สีหนาทสูตร (อังคุตตรนิกาย > นวกนิบาต > ปฐมปัณณาสก์ > สีหนาทวรรค)
สีหนาทสูตร (ว่าด้วยการบันลือสีหนาท)
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี
ครั้งนั้นแล ท่านพระสารีบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาท แล้วนั่ง ณ ที่สมควร
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ข้าพระองค์จำพรรษาอยู่ในกรุงสาวัตถีแล้ว ปรารถนาจะจาริกไปในชนบท"
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
"สารีบุตร เธอจงกำหนดเวลาที่สมควร ณ บัดนี้เถิด"
ลำดับนั้น ท่านพระสารีบุตรลุกจากที่นั่ง ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณแล้วจากไป
ครั้งนั้นแล เมื่อท่านพระสารีบุตรจากไปแล้วไม่นาน
ภิกษุรูปหนึ่งได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ท่านพระสารีบุตรกระทบข้าพระองค์แล้ว ไม่ขอโทษ ก็จาริกไป"
ต่อมา พระผู้มีพระภาครับสั่งเรียกภิกษุรูปหนึ่งมาตรัสว่า
"ภิกษุ เธอจงมา จงไปเรียกสารีบุตรตามคำของเราว่า
'ท่านสารีบุตร พระศาสดาเรียกท่าน"
ภิกษุนั้นทูลสนองรับพระดำรัสพระผู้มีพระภาคแล้ว
เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่ ได้กล่าวกับท่านพระสารีบุตรดังนี้ว่า
"ท่านสารีบุตร พระศาสดารับสั่งเรียกท่าน"
ท่านพระสารีบุตรรับคำแล้ว
สมัยนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะและท่านพระอานนท์ถือลูกกุญแจ เที่ยวประกาศไปในวิหารว่า
"ออกไปเถิด ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย
ออกไปเถิด ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย
บัดนี้ ท่านพระสารีบุตรจักบันลือสีหนาทต่อพระพักตร์พระผู้มีพระภาค"
ครั้นท่านพระสารีบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาท แล้วนั่ง ณ ที่สมควร
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสกับท่านพระสารีบุตรว่า
"สารีบุตร เพื่อนพรหมจารีรูปหนึ่งในธรรมวินัยนี้กล่าวหาเธอว่า
'ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ท่านพระสารีบุตรกระทบข้าพระองค์แล้ว ไม่ขอโทษ ก็จาริกไป"
ท่านพระสารีบุตรกราบทูลว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ภิกษุใดไม่ตั้งมั่นกายคตาสติ (สติไปในกาย) ไว้ในกาย
ภิกษุนั้นกระทบเพื่อนพรหมจารีรูปใดรูปหนึ่งในธรรมวินัยนี้แล้ว ไม่ขอโทษ ก็พึงจาริกไปเป็นแน่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
๑. ชนทั้งหลายย่อมทิ้งของสะอาดบ้าง ทิ้งของไม่สะอาดบ้าง
ทิ้งคูถบ้าง ทิ้งมูตรบ้าง ทิ้งน้ำลายบ้าง ทิ้งหนองบ้าง ทิ้งเลือดบ้าง ลงบนแผ่นดิน
แต่แผ่นดินก็ไม่อึดอัด ระอา หรือรังเกียจสิ่งนั้น แม้ฉันใด
ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
มีใจเสมอด้วยแผ่นดิน ไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ ไม่มีขอบเขต ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุใดไม่ตั้งมั่นกายคตาสติไว้ในกาย
ภิกษุนั้นกระทบเพื่อนพรหมจารีรูปใดรูปหนึ่งในพระธรรมวินัยนี้แล้ว ไม่ขอโทษ พึงจาริกไปเป็นแน่
๒. ชนทั้งหลายย่อมล้างของสะอาดบ้าง ล้างของไม่สะอาดบ้าง
ล้างคูถบ้าง ล้างมูตรบ้าง ล้างน้ำลายบ้าง ล้างหนองบ้าง ล้างเลือดบ้าง ในน้ำ
แต่น้ำก็ไม่อึดอัด ระอา หรือรังเกียจสิ่งนั้น แม้ฉันใด
ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
มีใจเสมอด้วยน้ำ ไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ ไม่มีขอบเขต ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุใดไม่ตั้งมั่นกายคตาสติไว้ในกาย
ภิกษุนั้นกระทบเพื่อนพรหมจารีรูปใดรูปหนึ่งในพระธรรมวินัยนี้แล้ว ไม่ขอโทษ พึงจาริกไปเป็นแน่
๓. ไฟย่อมไหม้ของสะอาดบ้าง ไหม้ของไม่สะอาดบ้าง
ไหม้คูถบ้าง ไหม้มูตรบ้าง ไหม้น้ำลายบ้าง ไหม้หนองบ้าง ไหม้เลือดบ้าง
แต่ไฟก็ไม่อึดอัด ระอา หรือรังเกียจสิ่งนั้น แม้ฉันใด
ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
มีใจเสมอด้วยไฟ ไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ ไม่มีขอบเขต ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุใดไม่ตั้งมั่นกายคตาสติไว้ในกาย
ภิกษุนั้นกระทบเพื่อนพรหมจารีรูปใดรูปหนึ่งในพระธรรมวินัยนี้แล้ว ไม่ขอโทษ พึงจาริกไปเป็นแน่
๔. ลมย่อมพัดของสะอาดบ้าง พัดของไม่สะอาดบ้าง
พัดคูถบ้าง พัดมูตรบ้าง พัดน้ำลายบ้าง พัดหนองบ้าง พัดเลือดบ้าง
แต่ลมก็ไม่อึดอัด ระอา หรือรังเกียจสิ่งนั้น แม้ฉันใด
ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
มีใจเสมอด้วยลม ไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ ไม่มีขอบเขต ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุใดไม่ตั้งมั่นกายคตาสติไว้ในกาย
ภิกษุนั้นกระทบเพื่อนพรหมจารีรูปใดรูปหนึ่งในพระธรรมวินัยนี้แล้ว ไม่ขอโทษ พึงจาริกไปเป็นแน่
๕. ผ้าเช็ดธุลีย่อมเช็ดของสะอาดบ้าง เช็ดของไม่สะอาดบ้าง
เช็ดคูถบ้าง เช็ดมูตรบ้าง เช็ดน้ำลายบ้าง เช็ดหนองบ้าง เช็ดเลือดบ้าง
แต่ผ้าเช็ดธุลีก็ไม่อึดอัด ระอา หรือรังเกียจสิ่งนั้น แม้ฉันใด
ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
มีใจเสมอด้วยผ้าเช็ดธุลี ไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ ไม่มีขอบเขต ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุใดไม่ตั้งมั่นกายคตาสติไว้ในกาย
ภิกษุนั้นกระทบเพื่อนพรหมจารีรูปใดรูปหนึ่งในพระธรรมวินัยนี้แล้ว ไม่ขอโทษ พึงจาริกไปเป็นแน่
๖. เด็กจัณฑาลผู้ชายหรือเด็กจัณฑาลผู้หญิง หิ้วตะกร้า นุ่งผ้าชายขาด
เมื่อเข้าไปสู่บ้านหรือนิคม ย่อมตั้งจิตนอบน้อมเท่านั้นเข้าไป แม้ฉันใด
ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
มีใจเสมอด้วยเด็กจัณฑาลผู้ชายหรือเด็กจัณฑาลผู้หญิง ไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ ไม่มีขอบเขต ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุใดไม่ตั้งมั่นกายคตาสติไว้ในกาย
ภิกษุนั้นกระทบเพื่อนพรหมจารีรูปใดรูปหนึ่งในพระธรรมวินัยนี้แล้ว ไม่ขอโทษ พึงจาริกไปเป็นแน่
๗. โคผู้เขาหัก สงบเสงี่ยม ได้รับการฝึกมาดี ได้รับการแนะนำมาดี ให้สำเหนียกดี
เดินไปตามถนนหนทาง ตามทางแยกน้อยใหญ่ ไม่ดีดหรือขวิดใคร ๆ แม้ฉันใด
ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
มีใจเสมอด้วยโคผู้เขาหัก ไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ ไม่มีขอบเขต ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุใดไม่ตั้งมั่นกายคตาสติไว้ในกาย
ภิกษุนั้นกระทบเพื่อนพรหมจารีรูปใดรูปหนึ่งในพระธรรมวินัยนี้แล้ว ไม่ขอโทษ พึงจาริกไปเป็นแน่
๘. สตรีหรือบุรุษที่ยังหนุ่มสาว มีปกติชอบแต่งตัว สรงน้ำดำหัวแล้ว
พึงอึดอัด ระอา หรือรังเกียจซากงู ซากสุนัข หรือซากมนุษย์ที่คล้องคอไว้ แม้ฉันใด
ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ย่อมอึดอัด ระอา รังเกียจกายอันเปื่อยเน่านี้
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุใดไม่ตั้งมั่นกายคตาสติไว้ในกาย
ภิกษุนั้นกระทบเพื่อนพรหมจารีรูปใดรูปหนึ่งในพระธรรมวินัยนี้แล้ว ไม่ขอโทษ พึงจาริกไปเป็นแน่
๙. บุรุษประคองถาดมันข้นที่มีช่องน้อยใหญ่
น้ำไหลออกได้ข้างบน ไหลออกได้ข้างล่าง แม้ฉันใด
ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ย่อมบริหารกายนี้ที่มีช่องน้อยช่องใหญ่ ไหลเข้าไหลออกอยู่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุใดไม่ตั้งมั่นกายคตาสติไว้ในกาย
ภิกษุนั้นกระทบเพื่อนพรหมจารีรูปใดรูปหนึ่งในพระธรรมวินัยนี้แล้ว ไม่ขอโทษ พึงจาริกไปเป็นแน่"
ลำดับนั้น
ภิกษุรูปนั้นลุกจากอาสนะ ห่มจีวรเฉวียงบ่า หมอบลงแทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้า
แล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
โทษได้มาถึงข้าพระองค์ผู้เป็นคนพาล เป็นคนหลง เป็นคนไม่ฉลาด
ที่ได้กล่าวตู่ท่านพระสารีบุตร
ด้วยคำที่ไม่มีอยู่ เปล่าประโยชน์ เป็นเรื่องเท็จ ไม่เป็นจริง
ขอพระผู้มีพระภาคโปรดอดโทษแก่ข้าพระองค์
เพื่อความสำรวมต่อไปเถิด"
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
"โทษได้มาถึงเธอผู้เป็นคนพาล เป็นคนหลง เป็นคนไม่ฉลาด
ที่เธอได้กล่าวตู่สารีบุตร
ด้วยคำที่ไม่มีอยู่ เปล่าประโยชน์ เป็นเรื่องเท็จ ไม่เป็นจริง
แต่เพราะเธอเห็นโทษโดยความเป็นโทษ
แล้วทำคืนตามธรรม (สารภาพตามความเป็นจริง)
เราย่อมอดโทษนั้นแก่เธอ
การที่ภิกษุเห็นโทษโดยความเป็นโทษ
แล้วทำคืนตามธรรม (สารภาพตามความเป็นจริง)
ถึงความสำรวมต่อไป
วิธีนี้เป็นความเจริญในวินัยของพระอริยเจ้า"
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสกับท่านพระสารีบุตรดังนี้ว่า
"สารีบุตร เธอจงอดโทษให้แก่โมฆบุรุษผู้นี้เถิด
ก่อนที่ศีรษะของเขาจะแตกเป็น ๗ เสี่ยงเพราะโทษนั้นนั่นเอง"
ท่านพระสารีบุตรกราบทูลว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ข้าพระองค์จะอดโทษแก่ท่านรูปนั้น ถ้าท่านรูปนั้นได้กล่าวกับข้าพระองค์อย่างนี้ว่า
'ขอท่านผู้มีอายุนั้นจงอดโทษแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด"
สีหนาทสูตร จบ
บทความที่เกี่ยวข้อง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น