อนาถปิณฑิกเสฏฐิวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > ปาปวรรค)
อนาถปิณฑิกเสฏฐิวัตถุ (เรื่องอนาถบิณฑิกเศรษฐี)
พระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถานี้แก่อนาถบิณฑิกเศรษฐีและเทวดาผู้สิงสถิตอยู่ที่ซุ้มประตูบ้านของเศรษฐี ดังนี้ว่า
"ตราบใดที่บาปยังไม่ให้ผล
ตราบนั้น คนชั่วจะเห็นบาปว่าดี
แต่เมื่อใดบาปให้ผล
เมื่อนั้น คนชั่วจะเห็นบาปว่าชั่วแท้
ตราบใดที่กรรมดียังไม่ให้ผล
ตราบนั้น คนดีจะเห็นกรรมดีว่าชั่ว
แต่เมื่อใดกรรมดีให้ผล
เมื่อนั้น คนดีจะเห็นกรรมดีว่าดีแท้"
อรรถกถา
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี
ทรงปรารภเศรษฐีชื่ออนาถบิณฑิกะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า
"ตราบใดที่บาปยังไม่ให้ผล
ตราบนั้น คนชั่วจะเห็นบาปว่าดี
แต่เมื่อใดบาปให้ผล
เมื่อนั้น คนชั่วจะเห็นบาปว่าชั่วแท้
ตราบใดที่กรรมดียังไม่ให้ผล
ตราบนั้น คนดีจะเห็นกรรมดีว่าชั่ว
แต่เมื่อใดกรรมดีให้ผล
เมื่อนั้น คนดีจะเห็นกรรมดีว่าดีแท้"
อนาถปิณฑิกเสฏฐิวัตถุ จบ
อรรถกถา
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี
ทรงปรารภเศรษฐีชื่ออนาถบิณฑิกะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า
[ เศรษฐีบำรุงภิกษุสามเณรเป็นนิตย์ ]
ได้ยินว่าอนาถบิณฑิกเศรษฐีจ่ายทรัพย์ตั้ง ๕๔ โกฎิเฉพาะสร้างวิหารเชตวันถวายไว้ในพระพุทธศาสนา
เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวัน
เศรษฐีนี้ได้ไปสู่ที่บำรุงใหญ่ ๓ แห่งทุกวัน ก็เมื่อจะไป คิดว่า
"สามเณรก็ดี ภิกษุหนุ่มก็ดี พึงแลดูแม้มือของเรา ด้วยการนึกว่า 'เศรษฐีนั้นถืออะไรมาบ้าง"
ดังนี้ จึงไม่เคยไปวิหารด้วยมือเปล่าเลย
เมื่อไปเวลาเช้า ก็ให้คนถือข้าวต้มไป
เมื่อบริโภคอาหารเช้าแล้ว ก็ให้คนถือเภสัชทั้งหลาย มีเนยใส เนยข้นเป็นต้น ไปวิหาร
เมื่อไปเวลาเย็น ก็ให้ถือสิ่งของต่าง ๆ มีระเบียบดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ และผ้าเป็นต้น ไปสู่วิหาร
เศรษฐีได้ทำการถวายทาน รักษาศีล อย่างนั้นทุก ๆ วัน ตลอดกาลเป็นนิตย์ทีเดียว
[ การหมดสิ้นแห่งทรัพย์ของเศรษฐี ]
ในกาลต่อมา เศรษฐีถึงความสิ้นไปแห่งทรัพย์เพื่อนพ่อค้าที่กู้หนี้เป็นทรัพย์ ๑๘ โกฏิจากเศรษฐีก็ไม่ยอมใช้หนี้
เงิน ๑๘ โกฏิที่เป็นสมบัติของตระกูล ที่ฝังไว้ใกล้ฝั่งแม่น้ำ เมื่อฝั่งพังลงเพราะน้ำเซาะ ก็จมลงในมหาสมุทร
ทรัพย์ของเศรษฐีนั้นได้ถึงความหมดสิ้นไปโดยลำดับ ด้วยประการอย่างนี้
เศรษฐีแม้อยู่ในฐานะลำบากอย่างนี้แล้ว ก็ยังถวายทานแก่สงฆ์เรื่อยไป
แต่ไม่สามารถถวายให้ประณีตได้เหมือนที่ผ่านมา
ในวันหนึ่ง เมื่อเศรษฐีไปยังวิหาร พระศาสดารับสั่งถามว่า
"คหบดี ท่านยังคงให้ทานสม่ำเสมออยู่หรือ"
เศรษฐีกราบทูลว่า "พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์ยังคงให้ทานอยู่
แต่ทานนั้นใช้ข้าวปลายเกรียน มีน้ำส้มพะอูมเป็นกับ"
[ เมื่อมีจิตผ่องใส ทานที่ถวายไม่เป็นของเลว ]
ทีนั้น พระศาสดาตรัสกับเศรษฐีว่า"คหบดี ท่านอย่าคิดว่า 'เราถวายทานเศร้าหมอง' เลย
ด้วยว่าเมื่อจิตประณีตแล้ว ทานที่บุคคลถวายแด่พระอรหันต์ทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ชื่อว่าเศร้าหมองย่อมไม่มี
คหบดี อีกประการหนึ่ง ท่านได้ถวายทานแด่พระอริยบุคคลทั้ง ๘ แล้ว
ส่วนเราในอดีตชาติ เมื่อครั้งเกิดเป็นเวลามพราหมณ์นั้น ได้ให้มหาทานเป็นเวลานาน ทำให้ชาวชมพูททวีปทั้งสิ้นไม่ต้องไถนา
แต่ในทานนั้น ไม่มีทักขิไณยบุคคลไร ๆ แม้ผู้ถึงซึ่งไตรสรณะ
ชื่อว่าทักขิไณยบุคคลทั้งหลาย ยากที่บุคคลจะได้ด้วยประการฉะนี้
เพราะเหตุนั้น ท่านอย่าคิดเลยว่า 'ทานของเราเศร้าหมอง"
ดังนี้แล้ว ได้ตรัสเล่าเวลามสูตรแก่เศรษฐีนั้น
[ เทวดาเตือนเศรษฐีให้เลิกการบริจาค ]
ครั้งนั้น เทวดาองค์หนึ่งสถิตอยู่ที่ซุ้มประตูของเศรษฐีเมื่อพระศาสดาและสาวกทั้งหลายเข้าไปสู่เรือน ไม่อาจจะดำรงอยู่ได้เพราะเดชแห่งพระศาสดาและพระสาวกเหล่านั้น เทวดานั้นคิดว่า
"พระศาสดาและพระสาวกเหล่านี้จะไม่มาสู่เรือนนี้ได้ด้วยประการใด เราจะยุยงคหบดีด้วยประการนั้น"
เทวดาคิดจะพูดกะเศรษฐีนั้น แต่ก็ยังไม่ได้โอกาสที่จะกล่าวอะไร ๆ ในกาลที่เศรษฐียังมีทรัพย์อยู่
แต่บัดนี้ คิดว่า "ก็บัดนี้ เศรษฐีนี้เป็นผู้ยากจนแล้ว คงจักเชื่อฟังคำของเรา"
ในเวลาราตรี จึงเข้าไปสู่ห้องของเศรษฐี ได้ยืนปรากฏกายอยู่ในอากาศ
ขณะนั้น เศรษฐีเห็นเทวดานั้นแล้วถามว่า "นั่นใคร"
เทวดา "ท่านเศรษฐี ข้าพเจ้าเป็นเทวดาสถิตอยู่ที่ซุ้มประตูที่ ๔ ของท่าน มาเพื่อต้องการเตือนท่าน"
เศรษฐี "เทวดา ถ้าเช่นนั้น เชิญท่านพูดเถิด"
เทวดา "ท่านเศรษฐี ที่ผ่านมา ท่านไม่คิดถึงอนาคตเลย จ่ายทรัพย์เป็นอันมากในศาสนาของพระสมณโคคม
บัดนี้ ท่านแม้เป็นผู้ยากจนแล้ว ก็ยังไม่ละการจ่ายทรัพย์อีก
ถ้าท่านยังขืนประพฤติอย่างนี้ ก็จะไม่เหลือแม้อาหารและเครื่องนุ่งห่มใน ๒ - ๓ วันนี้แน่แท้
ท่านจะต้องการอะไรด้วยพระสมณโคคม
ท่านจงเลิกจากการบริจาคเกินกำลังเสีย แล้วประกอบการงานทั้งหลาย รวบรวมสมบัติไว้เถิด"
เศรษฐี "นี้เป็นโอวาทที่ท่านให้แก่ข้าพเจ้าหรือ"
เทวดา "ใช่แล้ว ท่านเศรษฐี"
เศรษฐี "ท่านออกไปจากที่นี่เถิด
แม้บุคคลผู้เช่นท่านจะมาเป็นร้อย เป็นพัน เป็นแสน ก็ไม่อาจทำให้ข้าพเจ้าหวั่นไหวได้หรอก
ท่านกล่าวคำไม่สมควร
ข้าพเจ้าจะต้องการอะไรด้วยท่านในเรือนของข้าพเจ้า
ท่านจงออกไปจากเรือนของข้าพเจ้าโดยเร็ว"
[ เทวดาถูกเศรษฐีขับไล่ ไม่มีที่อาศัย ]
เทวดานั้นฟังคำของเศรษฐีผู้เป็นโสดาบันอริยสาวกแล้วไม่อาจดำรงอยู่ได้ จำต้องพาทารกทั้งหลายของตนออกไปจากวิมาน
ก็แล ครั้นออกไปแล้ว ไม่สามารถหาที่อยู่ในที่อื่นได้ จึงคิดว่า
"เราจักให้ท่านเศรษฐีอดโทษ แล้วกลับไปอยู่ในที่เดิมนั้น"
จึงเข้าไปหาเทพบุตรผู้รักษาพระนคร แจ้งความผิดที่ตนทำ แล้วกล่าวว่า
"มาเถิดท่าน ขอท่านจงนำข้าพเจ้าไปยังเรือนของท่านเศรษฐี
ให้ท่านเศรษฐีอดโทษ แล้วให้ที่อยู่แก่ข้าพเจ้าเถิด"
เทพบุตรผู้รักษาพระนครห้ามเทวดานั้นว่า
"ท่านกล่าวคำไม่สมควร ข้าพเจ้าไม่อาจไปยังเรือนของเศรษฐีนั้นได้"
เทวดานั้นจึงไปสู่สำนักของท้าวมหาราชทั้ง ๔ แต่ก็ถูกท่านเหล่านั้นห้ามไว้เช่นกัน
จึงเข้าไปเฝ้าท้าวสักกเทวราช (พระอินทร์) กราบทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบ แล้วทูลวิงวอนอย่างน่าสงสารว่า
"ข้าแต่ท้าวสักกเทวราช
ข้าพระองค์ไม่ได้ที่อยู่ ต้องจูงพวกทารกเที่ยวระหกระเหิน หาที่พึ่งมิได้
ขอได้โปรดช่วยพูดให้เศรษฐีให้ที่อยู่แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด"
[ ท้าวสักกะทรงแนะนำอุบายให้เทวดา ]
คราวนั้น ท้าวสักกะตรัสกะเทวดานั้นว่า"แม้เราก็ไม่อาจกล่าวกะเศรษฐีเพราะเหตุแห่งท่านได้เช่นเดียวกัน
แต่เราจะบอกอุบายให้แก่ท่านสักอย่างหนึ่ง"
เทวดา "ดีละ ขอพระองค์ทรงพระกรุณาตรัสบอกเถิด"
ท้าวสักกะ "ท่านจงแปลงเป็นเสมียนของเศรษฐี ใช้ให้คนนำหนังสือ (สัญญากู้เงิน) จากเศรษฐีมา
แล้วนำไปให้พ่อค้าเหล่านั้นชำระหนี้ทั้ง ๑๘ โกฏิด้วยอานุภาพของท่าน แล้วบรรจุไว้ให้เต็มในคลังเปล่าของเศรษฐี
ทรัพย์ ๑๘ โกฏิที่จมลงยังมหาสมุทรมีอยู่ก็ดี
ทรัพย์ ๑๘ โกฏิส่วนอื่นซึ่งหาเจ้าของมิได้ มีอยู่ในที่โน้นก็ดี
จงรวบรวมทรัพย์ทั้งหมดนั้นบรรจุไว้ให้เต็มในคลังเปล่าของเศรษฐี
ครั้นทำทัณฑกรรมเช่นนี้แล้ว จึงไปขอขมาโทษเศรษฐี"
[ เศรษฐีกลับรวยอย่างเดิม ]
เทวดานั้นรับว่า "ดีละ"แล้วทำทุกอย่างตามที่ท้าวสักกะตรัสบอก ทำคลังเปล่าของเศรษฐีให้สว่างไสว
แล้วปรากฎกายอยู่ในอากาศให้เศรษฐีเห็น
เศรษฐีถามว่า "นั่นใคร"
เทวดานั้นตอบว่า "ข้าพเจ้าเป็นเทวดาอันธพาลซึ่งสถิตอยู่ที่ซุ้มประตูที่ ๔ ของท่าน
คำใดที่ข้าพเจ้ากล่าวแล้วในเรือนของท่านด้วยความเป็นอันธพาล
ขอท่านจงอดโทษคำนั้นแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด
ข้าพเจ้าได้ทำทัณฑกรรมด้วยการรวบรวมทรัพย์ ๕๔ โกฏิมาบรรจุไว้เต็มห้องเปล่าตามบัญชาของท้าวสักกะ
ข้าพเจ้าเมื่อไม่ได้ที่อยู่ จึงลำบาก"
[ เศรษฐีอดโทษแก่เทวดา ]
อนาถบิณฑิกเศรษฐีคิดว่า"เทวดานี้กล่าวว่า 'ทัณฑกรรมอันข้าพเจ้ากระทำแล้ว' ดังนี้
และรู้สึกโทษ (ความผิด) ของตนแล้ว
เราจะแสดงเทวดานั้นแด่พระผู้มีพระภาค"
เศรษฐีจึงพาเทวดานั้นไปสู่สำนักของพระศาสดา กราบทูลกรรมอันเทวดานั้นทำแล้วทั้งหมด
เทวดานั้นหมอบลงด้วยเศียรเกล้าแทบพระบาทยุคลแห่งพระศาสดา กราบทูลว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ข้าพระองค์ไม่ทราบพระคุณทั้งหลายของพระองค์
ได้กล่าวคำใดอันชั่วช้าเพราะความเป็นอันธพาล
ขอพระองค์ทรงอดโทษคำนั้นแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด"
พระศาสดาทรงอดโทษแล้ว
อนาถบิณฑิกเศรษฐีก็ได้อดโทษให้เช่นกัน
[ เมื่อกรรมให้ผล คนโง่จึงเห็นถูกต้อง ]
พระศาสดาเมื่อจะทรงโอวาทเศรษฐีและเทวดา ด้วยสามารถวิบากแห่งกรรมดีและชั่วนั่นแล จึงตรัสว่า"ดูก่อนคหบดี แม้บุคคลผู้ทำบาปในโลกนี้ ย่อมเห็นบาปว่าดี ตลอดกาลที่บาปยังไม่เผล็ดผล
แต่เมื่อใดที่บาปของเขาเผล็ดผล เมื่อนั้น เขาย่อมเห็นบาปว่าชั่วแท้ ๆ
ฝ่ายบุคคลผู้ทำกรรมดี ย่อมเห็นกรรมดีว่าชั่ว ตลอดกาลที่กรรมดียังไม่เผล็ดผล
แต่เมื่อใดที่กรรมดีของเขาเผล็ดผล เมื่อนั้น เขาย่อมเห็นกรรมดีว่าดีจริง ๆ"
ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
"ตราบใดที่บาปยังไม่ให้ผล
ตราบนั้น คนชั่วจะเห็นบาปว่าดี
แต่เมื่อใดบาปให้ผล
เมื่อนั้น คนชั่วจะเห็นบาปว่าชั่วแท้
ตราบใดที่กรรมดียังไม่ให้ผล
ตราบนั้น คนดีจะเห็นกรรมดีว่าชั่ว
แต่เมื่อใดกรรมดีให้ผล
เมื่อนั้น คนดีจะเห็นกรรมดีว่าดีแท้"
ในกาลจบพระธรรมเทศนา เทวดานั้นดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล
พระธรรมเทศนาได้มีประโยชน์แม้แก่บริษัทผู้มาประชุมกัน ดังนี้เเล
บทความที่เกี่ยวข้อง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น