วิสาขาวัตถุ (มหาวรรค > จีวรขันธกะ)


วิสาขาวัตถุ  (ว่าด้วยนางวิสาขากราบทูลขอพร)

สมัยนั้น  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่  ณ  พระเชตวัน  อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี  เขตกรุงสาวัตถี

ครั้งนั้น  นางวิสาขามิคารมาตาเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค  ถวายอภิวาท  แล้วนั่งอยู่  ณ  ที่สมควร

พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้นางวิสาขามิคารมาตาเห็นชัด  ชวนให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ  เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า  ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริงด้วยธรรมีกถา

ลำดับนั้น  นางวิสาขามิคารมาตาผู้ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เห็นชัด  ชวนให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ  เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า  ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริงด้วยธรรมีกถาแล้ว  ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
"ขอพระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์โปรดรับภัตตาหารของหม่อมฉัน  เพื่อเจริญกุศลในวันพรุ่งนี้ด้วยเถิด  พระพุทธเจ้าข้า"

พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์โดยดุษณีภาพ

ครั้งนั้น  นางวิสาขามิคารมาตาทราบว่าพระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์แล้ว  จึงลุกจากอาสนะ  ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค  ทำประทักษิณแล้วจากไป


[ ฝนตกพร้อมกัน ๔ ทวีป ]
ครั้นผ่านราตรีนั้น  เมฆฝนใหญ่ตั้งเค้าขึ้นในทวีปทั้ง ๔  ตกลงมาอย่างหนัก
(ทวีปทั้ง ๔  ได้แก่  ชมพูทวีป  อมรโคยานทวีป  อุตตรกุรุทวีป  ปุพพวิเทหทวีป)

ครั้งนั้น  พระผู้มีพระภาครับสั่งกับภิกษุทั้งหลายว่า
"ภิกษุทั้งหลาย
ฝนตกในเชตวันฉันใด  ตกในทวีปทั้ง ๔ ก็ฉันนั้น
พวกเธอจงสรงสนานกายด้วยน้ำฝนเถิด
นี้เป็นเมฆฝนใหญ่ครั้งสุดท้ายที่ตั้งเค้าขึ้นตกพร้อมกันในทวีปทั้ง ๔"

ภิกษุเหล่านั้นทูลรับสนองพระพุทธดำรัสแล้ว  พากันเอาจีวรวางไว้  สรงสนานกายด้วยน้ำฝน

ลำดับนั้น  นางวิสาขามิคารมาตาสั่งให้คนเตรียมของเคี้ยวของฉันอันประณีต  แล้วสั่งสาวใช้ว่า
"ไปเถิดแม่สาวใช้  เธอจงไปที่อาราม  แล้วบอกเวลาว่า
'ถึงเวลาแล้ว  ท่านเจ้าข้า  ภัตตาหารเสร็จแล้ว"

นางทาสีรับคำแล้วไปสู่อาราม  เห็นพวกภิกษุเอาจีวรวางไว้  สรงสนานกายด้วยน้ำฝนอยู่  คิดว่า
"ไม่มีภิกษุอยู่ในอาราม  มีแต่พวกอาชีวก (นักบวชเปลือย) กำลังสนานกายด้วยน้ำฝน"

จึงกลับไปหานางวิสาขามิคารมาตา  ได้กล่าวดังนี้ว่า
"แม่เจ้า  ไม่มีภิกษุอยู่ในอาราม  มีแต่พวกอาชีวกกำลังสนานกายด้วยน้ำฝน"

ครั้งนั้น  นางวิสาขามิคารมาตาผู้เป็นบัณฑิต  เฉลียวฉลาด  มีปัญญา  ได้มีความคิดดังนี้ว่า
"พวกพระคุณเจ้าคงเอาจีวรวางไว้  แล้วสรงสนานกายด้วยน้ำฝนเป็นแน่
นางทาสีคนนี้เป็นคนเขลา  จึงเข้าใจว่าไม่มีภิกษุอยู่ในอาราม  มีแต่พวกอาชีวกกำลังสนานกายด้วยน้ำฝน"

จึงสั่งสาวใช้ว่า
"ไปเถิดแม่สาวใช้  เธอจงไปที่อาราม  แล้วบอกเวลาว่า
'ถึงเวลาแล้ว  ท่านเจ้าข้า  ภัตตาหารเสร็จแล้ว"

ครั้งนั้น  ภิกษุเหล่านั้นชำระร่างกายจนหนาวแล้ว  จึงนุ่งผ้าเรียบร้อย  ต่างถือจีวรเข้าไปสู่ที่อยู่ตามเดิม

นางทาสีนั้นไปสู่อารามไม่พบพวกภิกษุเข้าใจว่า
"ไม่มีภิกษุในอาราม  อารามว่างเปล่า"

จึงกลับไปหานางวิสาขามิคารมาตา  ได้กล่าวดังนี้ว่า
"แม่เจ้า  ไม่มีภิกษุในอาราม  อารามว่างเปล่า"

ลำดับนั้น  นางวิสาขามิคารมาตา  ผู้เป็นบัณฑิต  เฉลียวฉลาด  มีปัญญา  ได้มีความคิดดังนี้ว่า
"พวกพระคุณเจ้าคงจะชำระร่างกายจนหนาวแล้วนุ่งผ้าเรียบร้อย  ต่างถือจีวรเข้าไปสู่ที่อยู่ตามเดิม
นางทาสีคนนี้เป็นคนเขลา  จึงเข้าใจว่า  ไม่มีภิกษุในอาราม  อารามว่างเปล่า"

จึงสั่งสาวใช้อีกว่า
"ไปเถิดแม่สาวใช้  เธอจงไปที่อาราม  แล้วบอกเวลาว่า
'ถึงเวลาแล้ว  ท่านเจ้าข้า  ภัตตาหารเสร็จแล้ว"

ลำดับนั้น  พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมารับสั่งว่า
"พวกเธอจงเตรียมบาตรและจีวร  ถึงเวลาภัตตาหารแล้ว"

ภิกษุเหล่านั้นทูลรับสนองพระพุทธดำรัสแล้ว

ครั้นเวลาเช้า  พระผู้มีพระภาคครองอันตรวาสก  ทรงถือบาตรและจีวร  เสด็จหายไปจากพระเชตวัน  มาปรากฏที่ซุ้มประตูบ้านนางวิสาขามิคารมาตา  เปรียบเหมือนคนมีกำลังเหยียดแขนที่คู้  หรือคู้แขนที่เหยียด  แล้วประทับนั่งบนพระพุทธอาสน์ที่เขาปูไว้พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์

ครั้งนั้น  นางวิสาขามิคารมาตารื่นเริงบันเทิงใจว่า
"น่าอัศจรรย์จริง  ผู้เจริญทั้งหลาย  ไม่เคยปรากฏ
ผู้เจริญทั้งหลาย  พระตถาคตทรงมีฤทธิ์มาก  ทรงมีอานุภาพมาก
เมื่อห้วงน้ำไหลนองไปแค่เข่าบ้าง  เมื่อห้วงน้ำไหลนองไปแค่สะเอวบ้าง
เท้าหรือจีวรของภิกษุสักรูปเดียวก็ไม่เปียกน้ำเลย"

แล้วจึงได้ประเคนภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานด้วยของเคี้ยวของฉันอันประณีตด้วยมือตนเอง


[ นางวิสาขาทูลขอพร ๘ ประการ ]
กระทั่งพระผู้มีพระภาคเสวยเสร็จแล้ว  ทรงละพระหัตถ์จากบาตร
นางวิสาขาซึ่งนั่งเฝ้าอยู่  ณ  ที่สมควร  ได้กราบทูลว่า
"หม่อมฉันกราบทูลขอพร ๘ ประการ  พระพุทธเจ้าข้า"

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  "ตถาคตทั้งหลายเลิกให้พรเสียแล้ว  วิสาขา"

นางวิสาขากราบทูลว่า
"หม่อมฉันทูลขอพรที่เหมาะสมและไม่มีโทษ  พระพุทธเจ้าข้า"

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  "จงพูดมาเถิด  วิสาขา"

นางวิสาขามิคารมาตากราบทูลว่า
"หม่อมฉันประสงค์จะ
๑. ถวายผ้าวัสสิกสาฎก  แก่พระสงฆ์จนตลอดชีวิต
๒. ถวายอาคันตุกภัต  แก่พระสงฆ์จนตลอดชีวิต
๓. ถวายคมิกภัต  แก่พระสงฆ์จนตลอดชีวิต
๔. ถวายคิลานภัต  แก่พระสงฆ์จนตลอดชีวิต
๕. ถวายคิลานุปัฏฐากภัต  แก่พระสงฆ์จนตลอดชีวิต
๖. ถวายคิลานเภสัช  แก่พระสงฆ์จนตลอดชีวิต
๗. ถวายธุวยาคู  แก่พระสงฆ์จนตลอดชีวิต
๘. ถวายผ้าอาบน้ำ  แก่ภิกษุณีสงฆ์จนตลอดชีวิต
พระพุทธเจ้าข้า"

(ผ้าวัสสิกสาฎก  คือ  ผ้าอาบน้ำฝน
อาคันตุกภัต  คือ  อาหารสำหรับภิกษุที่มาขอพักอาศัย  ไม่ใช่อยู่ประจำ
คมิกภัต  คือ  อาหารสำหรับภิกษุที่เตรียมตัวเดินทาง
คิลานภัต  คือ  อาหารสำหรับภิกษุไข้
คิลานุปัฏฐากภัต  คือ  อาหารสำหรับภิกษุผู้พยาบาลภิกษุไข้
คิลานเภสัช  คือ  เภสัชสำหรับภิกษุไข้
ธุวยาคู  คือ  ข้าวต้มที่ถวายเป็นประจำ)

พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า
"เธอเห็นอำนาจประโยชน์อะไร  จึงขอพร ๘ ประการนี้กับตถาคต"

นางวิสาขามิคารมาตากราบทูลว่า
"พระพุทธเจ้าข้า
วันนี้  หม่อมฉันสั่งสาวใช้ไปว่า  'ไปเถิดแม่สาวใช้  เธอจงไปที่อาราม  แล้วบอกเวลาว่า
'ได้เวลาแล้ว  ท่านเจ้าข้า  ภัตตาหารเสร็จแล้ว'

ครั้นนางไปสู่อาราม  ได้เห็นภิกษุเอาจีวรวางไว้  สรงสนานกายด้วยน้ำฝนอยู่  จึงเข้าใจว่า
'ไม่มีภิกษุอยู่ในอาราม  มีแต่พวกอาชีวกกำลังสนานกายด้วยน้ำฝน'

จึงกลับเข้ามาหาหม่อมฉัน  บอกดังนี้ว่า
'แม่เจ้า  ไม่มีภิกษุอยู่ในอาราม  มีแต่พวกอาชีวกกำลังสนานกายด้วยน้ำฝน'

๑. การเปลือยกายไม่งาม  น่าเกลียด  น่าชัง
หม่อมฉันเห็นอำนาจประโยชน์นี้  จึงปรารถนาถวายผ้าวัสสิกสาฎกแก่พระสงฆ์จนตลอดชีวิต

๒. อีกอย่างหนึ่ง  ภิกษุอาคันตุกะไม่ชำนาญหนทาง  ไม่รู้จักที่โคจร  บิณฑบาตลำบาก
ภิกษุอาคันตุกะนั้นฉันอาคันตุกภัตของหม่อมฉันแล้ว  เมื่อชำนาญทาง  รู้จักที่โคจร  ก็จะเที่ยวบิณฑบาตได้ไม่ลำบาก
หม่อมฉันเห็นอำนาจประโยชน์นี้  จึงปรารถนาถวายอาคันตุกภัตแก่พระสงฆ์จนตลอดชีวิต

๓. อีกอย่างหนึ่ง  ภิกษุผู้เตรียมตัวจะเดินทาง  มัวแสวงหาภัตตาหารเพื่อตนอยู่  จะพลาดจากหมู่เกวียน  หรือถึงที่ที่ตนจะไปอยู่เมื่อพลบค่ำ  จะเดินทางลำบาก
ภิกษุผู้เตรียมจะเดินทางนั้นฉันคมิกภัตของหม่อมฉันแล้ว  จะได้ไม่พลาดจากหมู่เกวียน  หรือไปถึงที่ที่ตนจะไปอยู่ทันเวลา  จะได้เดินทางไม่ลำบาก
หม่อมฉันเห็นอำนาจประโยชน์นี้  จึงปรารถนาถวายคมิกภัตแก่พระสงฆ์จนตลอดชีวิต

๔. อีกอย่างหนึ่ง  เมื่อภิกษุไข้ไม่ได้โภชนาหารที่เป็นสัปปายะ  อาพาธจะกำเริบ  หรือถึงมรณภาพได้
ภิกษุไข้นั้นฉันคิลานภัตของหม่อมฉันแล้ว  อาพาธจะทุเลาหรือไม่ถึงมรณภาพ
หม่อมฉันเห็นอำนาจประโยชน์นี้  จึงปรารถนาถวายคิลานภัตแก่พระสงฆ์จนตลอดชีวิต

๕. อีกอย่างหนึ่ง  ภิกษุผู้พยาบาลภิกษุไข้มัวแสวงหาภัตตาหารเพื่อตนเอง  จะนำภัตตาหารไปถวายภิกษุไข้ในเมื่อเวลาสาย  ตนเองจะอดอาหาร
ภิกษุผู้พยาบาลภิกษุไข้นั้นได้ฉันคิลานุปัฏฐากภัตของหม่อมฉันแล้ว  จะนำภัตตาหารไปถวายภิกษุไข้ได้ทันเวลา  ตนเองก็ไม่อดอาหาร
หม่อมฉันเห็นอำนาจประโยชน์นี้  จึงปรารถนาถวายคิลานุปัฏฐากภัตแก่พระสงฆ์จนตลอดชีวิต

๖. อีกอย่างหนึ่ง  เมื่อภิกษุไข้ไม่ได้เภสัชที่เป็นสัปปายะ  อาพาธจะกำเริบ  หรือถึงมรณภาพได้
ภิกษุไข้นั้นฉันคิลานเภสัชของหม่อมฉันแล้ว  อาพาธจะทุเลาหรือไม่ถึงมรณภาพ
หม่อมฉันเห็นอำนาจประโยชน์นี้  จึงปรารถนาถวายคิลานเภสัชแก่พระสงฆ์จนตลอดชีวิต

๗. อีกอย่างหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคทรงเห็นอานิสงส์ ๑๐ ประการ
จึงได้ทรงอนุญาตข้าวยาคู (ข้าวต้ม) ไว้ที่เมืองอันธกวินทะ
หม่อมฉันเห็นอำนาจประโยชน์นี้  จึงปรารถนาถวายข้าวยาคูเป็นประจำแก่พระสงฆ์จนตลอดชีวิต

๘. พระพุทธเจ้าข้า  ภิกษุณีทั้งหลายในธรรมวินัยนี้  เปลือยกายอาบน้ำในแม่น้ำอจิรวดีท่าเดียวกับหญิงแพศยา
พวกหญิงแพศยาทั้งหลายเย้ยภิกษุณีเหล่านั้นว่า
'แม่เจ้าทั้งหลาย  พวกท่านยังเป็นสาว  จะประพฤติพรหมจรรย์ไปทำไมกัน
ธรรมดามนุษย์ควรบริโภคกามมิใช่หรือ
ต่อเมื่อชรา  พวกท่านจึงค่อยประพฤติพรหมจรรย์
เมื่อเป็นอย่างนี้  ชื่อว่าได้หยิบฉวยเอาประโยชน์ทั้ง ๒ แล้ว'
ภิกษุณีเหล่านั้นถูกพวกหญิงแพศยาเย้ยหยันต่างเก้อเขิน
พระพุทธเจ้าข้า  มาตุคาม (ผู้หญิง) เปลือยกายย่อมไม่งดงาม  น่าเกลียด  น่าชัง
หม่อมฉันเห็นอำนาจประโยชน์นี้  จึงปรารถนาถวายผ้าอาบน้ำแก่ภิกษุณีสงฆ์จนตลอดชีวิต"


[ อานิสงส์จากพร ๘ ประการ ]
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า
"วิสาขา  เธอเห็นอานิสงส์อะไร  จึงขอพร ๘ ประการนี้กับตถาคต"

นางวิสาขามิคารมาตากราบทูลว่า
"พระพุทธเจ้าข้า
ภิกษุทั้งหลายในพระธรรมวินัยนี้จำพรรษาในทิศต่าง ๆ
แล้วจะเดินทางมากรุงสาวัตถี  เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาค

ภิกษุเหล่านั้นจะเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค  ทูลถามว่า
'พระพุทธเจ้าข้า  ภิกษุชื่อนี้มรณภาพแล้ว  เธอมีคติอย่างไร  มีภพหน้าอย่างไร'

พระผู้มีพระภาคจะทรงพยากรณ์ภิกษุนั้นในโสดาปัตติผล  สกทาคามิผล  อนาคามิผล  หรืออรหัตผล

หม่อมฉันจะเข้าไปหาภิกษุเหล่านั้น  แล้วถามว่า
'พระคุณเจ้ารูปนั้นเคยมากรุงสาวัตถีไหมเจ้าข้า'

ถ้าภิกษุเหล่านั้นตอบหม่อมฉันว่า  'ภิกษุนั้นเคยมากรุงสาวัตถี'

ในเรื่องนี้  หม่อมฉันจะสันนิษฐานได้ว่า
'พระคุณเจ้านั้นคงใช้ผ้าวัสสิกสาฎก  คงฉันอาคันตุกภัต  คมิกภัต  คิลานภัต  คิลานุปัฏฐากภัต  คิลานเภสัช  หรือธุวยาคูของหม่อมฉันเป็นแน่'

เมื่อหม่อมฉันระลึกถึงบุญกุศลนั้น  ก็จะเกิดความปลื้มใจ
เมื่อหม่อมฉันปลื้มใจ  ก็จะเกิดอิ่มใจ
เมื่ออิ่มใจ  กายจะสงบ
หม่อมฉันมีกายสงบ  จะมีความสุข
จิตของผู้มีความสุข  จะตั้งมั่น
หม่อมฉันจะได้อบรมอินทรีย์  พละ  และโพชฌงค์

หม่อมฉันเห็นอานิสงส์นี้จึงกราบทูลขอพร ๘ ประการกับพระตถาคต  พระพุทธเจ้าข้า"

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
"ดีละ  ดีละ  วิสาขา
เป็นการดีแล้วที่เธอเห็นอานิสงส์นี้จึงขอพร ๘ ประการกับตถาคต
วิสาขา  เราอนุญาตพร ๘ ประการแก่เธอ"


[ คาถาอนุโมทนา ]
ครั้งนั้น  พระผู้มีพระภาคทรงอนุโมทนานางวิสาขามิคารมาตาด้วยพระคาถาเหล่านี้ว่า
       "สตรีใดเมื่อให้ข้าวและน้ำก็เบิกบานใจ
มีศีล  เป็นสาวิกาของพระสุคต
ครอบงำความตระหนี่  ให้ทานซึ่งเป็นหนทางสวรรค์
เป็นเครื่องบรรเทาความโศก  นำสุขมาให้
สตรีนั้นอาศัยหนทางที่ไม่มีธุลี  ไม่มีกิเลสยวนใจ
ย่อมได้กำลังและอายุทิพย์
เธอผู้ประสงค์บุญ  มีความสุข  มีพลานามัย
ย่อมปลื้มใจในชาวสวรรค์ตลอดกาลนาน"

ครั้งนั้น  พระผู้มีพระภาคทรงอนุโมทนาต่อนางวิสาขามิคารมาตาด้วยพระคาถาเหล่านี้แล้ว  เสด็จลุกจากอาสนะแล้วเสด็จกลับ

ต่อมา  พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมีกถาเพราะเรื่องนี้เป็นต้นเหตุ  แล้วรับสั่งกับภิกษุทั้งหลายว่า
"ภิกษุทั้งหลาย
เราอนุญาตผ้าวัสสิกสาฎก  อาคันตุกภัต  คมิกภัต  คิลานภัต  คิลานุปัฏฐากภัต  คิลานเภสัช  ธุวยาคู  และผ้าอาบน้ำสำหรับภิกษุณีสงฆ์"

วิสาขาวัตถุ  จบ


บทความที่เกี่ยวข้อง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

พยสนสูตร (อังคุตตรนิกาย > ปัญจกนิบาต > ตติยปัณณาสก์ > คิลานวรรค)

กาลียักขินีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > ยมกวรรค)

ปฏาจาราเถรีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > สหัสสวรรค)