ภัคคชาดก (ขุททกนิกาย > ชาดก > ทุกนิบาต > ทัฬหวรรค)


ภัคคชาดก  (ว่าด้วยบิดาพระโพธิสัตว์ชื่อภัคคะ)

ราหมณ์โพธิสัตว์เห็นยักษ์ลงมา  จึงกล่าวกับบิดาว่า
       "ท่านพ่อ  ขอท่านจงมีชีวิตอยู่ถึง ๑๒๐ ปี
ขอพวกปีศาจจงอย่าได้กินผมเลย
ขอท่านจงมีชีวิตอยู่ถึง ๑๒๐ ปีเถิด"

บิดาเห็นยักษ์มาหา  จึงกล่าวกับบุตรว่า
       "แม้เจ้าก็จงมีชีวิตอยู่ถึง ๑๒๐ ปี
ขอพวกปีศาจจงกินยาพิษ
ขอเจ้าจงมีชีวิตอยู่ถึง ๑๒๐ ปีเถิด"

ภัคคชาดก  จบ

อรรถกถา
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่  ณ  ราชิการาม
ซึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลให้จัดสร้างถวาย  ใกล้พระวิหารเชตวัน
ทรงปรารภการจามของพระองค์  ได้ตรัสพระธรรมเทศนานี้

สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคห้อมล้อมด้วยบริษัทหมู่ใหญ่
ประทับนั่งแสดงธรรม  ได้ทรงจามขึ้น

ภิกษุทั้งหลายได้ถวายพระพรเสียงดังว่า
"ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงพระเจริญพระชนมายุเถิด
ขอพระสุคตจงทรงพระเจริญพระชนมายุเถิด  พระพุทธเจ้าข้า"

การแสดงธรรมต้องหยุดลงเพราะเสียงถวายพระพรนั้น

พระผู้มีพระภาครับสั่งกับภิกษุทั้งหลายว่า
"ภิกษุทั้งหลาย
เมื่อมีการจาม  ผู้ที่ได้รับพรว่า  'ขอจงมีอายุยืน'
จะมีชีวิตหรือต้องตายเพราะสาเหตุนั้นได้หรือ"

ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า  "ไม่เลย  พระพุทธเจ้าข้า"

พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า  "ภิกษุทั้งหลาย
เมื่อมีการจาม  ภิกษุไม่พึงให้พรว่า  'ขอจงมีอายุยืน'
รูปใดให้  ต้องอาบัติทุกกฏ"

สมัยต่อมา  ในคราวที่ภิกษุทั้งหลายจาม
คนทั้งหลายให้พรว่า  "ขอท่านทั้งหลายจงมีอายุยืน"

ภิกษุยำเกรงอยู่  จึงไม่ยอมให้พรตอบ

คนทั้งหลายจึงตำหนิ  ประณาม  โพนทะนาว่า
"ไฉนพวกพระสมณะเชื้อสายศากยบุตร  เมื่อเขาให้พรว่า  'จงมีอายุยืน'
จึงไม่ให้พรตอบเล่า"

ภิกษุทั้งหลายจึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ

พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า
"ภิกษุทั้งหลาย
คนทั้งหลายต้องการความเป็นสิริมงคล
ภิกษุทั้งหลาย
เมื่อพวกคฤหัสถ์ให้พรว่า  'จงมีอายุยืน'
เราอนุญาตให้ภิกษุให้พรตอบว่า  'ท่านก็จงมีอายุยืน"

ภิกษุทั้งหลายพากันกราบทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ธรรมดาการกล่าวโต้ตอบว่า  'จงเป็นอยู่เถิด'  เกิดขึ้นเมื่อไร  พระพุทธเจ้าข้า"

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
"ภิกษุทั้งหลาย
ธรรมดาการกล่าวโต้ตอบกันว่า  'จงเป็นอยู่เถิด'  เกิดขึ้นตั้งแต่โบราณกาล"

แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาตรัสเล่า  ดังต่อไปนี้

ในอดีตกาล
เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี
พระโพธิสัตว์อุบัติในตระกูลพราหมณ์ตระกูลหนึ่งในแคว้นกาสี
บิดาของพระโพธิสัตว์ทำการค้าขายเลี้ยงชีพ

บิดาให้พระโพธิสัตว์ซึ่งมีอายุได้ ๑๖ ปีแบกเครื่องแก้วมณี  เดินทางไปค้าขายในบ้านและนิคมเป็นต้น
ครั้นถึงกรุงพาราณสี  ให้หุงอาหารบริโภคใกล้เรือนของนายประตู
แต่ยังหาที่พักไม่ได้  จึงถามชาวบ้านละแวกนั้นว่า
"คนเดินทางมาเวลาค่ำมืด  จะพักได้ที่ไหนบ้าง"

พวกชาวบ้านบอกว่า
"นอกพระนคร  มีศาลาพักคนเดินทางอยู่หลังหนึ่ง
แต่ศาลานั้นมียักษ์ยึดครอง
ถ้าท่านต้องการ  ก็จงไปพักที่นั่นเถิด"

พระโพธิสัตว์กล่าวว่า
"มาเถิดพ่อ  เราไปพักที่นั่นกันเถิด
ไม่ต้องกลัวยักษ์  ฉันจะปราบยักษ์นั้นเอง"
แล้วก็พาบิดาไปในที่นั้น

เมื่อถึงแล้ว  ก็จัดแจงให้บิดานอนพักบนพื้นกระดาน
ตนเองนั่งนวดเท้าให้บิดา

ยักษ์ซึ่งสิงอยู่ที่ศาลานั้น  อุปัฏฐากท้าวเวสสุวัณ (ราชาแห่งยักษ์) อยู่ ๑๒ ปี
ได้รับพรอนุญาตจากท้าวเวสสุวัณว่า
"บรรดามนุษย์ซึ่งเข้าไปในศาลานี้
ผู้ใดกล่าวในเวลาที่เขาจามว่า  'ขอท่านจงเป็นอยู่เถิด'
และผู้ใดเมื่อเขากล่าวว่า  'จงเป็นอยู่เถิด'
แล้วกล่าวตอบว่า  'ท่านก็เหมือนกัน  ขอให้เป็นอยู่เถิด'
เว้นคนที่กล่าวโต้ตอบเหล่านี้แล้ว  อนุญาตให้กินคนที่เหลือได้"

ยักษ์นั้นอาศัยอยู่ที่ขื่อหัวเสา  คิดว่าจะให้บิดาพระโพธิสัตว์จาม
จึงโรยผงละเอียดลงด้วยอานุภาพของตน

ผงปลิวเข้าไปในโพรงจมูกของเขา
เขาจึงจามทั้งที่นอนอยู่เหนือพื้นกระดาน
พระโพธิสัตว์มิได้กล่าวว่า  "ขอท่านจงเป็นอยู่เถิด"
ยักษ์จึงลงจากขื่อหมายจะกินเขา

พระโพธิสัตว์เห็นยักษ์ไต่ลงมา  จึงคิดว่า
"เจ้ายักษ์นี้เองทำให้บิดาของเราจาม
เจ้านี่คงจะเป็นยักษ์
กินคนที่ไม่กล่าวว่า  'ขอให้ท่านจงเป็นอยู่เถิด'  ในเวลาที่เขาจาม"

ดังนั้น  จึงกล่าวกับบิดาว่า
"ท่านพ่อ  ขอท่านจงมีชีวิตอยู่ถึง ๑๒๐ ปี
ขอพวกปีศาจจงอย่าได้กินผมเลย
ขอท่านจงมีชีวิตอยู่ถึง ๑๒๐ ปีเถิด"

ยักษ์ได้ฟังคำของพระโพธิสัตว์แล้ว  รำพึงว่า
"เราไม่สามารถจะกินชายคนนี้ได้
เพราะเขากล่าวว่า  'ขอให้ท่านจงเป็นอยู่เถิด'
แต่เราจะกินบิดาของเขา"
ว่าแล้วก็ไปหาบิดา

บิดาเห็นยักษ์ตรงมา  คิดว่า
"เจ้ายักษ์นี่คงจะกินคนที่ไม่กล่าวตอบว่า  'ขอให้ท่านจงเป็นอยู่เถิด'
เพราะฉะนั้นเราจักกล่าวตอบ"

จึงกล่าวกับบุตรว่า
"แม้เจ้าก็จงมีชีวิตอยู่ถึง ๑๒๐ ปี
ขอพวกปีศาจจงกินยาพิษ
ขอเจ้าจงมีชีวิตอยู่ถึง ๑๒๐ ปีเถิด"

ยักษ์ได้ฟังดังนั้น  คิดว่า  "เราไม่สามารถกินได้ทั้งสองคน"
จึงถอยกลับ

ลำดับนั้น  พระโพธิสัตว์ถามยักษ์นั้นว่า
"เจ้ายักษ์  เพราะเหตุไรเจ้าจึงกินคนที่เข้ามาในศาลานี้"

ยักษ์ตอบว่า
"เพราะเราอุปัฏฐากท้าวเวสสุวัณอยู่ถึง ๑๒ ปี
ท้าวเวสสุวัณได้ให้พรอนุญาตแก่เรา"

พระโพธิสัตว์ถามว่า  "เจ้ากินได้ทุกคนหรือ"

ยักษ์ตอบว่า  "ยกเว้นคนที่กล่าวตอบกันว่า  'ขอให้ท่านจงเป็นอยู่เถิด'
นอกนั้นเรากินได้หมด"

พระโพธิสัตว์กล่าวว่า
"ยักษ์เอ๋ย  เจ้ากระทำอกุศลไว้ในภพก่อน
เป็นผู้ร้ายกาจ  หยาบคาย  ชอบเบียดเบียนผู้อื่น  จึงมาเป็นยักษ์เช่นนี้
แม้บัดนี้  เจ้าก็ยังทำกรรมเช่นนั้นอีก
เจ้าจะเป็นผู้ชื่อว่า  มืดมาแล้วมืดไป
(มาเพราะอกุศล  แล้วจะไปเพราะอกุศลอีก)
ทางที่ดี  เจ้าจงงดเว้นจากปาณาติบาตเป็นต้น  ตั้งแต่บัดนี้เสียเถิด"

พระโพธิสัตว์ทรมานยักษ์นั้น (ด้วยโทษของการเบียดเบียน)
แล้วขู่ด้วยภัยในนรก  ให้ยักษ์ตั้งอยู่ในศีล ๕
ได้ทำยักษ์ให้อยู่ในโอวาทเหมือนคนรับใช้แล้ว

วันรุ่งขึ้น  พวกชาวบ้านเห็นยักษ์นั้น
และทราบว่าพระโพธิสัตว์ทรมานยักษ์สำเร็จ
จึงพากันไปกราบทูลแด่พระราชาว่า
"ขอเดชะ  มีมาณพคนหนึ่งทรมานยักษ์นั้นได้
ทำให้เหมือนเป็นคนรับใช้  พระเจ้าข้า"

พระราชารับสั่งให้พระโพธิสัตว์เข้าเฝ้า
แล้วทรงตั้งไว้ในตำแหน่งเสนาบดี
และได้พระราชทานยศใหญ่แก่บิดาของเขา

พระราชาทรงกระทำยักษ์ให้ได้รับพลีกรรม
แล้วตั้งอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์  กระทำบุญมีทานเป็นต้น
บำเพ็ญทางไปสวรรค์

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาตรัสจบลงแล้ว
ได้ตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า
"คำโต้ตอบว่า  'ขอให้ท่านจงเป็นอยู่เถิด'
ได้เกิดขึ้นแล้วในกาลนั้น"

พระศาสดาทรงประชุมชาดกว่า
"พระราชาในครั้งนั้น  ได้เป็นอานนท์ในครั้งนี้
บิดา  ได้เป็นกัสสปะ
ส่วนบุตร  ได้เป็นเราตถาคต  ฉะนี้แล"


บทความที่เกี่ยวข้อง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

พยสนสูตร (อังคุตตรนิกาย > ปัญจกนิบาต > ตติยปัณณาสก์ > คิลานวรรค)

กาลียักขินีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > ยมกวรรค)

ปฏาจาราเถรีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > สหัสสวรรค)