สีลวนาคชาดก (ขุททกนิกาย > ชาดก > เอกกนิบาต > วรุณวรรค)


สีลวนาคชาดก  (ว่าด้วยพญาช้างสีลวะ)

รุกขเทวดาสถิตอยู่ในไพรสณฑ์นั้นในเวลาที่คนชั่วถูกแผ่นดินสูบ  กล่าวว่า
       "คนอกตัญญู  คอยจับผิดอยู่เป็นนิตย์
ถึงจะให้แผ่นดินทั้งหมด  ก็ทำให้เขาพึงพอใจไม่ได้"

สีลวนาคชาดก  จบ

อรรถกถา
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่  ณ  พระเวฬุวันมหาวิหาร  ทรงปรารภพระเทวทัต  จึงได้ตรัสเรื่องนี้

ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันในโรงธรรมว่า
"อาวุโสทั้งหลาย  พระเทวทัตเป็นคนอกตัญญู  ไม่รู้คุณของพระตถาคต"

พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า
"ภิกษุทั้งหลาย  พวกเธอประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร"

เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว  ตรัสว่า
"ภิกษุทั้งหลาย  มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่พระเทวทัตเป็นคนอกตัญญู
แม้ในครั้งก่อน  ก็เคยเป็นผู้อกตัญญูมาแล้ว
เทวทัตไม่เคยรู้คุณของเรา  ไม่ว่าในกาลไหน ๆ"

แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาตรัสเล่า  ดังต่อไปนี้

ในอดีตกาล
ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี

พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดช้าง  ในหิมวันตประเทศ
พอคลอดจากครรภ์มารดา  ก็มีอวัยวะขาวปลอด  มีสีเปล่งปลั่งดังเงินยวง
นัยน์ตาทั้งคู่ของพระยาช้างนั้นปรากฏเหมือนกับแก้วมณี  มีประสาทครบ ๕ ส่วน
ปากเช่นกับผ้ากัมพลแดง
งวงเช่นกับพวงเงินที่ประดับระยับด้วยทอง
เท้าทั้ง ๔ เป็นเหมือนย้อมด้วยน้ำครั่ง
อัตภาพอันบารมีทั้ง ๑๐ ตกแต่งของพระโพธิสัตว์นั้นถึงความงามเลิศด้วยรูปอย่างนี้

ครั้งนั้น  ฝูงช้างในป่าหิมพานต์ทั้งสิ้นมาประชุมกัน  แล้วพากันบำรุงพระโพธิสัตว์ผู้ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว
พระโพธิสัตว์จึงมีช้างแปดหมื่นเป็นบริวาร  อยู่อาศัยในหิมวันตประเทศด้วยประการฉะนี้

ภายหลัง  เห็นโทษในหมู่คณะ  จึงหลีกออกจากหมู่  สู่ที่สงบสงัดกาย
พำนักอาศัยอยู่ในป่าแต่ลำพังผู้เดียวเท่านั้น

และเพราะเหตุที่ช้างผู้พระโพธิสัตว์นั้นเป็นสัตว์มีศีล
จึงได้นามว่า  "สีลวนาคราช"  พญาช้างผู้มีศีล

ครั้งนั้น  พรานป่าชาวเมืองพาราณสีผู้หนึ่ง  เข้าสู่ป่าหิมพานต์เพื่อเสาะแสวงหาสิ่งของอันเป็นเครื่องยังชีพของตน
ไม่อาจกำหนดทิศทางได้  หลงทางแล้ว  เป็นผู้กลัวมรณภัย  ยกแขนทั้งคู่ร่ำร้องคร่ำครวญไป

พระโพธิสัตว์ได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญของพรานผู้นั้นแล้ว
อันความกรุณาเข้ามาตักเตือนว่า  "เราจักช่วยบุรุษผู้นี้ให้พ้นจากทุกข์"
ก็เดินไปหาเขาใกล้ ๆ

เขาเห็นพระโพธิสัตว์แล้ว  จึงวิ่งหนี
พระโพธิสัตว์เห็นเขาวิ่งหนี  ก็หยุดยืนอยู่ตรงนั้น
บุรุษนั้นเห็นพระโพธิสัตว์หยุด  จึงหยุดยืน
พระโพธิสัตว์ก็เดินใกล้เข้าไปอีก  เขาก็วิ่งหนีอีก

เวลาพระโพธิสัตว์หยุด  เขาก็หยุด  แล้วดำริว่า
"ช้างนี้เวลาเราหนีก็หยุดยืน  เดินมาหาเวลาที่เราหยุด
เห็นทีจะไม่มุ่งร้ายเรา  แต่คงปรารถนาจะช่วยเราให้พ้นจากทุกข์เป็นแน่"
เขาจึงกล้ายืนอยู่

พระโพธิสัตว์เข้าไปใกล้เขา  ถามว่า
"ท่านผู้เจริญ  เหตุไรท่านจึงเที่ยวร่ำร้องคร่ำครวญไป"

เขาตอบว่า  "ท่านช้างผู้จ่าโขลง  ข้าพเจ้ากำหนดทิศทางไม่ถูก  หลงทาง  จึงเที่ยวร่ำร้องไปเพราะกลัวตาย"

ครั้งนั้น  พระโพธิสัตว์จึงพาเขาไปยังที่อยู่ของตน
เลี้ยงดูจนอิ่มหนำด้วยผลาผล ๒ - ๓ วัน  แล้วกล่าวว่า
"อย่ากลัวเลย  ข้าพเจ้าจักพาท่านไปสู่ถิ่นมนุษย์"
แล้วให้นั่งหลังตน  พาไปส่งถึงถิ่นมนุษย์

ครั้งนั้นแล  พรานป่าเป็นคนมีสันดานทำลายมิตร
จึงคิดมาตลอดทางว่า  "ถ้ามีใครถาม  ต้องบอกได้"
ดังนี้  นั่งมาบนหลังพระโพธิสัตว์  วางแผน  กำหนดที่หมายต้นไม้  ที่หมายภูเขาไว้ถ้วนถี่ทีเดียว

ครั้นพระโพธิสัตว์พาเขาออกไปจนพ้นป่าแล้ว  หยุดที่ทางใหญ่อันเป็นทางเดินไปสู่พระนครพาราณสี  สั่งว่า
"ท่านผู้เจริญ  ท่านจงไปทางนี้เถิด
แต่ถ้ามีใครถามถึงที่อยู่ของเรา  ท่านอย่าบอกนะ"
แล้วก็กลับไปสู่ที่อยู่ของตน

บุรุษนั้นไปถึงพระนครพาราณสีแล้ว  ก็ไปถึงถนนช่างสลักงา
เห็นพวกช่างสลักงากำลังทำเครื่องงาหลายชนิด  จึงถามว่า
"ท่านผู้เจริญทั้งหลาย  ถ้าได้งาช้างที่ยังเป็น ๆ  ท่านทั้งหลายจะซื้อหรือไม่"

พวกช่างสลักงาตอบว่า  "ท่านผู้เจริญ  ท่านพูดอะไร
ธรรมดางาช้างเป็นมีค่ามากกว่างาช้างที่ตายแล้วหลายเท่า"

เขากล่าวว่า  "ถ้าเช่นนั้น  ข้าพเจ้าจักนำงาช้างเป็นมาให้พวกท่าน"
แล้วจัดเสบียง  ถือเลื่อยอันคม  ไปสู่ที่อยู่ของพระโพธิสัตว์

พระโพธิสัตว์เห็นเขามาจึงถามว่า  "ท่านมาเพื่อประสงค์อะไร"

เขาตอบว่า  "ท่านผู้เป็นจ่าโขลง  ข้าพเจ้าเป็นคนยากจน  กำพร้า  ไม่อาจดำรงชีวิตอยู่ได้
มาขอตัดงาท่าน  ถ้าท่านให้  ก็จะถืองานั้นไปขาย  เลี้ยงชีวิตด้วยทุนทรัพย์นั้น"

พระโพธิสัตว์กล่าวว่า  "เอาเถิดพ่อคุณ  เราจะให้งาท่านถ้ามีเลื่อยสำหรับตัดงา"

เขากล่าวว่า  "ท่านผู้เป็นจ่าโขลง  ข้าพเจ้าเตรียมเลื่อยมาแล้ว"

พระโพธิสัตว์กล่าวว่า  "ถ้าเช่นนั้น  ท่านจงเอาเลื่อยตัดงาเถิด"
แล้วคุกเท้าหมอบลงเหมือนโคหมอบ

เขาก็ตัดปลายงาทั้งคู่ของพระโพธิสัตว์

พระโพธิสัตว์จับงาเหล่านั้นด้วยงวง  พลางตั้งปณิธานเพื่อพระสัพพัญญุตญาณว่า
"บุรุษผู้เจริญ
ใช่ว่าเราจะให้งาคู่นี้ด้วยคิดว่างาเหล่านี้ไม่เป็นที่รัก  ไม่เป็นที่ชอบใจของเรา  ก็หามิได้
แต่ว่าพระสัพพัญญุตญาณอันสามารถจะตรัสรู้ธรรมทั้งปวง
เป็นที่รักของเรายิ่งกว่างาเหล่านี้ตั้งร้อยเท่า  พันเท่า  แสนเท่า
การให้งาเป็นทานของเรานี้  จงเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่การตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณเถิด"
แล้วสละงาทั้งคู่ให้ไป

เขาถืองานั้นไปขาย
ครั้นสิ้นทุนทรัพย์นั้น  ก็ไปหาพระโพธิสัตว์อีก  กล่าวว่า
"ท่านผู้เป็นจ่าโขลง  ทุนทรัพย์ที่ได้เพราะขายงาของท่าน  เพียงพอแค่ชำระหนี้ของข้าพเจ้าเท่านั้น
โปรดให้งาส่วนที่เหลือแก่ข้าพเจ้าเถิด"

พระโพธิสัตว์ก็รับคำ  แล้วยอมให้เขาตัด
ยกงาส่วนที่เหลือให้โดยนัยเดียวกับครั้งก่อน (เพื่อพระสัพพัญญุตญาณ)

เขาขายงาเหล่านั้นแล้ว  ก็ยังย้อนมาอีก  กล่าวว่า
"ท่านผู้เป็นจ่าโขลง  ข้าพเจ้าไม่สามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้
โปรดให้โคนงาแก่ข้าพเจ้าเถิด"

พระโพธิสัตว์รับคำ  แล้วก็หมอบลงโดยนัยก่อน

คนใจบาปนั้นก็เหยียบงวงอันเปรียบเหมือนพวงเงินของพระโพธิสัตว์
ก้าวขึ้นสู่กระพองอันเปรียบได้กับยอดเขาไกรลาส
เอาส้นกระทืบปลายงาทั้งสอง  ฉีกเนื้อตรงสนับงาลงมาจากกระพอง
เอาเลื่อยตัดโคนงา  แล้วก็จากไป

ในขณะที่คนใจบาปนั้นเดินพ้นไปจากสายตาของพระโพธิสัตว์เท่านั้น
แผ่นดินอันทึบหนาได้สองแสนสี่หมื่นโยชน์  ถึงจะสามารถทรงไว้ซึ่งของหนักแสนหนัก  มีขุนเขาสิเนรุและยุคนธรเป็นต้น
และถึงจะทรงไว้ซึ่งสิ่งที่น่าเกลียดมีกลิ่นเหม็น  มีอุจจาระและปัสสาวะเป็นต้น
ก็ไม่สามารถจะทานไว้ได้ซึ่งกองแห่งโทษอันมิใช่คุณของบุรุษนั้น  จึงแยกให้ช่อง

ทันใดนั้นเอง  เปลวไฟแลบออกจากมหานรกอเวจี  ห่อหุ้มคลุมนายพรานผู้นั้น
บัดนี้  เขาถูกธรณีสูบแล้ว

รุกขเทวดาผู้สิงสถิตอยู่ที่ราวป่านั้นเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด  จึงกล่าวว่า
"คนอกตัญญู  คอยจับผิดอยู่เป็นนิตย์
ถึงจะให้แผ่นดินทั้งหมด  ก็ทำให้เขาพึงพอใจไม่ได้"

เทวดานั้นแสดงธรรมสนั่นไปทั่วป่าด้วยประการฉะนี้

พระโพธิสัตว์ดำรงอยู่ตราบสิ้นอายุขัย  แล้วไปตามยถากรรม

พระศาสดาตรัสว่า
"ภิกษุทั้งหลาย  มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่พระเทวทัตเป็นคนอกตัญญู
ถึงในกาลก่อน  ก็เป็นคนอกตัญญูเหมือนกัน"

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาตรัสจบลงแล้ว  ทรงประชุมชาดกว่า
"ภิกษุทั้งหลาย
นายพรานในครั้งนั้น  ได้มาเป็นพระเทวทัต
รุกขเทวดา  ได้มาเป็นพระสารีบุตร
ส่วนพระยาช้างผู้มีศีล  ได้มาเป็นเราตถาคต  ฉะนี้แล"


บทความที่เกี่ยวข้อง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

พยสนสูตร (อังคุตตรนิกาย > ปัญจกนิบาต > ตติยปัณณาสก์ > คิลานวรรค)

กาลียักขินีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > ยมกวรรค)

ปฏาจาราเถรีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > สหัสสวรรค)