อนาถปิณฑิกปุตตกาลวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > โลกวรรค)


อนาถปิณฑิกปุตตกาลวัตถุ  (เรื่องนายกาละบุตรของอนาถบิณฑิกเศรษฐี)

พระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถานี้แก่อนาถบิณฑิกเศรษฐี  ดังนี้ว่า
       "โสดาปัตติผล
ประเสริฐกว่าความเป็นเอกราชในแผ่นดิน
กว่าการไปสู่สวรรค์
หรือกว่าความเป็นใหญ่ในโลกทั้งปวง"

อนาถปิณฑิกปุตตกาลวัตถุ  จบ


อรรถกถา
สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่  ณ  พระเชตวัน  อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี  เขตกรุงสาวัตถี
ทรงปรารภบุตรของท่านอนาถบิณฑิกะ  ชื่อว่า  กาละ  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า


บิดาจ้างบุตรให้ฟังธรรม ]
ได้ยินว่า
นายกาละนั้นเป็นบุตรเศรษฐีผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยศรัทธาเช่นนั้น
แต่ไม่ปรารถนาจะไปสู่สำนักของพระศาสดาเลย  ไม่ปรารถนาจะฟังธรรม  ไม่ปรารถนาจะทำการขวนขวายแก่สงฆ์
แม้ถูกบิดาพูดว่า  "ลูกเอ๋ย  เจ้าอย่าทำอย่างนี้"
ก็ไม่ฟังคำของท่าน

ลำดับนั้น  บิดาของเขาคิดว่า
"เจ้ากาละนี้  เมื่อถือทิฏฐิเห็นปานนี้เที่ยวไป  จักเป็นผู้มีอเวจีเป็นที่ไปในเบื้องหน้า
ก็เมื่อเรายังเห็นอยู่  ถ้าบุตรของเราพึงไปสู่นรก  ข้อนั้นไม่สมควรแก่เราเลย
ขึ้นชื่อว่าสัตว์ผู้ไม่เพ่งเล็งเพราะการให้ทรัพย์  ไม่มีในโลกนี้เลย
เราจักทำลายทิฏฐิของบุตรนั้นด้วยทรัพย์"

ลำดับนั้น  เศรษฐีพูดกะนายกาละนั้นว่า
"ลูกเอ๋ย  เจ้าจงเป็นผู้รักษาอุโบสถศีล  ไปสู่วิหารฟังธรรมแล้วมาเถิด
พ่อจักให้ ๑๐๐ กหาปณะแก่เจ้า"

กาละ  "จักให้จริงหรือ  พ่อ"

เศรษฐี  "ให้จริง  ลูก"

นายกาละนั้นรับปฏิญญา ๓ ครั้งแล้ว  เป็นผู้รักษาอุโบสถ  ได้ไปสู่วิหารแล้ว
แต่กิจด้วยการฟังธรรมของเขาไม่มี
เขานอนในที่ตามความสำราญแล้ว  ได้ไปบ้านแต่เช้าตรู่

ลำดับนั้น  บิดาของเขาพูดว่า
"บุตรของเราได้เป็นผู้รักษาอุโบสถกลับมาแล้ว  ท่านทั้งหลายจงนำข้าวต้มเป็นต้นมาแก่เขาเร็ว"
ดังนี้แล้ว  ก็สั่งคนใช้ให้ไปนำข้าวต้มมา

นายกาละนั้นห้ามอาหารเสีย  พูดว่า
"เรายังมิได้รับกหาปณะ  จักไม่บริโภค"

ลำดับนั้น  บิดาของเขาเมื่ออดทนการรบกวนไม่ได้  จึงให้ห่อกหาปณะแล้ว
นายกาละนั้นเมื่อรับกหาปณะนั้นไว้ด้วยมือแล้ว  จึงบริโภคอาหาร

ต่อมาในวันรุ่งขึ้น  เศรษฐีพูดกับเขาว่า
"เราจักให้ ๑,๐๐๐ กหาปณะแก่เจ้า
ถ้าเจ้ายืนตรงพระพักตร์ของพระศาสดา  เรียนเอาบทแห่งธรรมให้ได้บทหนึ่งแล้วพึงมา"

เขาไปวิหาร  ยืนอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระศาสดา
คิดจะเรียนเอาบทแห่งธรรมบทเดียวเท่านั้นแล้วจะกลับ

ลำดับนั้น  พระศาสดาได้ทรงทำอาการคือการกำหนดไม่ได้แก่เขา

เขากำหนดบทนั้นไม่ได้เเล้ว  จึงได้ยืนฟังต่อไป  ด้วยคิดว่า
"เราจักเรียนบทต่อไป"

นัยว่า  ชนทั้งหลายเมื่อฟังอยู่ด้วยคิดว่า  "เราจักเรียนให้ได้"  ชื่อว่าฟังโดยเคารพ

ก็ธรรมดา  เมื่อชนทั้งหลายฟังอยู่อย่างนี้  ธรรมย่อมให้โสดาปัตติมรรคเป็นต้น
ถึงนายกาละนั้นก็ฟังอยู่ด้วยคิดว่า  "จักเรียนให้ได้"

แม้พระศาสดาก็ทรงทำอาการคือการกำหนดไม่ได้แก่เขา
เขากำลังยืนฟังอยู่เทียว  ด้วยคิดว่า  "จักเรียนต่อไป"
จึงตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว


[ บรรลุโสดาปัตติผลแล้วรับค่าจ้าง ]
ในวันรุ่งขึ้น  นายกาละนั้นไปสู่กรุงสาวัตถีพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข

เศรษฐีพอเห็นอาการของเขา  ก็คิดว่า  "วันนี้  เราชอบใจอาการของบุตร"

นายกาละมีความปริวิตกดังนี้ว่า
"โอหนอ  วันนี้  ขอให้บิดาของเราอย่าให้กหาปณะในที่ใกล้พระศาสดา
พึงปกปิดความที่เราเป็นผู้รักษาอุโบสถเพราะเหตุแห่งกหาปณะไว้"

แต่ถึงกระนั้น  พระศาสดาก็ทรงทราบความที่นายกาละเป็นผู้รักษาอุโบสถเพราะเหตุแห่งกหาปณะแล้วในวันวาน

มหาเศรษฐีให้ถวายข้าวต้มแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขแล้ว  จึงสั่งให้ข้าวต้มแม้แก่บุตรด้วย
นายกาละนั้นเป็นผู้นั่งนิ่งดื่มข้าวต้ม  เคี้ยวของควรเคี้ยว  บริโภคภัต  ด้วยความสำรวม

ในเวลาเสร็จภัตกิจของพระศาสดา
มหาเศรษฐีให้บุคคลวางห่อกหาปณะพันหนึ่งไว้ตรงหน้าบุตรแล้วพูดว่า
"ลูกเอ๋ย  พ่อพูดว่า  'จักให้ ๑,๐๐๐ กหาปณะแก่เจ้า'
จึงให้เจ้าสมาทานอุโบสถ  ไปฟังธรรมที่วิหาร
นี้คือเงิน ๑,๐๐๐ กหาปณะของเจ้า"

นายกาละนั้นเห็นกหาปณะที่บิดาให้เฉพาะพระพักตร์ของพระศาสดา  เกิดความละอาย  จึงพูดว่า
"ผมไม่ต้องการด้วยกหาปณะทั้งหลาย"
แม้ถูกบิดาพูดว่า  "จงรับเถิด"
ก็ไม่รับแล้ว


[ โสดาปัตติผลเลิศกว่าสมบัติทุกอย่าง ]
ลำดับนั้น  บิดาของเขาถวายบังคมพระศาสดาแล้วกราบทูลว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  วันนี้  ข้าพระองค์ชอบใจอาการของบุตร"

พระศาสดาตรัสถามว่า  "เรื่องอะไร  มหาเศรษฐี"

เศรษฐีจึงกราบทูลว่า  "ในวันก่อน
บุตรของข้าพระองค์นี้อันข้าพระองค์พูดว่า  'เราจักให้ ๑๐๐ กหาปณะแก่เจ้า'  แล้วส่งไปวิหาร
ในวันรุ่งขึ้น  ยังไม่ได้รับกหาปณะแล้วไม่ปรารถนาจะบริโภค
แต่วันนี้  เขาไม่ปรารถนากหาปณะแม้ที่ข้าพระองค์ให้"

พระศาสดาตรัสว่า  "อย่างนั้น  มหาเศรษฐี
วันนี้  โสดาปัตติผลนั่นแลของบุตรของท่าน
ประเสริฐแม้กว่าสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ
แม้กว่าสมบัติในเทวโลก  และพรหมโลก"

ดังนี้แล้ว  จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
       "โสดาปัตติผล
ประเสริฐกว่าความเป็นเอกราชในแผ่นดิน
กว่าการไปสู่สวรรค์
หรือกว่าความเป็นใหญ่ในโลกทั้งปวง"

ในกาลจบพระธรรมเทศนา  ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลายมีโสดาปัตติผลเป็นต้น  ดังนี้แล

บทความที่เกี่ยวข้อง
๑. เศรษฐีสอนลูก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

พยสนสูตร (อังคุตตรนิกาย > ปัญจกนิบาต > ตติยปัณณาสก์ > คิลานวรรค)

กาลียักขินีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > ยมกวรรค)

ปฏาจาราเถรีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > สหัสสวรรค)