ
ไม่เคยได้กินอาหารเต็มท้องสักวันเดียว
จนถึงวันจะตายจึงได้กินอิ่ม  คือได้กินรกคนเต็มท้องอยู่วันหนึ่ง

ถัดจากเกิดเป็นยักษ์  ก็ไปเกิดเป็นสุนัข ๕๐๐ ชาติ
แม้ในกาลที่เป็นสุนัขนั้น  ก็ได้กินอาเจียนเต็มท้องวันเดียวเท่านั้น
ส่วนในกาลที่เหลือไม่เคยได้กินเต็มท้องเลยตลอดเวลาที่เป็นสุนัข ๕๐๐ ชาติ

จุติจากเกิดเป็นสุนัข  ก็มาเกิดในตระกูลคนเข็ญใจตระกูลหนึ่งในแคว้นกาสี
ตั้งแต่วันที่เขาเกิด  ตระกูลนั้นก็ยิ่งยากจนหนักลงไปทีเดียว
แม้แต่น้ำและปลายข้าวครึ่งท้องก็ไม่เคยได้
เขาได้มีนามว่า  มิตตพินทุกะ

พ่อแม่ของเขาไม่สามารถจะทนทุกข์อันเกิดแต่ความอดอยากได้
ก็พูดว่า  "ไปเถิด  ไอ้ลูกกาลกรรณี"
แล้วไล่ตีเขาให้ออกไป

มิตตพินทุกะไม่มีที่พำนัก  ท่องเที่ยวไปจนถึงเมืองพาราณสี

ครั้งนั้น  พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์  สอนศิลปะแก่มาณพ ๕๐๐ คน
ในเวลานั้น  ชาวเมืองพาราณสีให้ทุนแก่คนเข็ญใจให้ศึกษาศิลปะ
แม้เด็กมิตตพินทุกะนี้ก็ได้ศึกษาศิลปะในสำนักของพระโพธิสัตว์

แต่มิตตพินทุกะเป็นเด็กหยาบคาย  ไม่อยู่ในโอวาท  เที่ยวชกต่อย  เกะกะไป
แม้พระโพธิสัตว์จะสั่งสอนก็ไม่เชื่อฟังโอวาท
อาศัยเหตุนั้น  ความเจริญเติบโตของเขาจึงเป็นความโง่เขลา

ครั้งหนึ่ง  เขาเกิดทะเลาะกับพวกเด็ก ๆ  ทั้งไม่เชื่อฟังคำสอน  จึงหนีเที่ยวไปถึงบ้านชายแดนตำบลหนึ่ง  รับจ้างเขาเลี้ยงชีวิต

เขาได้เสียกับหญิงเข็ญใจคนหนึ่งในหมู่บ้านนั้น
นางเกิดบุตรกับเขา ๒ คน

พวกชาวบ้านได้มอบงานส่งข่าวให้ทำว่า  "เจ้าพึงบอกข่าวดี  ข่าวร้ายแก่พวกเรา"
แล้วให้ค่าจ้างและปลูกกระท่อมให้อยู่ที่ประตูหมู่บ้าน

แต่เพราะอาศัยมิตตพินทุกะนั้นเป็นต้นเหตุ
พวกชาวบ้านชายแดนนั้นถูกราชทัณฑ์ ๗ ครั้ง  ไฟไหม้บ้าน ๗ ครั้ง  บ่อน้ำพัง ๗ ครั้ง

พวกชาวบ้านจึงปรึกษากันว่า
"แต่ก่อน  เมื่อมิตตพินทุกะผู้นี้ยังไม่มา  พวกเราไม่เคยมีเรื่องอย่างนี้เลย
บัดนี้  นับแต่มิตตพินทุกะมาอยู่แล้ว  พวกเราแย่ลงไปตาม ๆ กัน"
จึงช่วยกันรุมตี  ขับเขาออกไป

เขาก็พาลูก ๒ คนและเมียไปที่อื่น  ผ่านเข้าไปสู่ดงที่อมนุษย์ยึดครองแห่งหนึ่ง
พวกอมนุษย์รุมกันจับลูกและเมียของเขาฆ่ากินเนื้อเสียในดงนั้นเอง
ตัวเขาเองหนีรอดไปได้  ท่องเที่ยวไปเรื่อย ๆ

ลุถึงท่าเรือแห่งหนึ่ง  ชื่อคัมภีระ
ประจวบเป็นวันที่เขาจะปล่อยเรือทีเดียว  ก็สมัครเป็นกรรมกรลงเรือไป

เรือแล่นไปในสมุทรได้ ๗ วัน
ถึงวันที่ ๗  เรือก็หยุดชะงักอยู่กลางทะเลเหมือนใครมาฉุดดึงไว้
ชาวเรือเหล่านั้นก็จับสลากกาลกรรณีกัน

สลากกาลกรรณีตกถึงมิตตพินทุกะคนเดียวถึง ๗ ครั้ง
พวกชาวเรือจึงโยนลูกบวบไม้ไผ่ให้เขาแพหนึ่ง
แล้วช่วยกันจับมือมิตตพินทุกะโยนลงทะเลเสีย
พอโยนมิตตพินทุกะลงทะเลแล้ว  เรือก็แล่นต่อไปได้

มิตตพินทุกะนอนเหนือแพไม้ไผ่ลอยไปในทะเล
ด้วยผลที่ได้รักษาศีลไว้ในศาสนาของพระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า
จึงได้พบเทพธิดา ๔ นางอันอยู่ในวิมานแก้วผลึกหลังหนึ่งในทะเล
เสวยสุขสำราญอยู่ในสำนักเทพธิดาเหล่านั้นตลอด ๗ วัน

ก็นางเหล่านั้นเป็นเปรตประเภทที่มีวิมานอยู่ (เวมานิกเปรต)
เสวยสุขได้ ๗ วัน  เสวยทุกข์ ๗ วัน  หมุนเวียนไป
เมื่อนางจะไปเสวยทุกข์ ๗ วัน  ก็สั่งมิตตพินทุกะไว้ว่า
"ท่านจงอยู่ที่นี้อย่าไปไหน  จนกว่าพวกฉันจะมา"
แล้วก็พากันไป

ครั้นนางพากันไปแล้ว  มิตตพินทุกะก็ลงนอนในแพไม้ไผ่ลอยต่อไปข้างหน้า
ได้เทพธิดา ๘ นางในวิมานเงิน
เทพธิดาเหล่านั้นก็เป็นเปรตมีวิมานเช่นเดียวกัน
มิตตพินทุกะลอยต่อไป

ได้เทพธิดา ๑๖ นางในวิมานแก้วมณี
แล้วก็ลอยต่อไป

ได้เทพธิดา ๓๒ นางในวิมานทอง
เขามิได้ฟังคำของเทพธิดาเช่นเดียวกัน  จึงลอยต่อไปข้างหน้า

ครั้งนั้น  เขาได้พบเมืองยักษ์เมืองหนึ่งอยู่ในระหว่างเกาะ
ในเมืองนั้น  มียักษินีตนหนึ่งแปลงกายเป็นแม่แพะเที่ยวอยู่
มิตตพินทุกะไม่ทราบว่าแม่แพะนั้นเป็นยักษินี
คิดแต่ว่า  "เราจักกินเนื้อแพะ"
จึงโดดจับมันที่เท้า

นางยักษ์ก็ยกมิตตพินทุกะขึ้น  สลัดไปด้วยอานุภาพของยักษ์
มิตตพินทุกะถูกนางยักษ์สลัดข้ามทะเลไป
ตกที่พุ่มไม้หนามพุ่มหนึ่งข้างคูเมืองพาราณสี  แล้วก็กลิ้งตกลงไปที่แผ่นดิน

ก็ในครั้งนั้น  แม่แพะของพระราชาหลายตัวเที่ยวหากินอยู่เหนือคันคูนั้น  ถูกพวกโจรลักไป
พวกคนเลี้ยงคิดกันว่า  "พวกเราต้องจับโจรให้ได้"
พากันซุ่มอยู่  ณ  ที่แห่งหนึ่ง

มิตตพินทุกะกลิ้งตกลงมา  เมื่อยืนอยู่ที่พื้นดินได้แล้ว
เห็นแม่แพะเหล่านั้น  ก็คิดว่า
"เราจับแม่แพะตัวหนึ่งในเกาะแห่งหนึ่งกลางทะเล
ถูกมันดีดกระเด็นมาตกที่นี้
คราวนี้  ถ้าเราจับแม่แพะตัวหนึ่งที่เท้า
มันคงดีดเรากระเด็นกลับไปถึงสำนักเทพธิดาผู้มีวิมานอยู่ในทะเลดังก่อน"

เขาเข้าใจเอาเองอย่างนี้  โดยไม่ไตร่ตรองให้แยบคาย
ดังนี้แล้ว  ก็โดดจับแม่แพะตัวหนึ่งที่เท้า

พอแม่แพะถูกเขาจับเท้าเท่านั้น  ก็ร้องเอ็ดอึง
พวกคนเลี้ยงแพะก็พากันกรูเข้ามาโดยรอบ
ต่างร้องว่า  "คอยมานานแล้ว  ไอ้ขโมยกินแม่แพะในราชสกุลนี้  แกนี่เอง"
ดังนี้แล้วรุมซ้อม  แล้วจับมัดพาไปสู่พระราชวัง

ในขณะนั้น  พระโพธิสัตว์แวดล้อมไปด้วยมาณพ ๕๐๐ คนออกจากเมืองไปอาบน้ำ
เห็นมิตตพินทุกะก็จำได้  จึงพูดกะคนเหล่านั้นว่า
"พ่อคุณทั้งหลาย  คนผู้นี้เป็นลูกศิษย์ของเรา  พวกท่านจับเขาเพราะเหตุไร"

คนเหล่านั้นตอบว่า  "พระคุณท่านขอรับ  เขาเป็นคนร้าย  ขโมยแม่แพะของหลวง  จับแม่แพะตัวหนึ่งที่เท้า
เหตุนั้น  พวกผมจึงจับเขา"

พระโพธิสัตว์ขอร้องว่า  "ถ้าเช่นนั้น  จงให้เขาเป็นทาสของพวกเราเถิด  เขาจักได้อาศัยพวกเราเลี้ยงชีวิตไป"

คนเหล่านั้นรับคำว่า  "ดีแล้วขอรับ  พระคุณท่าน"
พลางปล่อยเขา  แล้วก็พากันไป

ลำดับนั้น  พระโพธิสัตว์จึงไต่ถามมิตตพินทุกะว่า
"ตลอดเวลาที่หายหน้าไปนั้น  เจ้าไปอยู่ที่ไหนเล่า"

มิตตพินทุกะก็เล่าเรื่องที่ตนกระทำทั้งหมดให้ฟัง

พระโพธิสัตว์จึงกล่าวว่า
"คนที่ไม่กระทําตามถ้อยคำของผู้ที่หวังดี  ย่อมได้ทุกข์อย่างนี้"

แล้วกล่าวคาถานี้  ความว่า
       "ผู้ใดที่คนอื่นผู้มีจิตเกื้อกูล  อ่อนโยน  กล่าวสอนอยู่
ไม่กระทำตามคำสอนของบุคคลผู้หวังความเจริญ
ผู้อนุเคราะห์ด้วยเหตุอันเป็นประโยชน์
ผู้นั้นย่อมเศร้าโศก  เหมือนมิตตพินทุกะจับขาแพะแล้วเศร้าโศกอยู่ฉะนั้น"


พระเถระนั้นเคยได้อาหารเต็มท้องในอัตภาพทั้ง ๓ อย่างนี้  คือ
ครั้งเป็นยักษ์  ได้กินรกอิ่มวันหนึ่ง
ครั้งเป็นสุนัข  ได้กินอาเจียนอิ่มวันหนึ่ง
ครั้งสุดท้าย  ในวันปรินิพพาน  ได้ฉันของหวาน ๔ อย่างอิ่มด้วยอานุภาพของพระธรรมเสนาบดี

ขึ้นชื่อว่า  การกระทำอันตรายแก่ลาภของผู้อื่น
พึงทราบว่ามีโทษใหญ่หลวงอย่างนี้

ก็พระโพธิสัตว์ผู้เป็นอาจารย์และมิตตพินทุกะในครั้งนั้นก็ไปตามกรรม

พระบรมศาสดาตรัสว่า
"ภิกษุทั้งหลาย
พระโลสกติสสเถระนั้นได้กระทำความเป็นคนมีลาภน้อย
และความเป็นผู้ได้อริยธรรมให้แก่ตน  ด้วยตนเอง  อย่างนี้แล"

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาตรัสจบลงแล้ว  ทรงประชุมชาดกว่า
"ภิกษุทั้งหลาย
มิตตพินทุกะในกาลนั้น  ได้มาเป็นพระโลสกติสสเถระในกาลนี้
อาจารย์ทิศาปาโมกข์ในกาลนั้น  ได้มาเป็นเราตถาคต  ฉะนี้แล"

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

พยสนสูตร (อังคุตตรนิกาย > ปัญจกนิบาต > ตติยปัณณาสก์ > คิลานวรรค)

กาลียักขินีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > ยมกวรรค)

ปฏาจาราเถรีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > สหัสสวรรค)