กุมารเปตวัตถุ (ขุททกนิกาย > เปตวัตถุ > จูฬวรรค)


กุมารเปตวัตถุ  (เรื่องเด็กพูดวาจาหยาบเป็นบาปได้)

ในกรุงสาวัตถี  อุบาสกและอุบาสิกาจำนวนมากร่วมใจกันสร้างมณฑปหลังใหญ่ไว้ในพระนคร  ประดับมณฑปนั้นด้วยผ้านานาพรรณ  นิมนต์พระศาสดาและพระภิกษุสงฆ์มาแต่เช้าตรู่  ให้ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานนั่งบนอาสนะที่ลาดด้วยเครื่องลาดอย่างดีควรแก่ค่ามาก  บูชาด้วยสักการะมีของหอมและดอกไม้เป็นต้น  ให้มหาทานเป็นไป

บุรุษคนหนึ่งมีจิตถูกมลทินคือความตระหนี่กลุ้มรุม  พอเห็นดังนั้น  ทนต่อสักการะนั้นไม่ได้  จึงกล่าวอย่างนี้ว่า
"สิ่งทั้งหมดนี้นำไปทิ้งเสียที่กองหยากเยื่อ
ยังจะดีกว่าที่จะเอามาให้สมณะโล้นเหล่านี้ซึ่งหาดีมิได้เลย"

พวกอุบาสกอุบาสิกาได้ฟังดังนั้น  เกิดความสลดใจ  พากันคิดว่า
"การที่บุรุษนี้ขวนขวายสร้างกรรมชั่วอันเป็นเหตุให้ผิดในภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานถึงอย่างนี้  จัดว่าเป็นกรรมอันหนักหนอ"

ดังนี้แล้ว  จึงได้บอกเรื่องนั้นแก่มารดาของเขา  แล้วกล่าวว่า
"ไปเถิด  เธอจงไปขอขมาโทษพระผู้มีพระภาค  พร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกเถิด"

มารดารับคำแล้ว  สั่งสอนตักเตือนบุตรให้ยินยอม
แล้วจึงพาเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคและเยี่ยมภิกษุสงฆ์  แสดงโทษที่บุตรกระทำไว้ให้ขมาโทษแล้ว  ได้กระทำการบูชาด้วยการถวายข้าวยาคูตลอด ๗ วันแด่พระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์

ต่อมาไม่นาน  เมื่อบุตรสิ้นชีวิต  ได้ไปบังเกิดในท้องของหญิงคณิกาคนหนึ่ง
หญิงคณิกานั้นเมื่อรู้ว่าได้ลูกเป็นเด็กชาย  ก็ให้เขาไปทิ้งเสียที่ป่าช้า

เด็กนั้นอันพลังแห่งบุญของตนคุ้มครองรักษาไว้ในที่นั้น  ไม่ถูกอะไร ๆ เบียดเบียน  จึงหลับเป็นสุขเหมือนหลับที่ตักของมารดา
(อาจารย์บางพวกกล่าวว่า  เทวดาพากันคุ้มครองรักษาเด็กนั้นไว้)

ครั้นเวลาใกล้รุ่ง  พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากมหากรุณาสมาบัติ  ทรงตรวจดูสัตว์โลกด้วยพุทธจักษุ  ทอดพระเนตรเห็นเด็กนั้นที่ถูกทอดทิ้งไว้ที่ป่าช้า  จึงได้เสด็จไปยังป่าช้าในเวลาพระอาทิตย์ขึ้น

มหาชนประชุมกันว่า  "พระศาสดาเสด็จมาในที่นี้  เห็นจะมีเหตุอะไรในที่นี้"

พระผู้มีพระภาคตรัสแก่บริษัทผู้ประชุมกันแล้วว่า
       "พระญาณของพระสุคตน่าอัศจรรย์
โดยที่พระศาสดาทรงพยากรณ์บุคคลได้อย่างถูกต้องว่า
บุคคลบางเหล่าในโลกนี้มีบุญมากก็มี  บางเหล่ามีบุญน้อยก็มี
       คหบดีผู้นี้เมื่อยังเป็นเด็ก  ถูกเขาทิ้งไว้ในป่าช้า
เป็นอยู่ด้วยน้ำนมที่ไหลออกจากนิ้วมือ (ของเทวดา) ตลอดราตรี
ยักษ์  ภูตผีปีศาจ  หรือสัตว์เลื้อยคลาน  ก็ไม่เบียดเบียนเด็กผู้ที่ได้ทำบุญไว้แล้ว
       แม้สุนัขทั้งหลายก็พากันมาเลียเท้าทั้งสองของเด็กนั้น
ฝูงเหยี่ยวและสุนัขจิ้งจอกก็พากันวนเวียนรักษา
ฝูงนกก็พากันคาบรกไปทิ้ง
ส่วนฝูงกาพากันคาบขี้ตาออกไป
       มนุษย์และอมนุษย์ไร ๆ มิได้จัดการรักษาเด็กนี้
หรือใคร ๆ ที่จะทำเมล็ดพันธุ์ผักกาดให้เป็นยาก็ไม่มี
และมิได้ถือเอาการประกอบฤกษ์ยาม
ทั้งไม่ได้โปรยธัญชาติทั้งปวง
       เด็กที่ถูกนำมาทิ้งไว้ในป่าช้าในยามราตรี
ได้รับความลำบากอย่างยิ่งเช่นนี้
สั่นเทาอยู่  เป็นดุจก้อนเนยข้น
ยังเหลืออยู่เพียงชีวิต  มีความสงสัยว่าจะรอดหรือไม่หนอ
       พระผู้มีพระภาคผู้อันเทวดาและมนุษย์บูชาแล้ว
ทรงมีพระปัญญากว้างขวาง  ได้ทอดพระเนตรเห็นแล้ว
ครั้นแล้วได้ทรงพยากรณ์เด็กนั้นว่า
เด็กคนนี้จักเป็นผู้มีสกุลสูง (เป็นเศรษฐีมีโภคสมบัติมาก) สำหรับนครนี้"

ชายคนหนึ่งกราบทูลถามว่า
       "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ข้อปฏิบัติของเขาเป็นอย่างไร  พรหมจรรย์ของเขาเป็นอย่างไร
เขาประพฤติข้อปฏิบัติและพรหมจรรย์อย่างไร  จึงมีวิบากอย่างนี้
เขาถึงความพินาศเช่นนี้แล้วจึงกลับมาเสวยความสำเร็จเช่นนั้น ๆ"

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
       "เมื่อก่อน  หมู่ชนได้ทำการบูชาพระสงฆ์
ซึ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นประธานอย่างโอฬาร
เด็กนั้นได้มีความคิดเห็นในการบูชานั้นเป็นอย่างอื่นไป
เขาได้กล่าววาจาหยาบคายซึ่งมิใช่ของสัตบุรุษ
       ภายหลังเขาบรรเทาความคิดนั้นแล้ว
กลับได้ปีติและความเลื่อมใส
ได้บำรุงพระตถาคตซึ่งประทับอยู่ที่พระเชตวันด้วยข้าวต้ม ๗ วัน
       ข้อนั้นเป็นข้อปฏิบัติและพรหมจรรย์ของเขา
เขาประพฤติเช่นนั้น  จึงมีวิบากอย่างนี้
เขาถึงความพินาศเช่นนี้แล้วจะกลับได้เสวยความสำเร็จเช่นนั้น
       เขาอยู่ในมนุษยโลกนี้แหละเป็นเวลา ๑๐๐ ปี
เป็นผู้พรั่งพร้อมด้วยกามคุณทุกอย่าง
หลังจากตายไป
จะเข้าถึงความเป็นสหายของท้าววาสวะ (พระอินทร์) ในสัมปรายภพ"

จากนั้น  พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมอันเหมาะสมแก่อัธยาศัยของพุทธบริษัทที่มาชุมนุมกันแล้ว
แล้วจึงตรัสอริยสัจ ๔
ในกาลจบพระธรรมเทศนา  ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย  มีโสดาปัตติผลเป็นต้น

ในหมู่ชนกลุ่มนั้น  มีผู้ที่มีฐานะอยู่คนหนึ่ง  มีทรัพย์ ๘๐ โกฏิ  ได้รับเลี้ยงเด็กนั้นต่อพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า  "ทารกนี้เป็นบุตรของเรา"

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำริว่า  "เด็กนี้อันบุญกรรมมีประมาณเท่านี้รักษาไว้แล้ว  และมหาชนพากันอนุเคราะห์แล้ว"
จึงเสด็จกลับพระวิหาร

สมัยต่อมา  เมื่อเด็กนั้นเติบโตขึ้น  เมื่อผู้เป็นพ่อเสียชีวิตแล้ว  ก็ปกครองทรัพย์ที่มีอยู่ในเรือนทั้งหมด  ได้เป็นคหบดีมีสมบัติมากในพระนครนั้นเอง  ได้เป็นผู้ยินดีในการให้ทานเป็นต้น

ภายหลังวันหนึ่ง  ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า
"น่าอัศจรรย์จริงหนอ  พระศาสดาเป็นผู้อนุเคราะห์สัตว์ทั้งหลาย
เด็กคนนั้นในกาลนั้นเป็นคนอนาถา
แต่บัดนี้  เป็นผู้เสวยสมบัติมาก  และกระทำบุญอย่างโอฬาร"

พระศาสดาทรงสดับดังนั้นแล้ว  ตรัสว่า
"ภิกษุทั้งหลาย  มิใช่ว่าบุรุษนั้นจะมีสมบัติแต่เพียงเท่านี้
โดยที่แท้  ในเวลาสิ้นอายุขัย  จะไปบังเกิดเป็นโอรสของท้าวสักกเทวราช (พระอินทร์) ในภพชั้นดาวดึงส์  และจะได้สมบัติอันเป็นทิพย์"
ดังนี้แล


กุมารเปตวัตถุ  จบ


บทความที่เกี่ยวข้อง
๑. สิ่งที่ไม่ควรลืมสอนลูก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

พยสนสูตร (อังคุตตรนิกาย > ปัญจกนิบาต > ตติยปัณณาสก์ > คิลานวรรค)

กาลียักขินีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > ยมกวรรค)

ปฏาจาราเถรีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > สหัสสวรรค)