อุตตราอุปาสิกาวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > โกธวรรค)
อุตตราอุปาสิกาวัตถุ (เรื่องนางอุตตราอุบาสิกา)
พระผู้มีพระภาคเมื่อประทับอยู่ในพระวิหารเวฬุวัน
ทรงทำภัตกิจในเรือนของนางอุตตรา ทรงปรารภนางอุตตรา แล้วตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า
ได้ยินว่า คนขัดสนชื่อปุณณะ อาศัยสุมนเศรษฐี รับจ้างเลี้ยงชีพอยู่ในกรุงราชคฤห์
ในเรือนของเขามีคน ๒ คนเท่านั้น คือภรรยาของเขาคนหนึ่ง และธิดาชื่อนางอุตตราอีกคนหนึ่ง
ต่อมาวันหนึ่ง พวกราชบุรุษป่าวประกาศในกรุงราชคฤห์ว่า
"ชาวพระนครพึงเล่นนักษัตร (มหรสพ) กันตลอด ๗ วัน"
สุมนเศรษฐีได้ยินคำประกาศนั้นแล้ว จึงเรียกนายปุณณะผู้มาแต่เช้าตรู่ กล่าวว่า
"พ่อ บริวารคนอื่น ๆ ของฉันประสงค์จะเล่นนักษัตรกัน แกจักเล่นนักษัตรด้วยไหม หรือว่าจักทำการรับจ้าง"
นายปุณณะกล่าวว่า
"นาย ชื่อว่าการเล่นนักษัตรย่อมเป็นของพวกท่านผู้มีทรัพย์
ก็ในเรือนของผมแม้ข้าวสารจะต้มข้าวต้มเพื่อรับประทานในวันพรุ่งนี้ก็ไม่มี
ผมจะต้องการอะไรด้วยนักษัตรเล่า
ผมได้โคเเล้ว ก็จักไปไถนาครับ"
สุมนเศรษฐีกล่าวว่า "ถ้าเช่นนั้น แกจงรับโคไปเถิด"
เขารับโคตัวทรงกำลังและไถแล้ว พูดกะภรรยาว่า
"นางผู้เจริญ วันนี้ชาวพระนครเล่นนักษัตรกัน
แต่ฉันต้องไปทำการรับจ้าง เพราะความที่เราเป็นคนจน
วันนี้ เจ้าพึงต้มผักสัก ๒ เท่า แล้วนำภัตไปให้เราด้วย"
แล้วจึงได้ไปนา
ในวันนั้นออกแล้ว ตรวจดูว่า "วันนี้ เราควรจะทำความสงเคราะห์แก่ใครหนอแล"
เห็นนายปุณณะซึ่งเข้าไปในข่ายคือญาณของตนแล้ว จึงตรวจดูว่า
"นายปุณณะนี้มีศรัทธาหรือไม่หนอ เขาจักอาจทำการสงเคราะห์แก่เราหรือไม่หนอ"
ก็ทราบความที่เขามีศรัทธา มีความสามารถจะทำการสงเคราะห์ได้
และเขาจะได้รับสมบัติใหญ่เพราะบุญนั้นเป็นปัจจัยแล้ว
ท่านพระสารีบุตรจึงถือบาตรและจีวรไปยังที่ไถนาของเขา ได้ยืนแลดูพุ่มไม้ที่ริมบ่อ
นายปุณณะเห็นพระเถระแล้ว จึงวางไถ
ไหว้พระเถระด้วยเบญจางคประดิษฐ์แล้ว คิดว่า
"พระเถระคงจักต้องการไม้สีฟัน"
จึงได้ทำไม้สีฟันให้เป็นกัปปิยะถวาย
ลำดับนั้น พระเถระได้นำเอาบาตรและผ้ากรองน้ำออกมาให้เขา
เขาคิดว่า "พระเถระจักมีความต้องการด้วยน้ำดื่ม"
จึงถือเอาบาตรและผ้ากรองน้ำนั้นแล้ว ได้กรองน้ำดื่มถวาย
พระเถระคิดว่า "นายปุณณะนี้อยู่เรือนหลังท้ายของชนเหล่าอื่น
ถ้าเราจักไปสู่เรือนของเขา ภรรยาของนายปุณณะนี้จักไม่ได้เห็นเรา
เราจักต้องอยู่ ณ ที่นี้แหละ
จนกว่าภรรยาของเขาจักเดินทางนำภัตมาให้เขา"
พระเถระได้ยังเวลาให้ล่วงไปเล็กน้อย ณ ที่นั้นเอง
ทราบความที่ภรรยาของนายปุณณะนั้นออกจากเรือนกำลังมาที่นาแล้ว
จึงเดินมุ่งหน้าไปภายในพระนคร
เขาตื่นขึ้น แลเห็นดังนั้นแล้ว จึงพูดกะภรรยาว่า
"นางผู้เจริญ ที่ที่ฉันไถแล้วนั้นปรากฏแก่ฉันเป็นทองคำทั้งหมด
เพราะฉันได้ภัตสายเกินไป ตาจะลายไปกระมังหนอ"
แม้ภรรยาของเขาก็รับรองว่า
"ที่นั้น ก็ย่อมปรากฏแม้แก่ดิฉันอย่างนั้นเหมือนกัน"
เขาลุกขึ้นไปในที่นั้น จับก้อนหนึ่งตีที่งอนไถแล้ว ทราบว่าเป็นทองคำ จึงคิดว่า
"โอ ทานที่เราถวายแก่พระผู้เป็นเจ้าธรรมเสนาบดี แสดงผลในวันนี้เอง
ก็เราไม่อาจที่จะซ่อนทรัพย์ประมาณเท่านี้ไว้ใช้สอยได้"
จึงเอาทองคำใส่เต็มถาดข้าวที่ภรรยานำมา แล้วได้ไปสู่ราชตระกูล
เมื่อพระราชาพระราชทานโอกาสให้เข้าเฝ้าแล้ว จึงเข้าไปถวายบังคมพระราชา
พระราชาตรัสถามว่า "มีเรื่องอะไร พ่อ"
เขากราบทูลว่า "ข้าแต่สมมติเทวราช
ที่ที่ข้าพระองค์ไถแล้วในวันนี้ทั้งหมดเป็นที่เต็มไปด้วยทองคำทั้งนั้นตั้งอยู่แล้ว
พระองค์ควรจะรับสั่งให้ขนทองคำมาไว้"
พระราชาตรัสถามว่า "ท่านเป็นใคร"
นายปุณณะกราบทูลว่า "ข้าพระองค์ชื่อปุณณะ"
พระราชาตรัสว่า "ก็วันนี้ ท่านทำอะไรมาเล่า"
นายปุณณะกราบทูลว่า "เช้าตรู่วันนี้ ข้าพระองค์ได้ถวายไม้สีฟันและน้ำบ้วนปากแก่พระธรรมเสนาบดี
ส่วนภรรยาของข้าพระองค์ได้ถวายภัตที่เขานำมาให้ข้าพระองค์แก่พระธรรมเสนาบดีนั้นเหมือนกัน"
พระราชาทรงสดับคำนั้นแล้วตรัสว่า
"พ่อผู้เจริญ ทานที่ท่านถวายพระธรรมเสนาบดี แสดงวิบากในวันนี้เอง"
แล้วตรัสถามว่า "พ่อ จะให้เราทำอย่างไร"
นายปุณณะกราบทูลว่า
"ขอพระองค์จงส่งเกวียนไปหลาย ๆ พัน ให้นำทองคำมาเถิด"
พระราชาทรงส่งเกวียนทั้งหลายไปแล้ว
เมื่อพวกราชบุรุษพูดว่า "เป็นของพระราชา" แล้วหยิบขึ้นมา
ทองคำที่เขาถือเอาแล้ว ๆ กลายเป็นดินอย่างเดิม
พวกเขาไปทูลพระราชา
พระราชาตรัสถามว่า "ก็พวกเจ้าพูดว่าอะไรจึงหยิบขึ้นมา"
พวกราชบุรุษกราบทูลว่า "พูดว่า 'เป็นราชทรัพย์ของพระองค์"
พระราชาตรัสว่า "หาใช่ทรัพย์ของเราไม่ พวกเจ้าจงไป
จงพูดว่า 'เป็นทรัพย์ของนายปุณณะ' แล้วจึงหยิบขึ้นมาเถิด"
พวกราชบุรุษกลับไปทําตามนั้น
ทองคำที่เขาถือแล้ว ๆ ได้เป็นทองคำแท้
พวกเขาจึงขนทองคำนั้นทั้งหมดมาทำเป็นกองไว้ที่ท้องพระลานหลวง
ทองคําทั้งหมดนั้นได้กองสูงประมาณ ๘๐ ศอก
"ในพระนครนี้ ใครมีทองคำถึงเพียงนี้บ้าง"
ชาวพระนครกราบทูลว่า "ไม่มี พระเจ้าข้า"
พระราชาตรัสว่า "ก็เราควรจะให้อะไรแก่นายปุณณะเล่า"
ชาวพระนครกราบทูลว่า "ฉัตรสำหรับเศรษฐี พระเจ้าข้า"
พระราชาตรัสว่า "นายปุณณะจงเป็นเศรษฐีชื่อพหุธนเศรษฐี"
แล้วได้พระราชทานฉัตรสำหรับเศรษฐีแก่เขาพร้อมด้วยโภคะมากมาย
ครั้งนั้น เขากราบทูลพระราชาว่า "ข้าแต่สมมติเทวราช
ข้าพระองค์ทั้งหลายอาศัยอยู่ในตระกูลอื่นตลอดเวลาถึงเพียงนี้
ขอพระองค์ได้โปรดประทานที่อยู่แก่ข้าพระองค์เถิด"
พระราชาตรัสว่า "ถ้ากระนั้น ท่านจงดูกอไม้ทางด้านทักษิณนั้น
จงนำกอไม้นั่นออก แล้วให้ช่างทำเรือนเถิด"
ดังนี้แล้ว ก็ตรัสบอกที่เรือนของเศรษฐีเก่า
เขาให้ช่างทำเรือนในที่นั้นโดย ๒ - ๓ วันเท่านั้น
ทำเคหปปเวสนมงคล (มงคลที่ทำในเวลาเข้าไปสู่เรือน)
และฉัตรมงคล (มงคลที่ทำในงานฉลองฉัตร) ให้เป็นงานเดียวกัน
ได้ถวายทานแด่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขตลอด ๗ วัน
ครั้งนั้น พระศาสดาเมื่อจะทรงทำอนุโมทนาแก่เขา จึงตรัสอนุปุพพีกถาแล้ว
ในกาลจบธรรมกถา ชนทั้ง ๓ คือ ปุณณเศรษฐี ๑ ภรรยาของเขา ๑ นางอุตตราผู้เป็นธิดา ๑ ได้เป็นพระโสดาบันแล้ว
[ ธิดาปุณณเศรษฐีได้เป็นภรรยาบุตรสุมนเศรษฐี ]
ในกาลต่อมา
เศรษฐีในกรุงราชคฤห์ขอธิดาของปุณณเศรษฐีให้บุตรของตน
ปุณณเศรษฐีพูดว่า "ผมให้ไม่ได้"
เศรษฐีในกรุงราชคฤห์พูดว่า "จงอย่าทำอย่างนั้น
ท่านอาศัยฉันอยู่ตลอดเวลาถึงเพียงนี้ทีเดียว จึงได้สมบัตินี้
จงให้ธิดาแก่บุตรของฉันเถิด"
ปุณณเศรษฐีจึงกล่าวว่า "บุตรของท่านนั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ
ส่วนธิดาของผมเหินห่างจากพระรัตนะทั้งสามแล้วไม่อาจอยู่ไปได้
ผมจึงจักยกธิดาให้บุตรของท่านไม่ได้เลย"
ครั้งนั้น กุลบุตรทั้งหลายมีเศรษฐีและคฤหบดีเป็นต้นเป็นอันมากช่วยกันวิงวอนเขาว่า
"อย่าทำลายความสนิทสนมกับด้วยเศรษฐีในกรุงราชคฤห์นั้น
จงยกธิดาให้บุตรของเขาเถิด"
เขารับคำของกุลบุตรเหล่านั้นแล้วได้ยกธิดาให้ในดิถีเพ็ญเดือนอาสฬหะ
จำเดิมแต่เวลาไปสู่เรือนตระกูลสามีแล้ว
นางอุตตรามิได้มีโอกาสเข้าไปหาภิกษุหรือภิกษุณี หรือเพื่อถวายทานหรือฟังธรรมเลย
เมื่อล่วงไปได้ประมาณ ๒ เดือนครึ่งด้วยอาการอย่างนี้
นางจึงถามสาวใช้ผู้อยู่ในสำนักว่า "เวลาในพรรษายังเหลืออีกเท่าไร"
สาวใช้ตอบว่า "ยังอยู่อีกครึ่งเดือน คุณแม่"
นางอุตตราส่งข่าวไปให้บิดาว่า "เหตุไฉนบิดาจึงขังดิฉันไว้ในเรือนเช่นนี้
การที่บิดาทำฉันให้เป็นคนเสียโฉม
แล้วประกาศว่าเป็นทาสีของชนพวกอื่น ยังจะประเสริฐกว่า
การที่ยกให้แก่ตระกูลมิจฉาทิฏฐิเห็นปานนี้ ไม่ประเสริฐเลย
ตั้งแต่ดิฉันมาแล้ว ดิฉันไม่ได้ทำบุญแม้สักอย่างในประเภทบุญมีการพบเห็นภิกษุเป็นต้นเลย"
ลำดับนั้น ปุณณเศรษฐีรู้สึกไม่สบายใจ ด้วยคิดว่า
"ธิดาของเราได้รับทุกข์หนอ"
จึงส่งทรัพย์ไป ๑๕,๐๐๐ กหาปณะ ด้วยสั่งว่า
"ในนครนี้มีหญิงคณิกาชื่อสิริมา
เจ้าจงบอกกับนางว่า 'หล่อนจงรับทรัพย์วันละ ๑,๐๐๐ กหาปณะ'
แล้วนำนางมาด้วยกหาปณะเหล่านี้ ทำให้เป็นนางบำเรอของสามี
ส่วนตัวเจ้าจงทำบุญทั้งหลายเถิด"
นางอุตตราให้เชิญนางสิริมามาแล้วพูดว่า
"สหาย เธอจงรับกหาปณะเหล่านี้
แล้วบำเรอชายสหายของเธอสักกึ่งเดือนนี้เถิด"
นางสิริมานั้นรับรองว่า "ดีละ"
แล้วนางอุตตราจึงพานางไปหาสามี
เมื่อสามีนั้นเห็นนางสิริมาแล้ว กล่าวว่า "อะไรกันนี่"
นางอุตตราจึงบอกว่า "นาย ขอให้หญิงสหายของดิฉันบำเรอนายตลอดกึ่งเดือนนี้
ส่วนดิฉันใคร่จะถวายทานและฟังธรรม ตลอดกึ่งเดือนนี้"
เศรษฐีบุตรเห็นนางมีรูปงาม เกิดความสิเนหา จึงรับรองว่า "ดีละ"
แต่มาอยู่ในเรือนนั้นตลอดกึ่งเดือน เสวยสมบัตินั้นอยู่
ก็ยังไม่รู้ตัวว่าเป็นคนนอก ได้ทำความสำคัญว่าเป็นแม่เจ้าเรือน
นางผูกอาฆาตต่อนางอุตตราว่า "จักต้องทำทุกข์ให้เกิดแก่มัน"
จึงลงจากปราสาท เข้าไปสู่โรงครัวใหญ่นั้น
เอาทัพพีตักเนยใสอันเดือดพล่านในที่ทอดขนม
แล้วเดินมุ่งหน้าตรงไปหานางอุตตรา
นางอุตตราเห็นนางสิริมาเดินมา จึงแผ่เมตตาไปถึงนางว่า
"หญิงสหายของเราทำอุปการะแก่เรามาก
จักรวาลก็แคบเกินไป พรหมโลกก็ต่ำนัก
ส่วนคุณของหญิงสหายเราใหญ่มาก
ก็เราอาศัยนางนั่น จึงได้มีโอกาสถวายทานและฟังธรรม
ถ้าเรามีความโกรธต่อนางสิริมานั้น เนยใสนี้จงลวกเราเถิด
ถ้าเราไม่มีความโกรธ เนยใสนี้อย่าลวกเราเลย"
เนยใสซึ่งเดือดพล่านที่นางสิริมานั้นรดลงเบื้องบนนางอุตตรานั้น
ได้เป็นเหมือนน้ำเย็น
นางสิริมาคิดว่า "เนยใสนี้คงเย็นแล้ว"
จึงเดินกลับไปตักเนยใสมาใหม่อีก
ลำดับนั้น พวกทาสีของนางอุตตราเห็นแล้ว จึงคุกคามว่า
"นางคนถ่อย เจ้าจงหลีกไป
เจ้าไม่ควรจะรดเนยใสที่เดือดพล่านบนแม่เจ้าของพวกเรา"
แล้วต่างลุกขึ้นใช้มือบ้าง เท้าบ้าง ทุบถีบให้ล้มลงบนพื้น
ทีนั้น นางอุตตราจึงห้ามทาสีทุกคนที่ยืนคร่อมอยู่ข้างบนนางสิริมานั้น
แล้วถามว่า "เธอทำกรรมหนักถึงปานนี้เพราะอะไร"
ดังนี้แล้ว ให้โอวาทนางสิริมา
แล้วพานางไปอาบด้วยน้ำอุ่น ทาด้วยน้ำมันที่หุงตั้ง ๑๐๐ ครั้ง
"เรารดเนยใสที่เดือดพล่านลงเบื้องบนนางอุตตรานี้
เพราะเหตุเพียงความหัวเราะของสามี เราทำกรรมหนักแล้ว
นางอุตตรานี้ไม่สั่งบังคับพวกทาสีว่า 'พวกเธอจงจับเขาไว้'
แต่กลับห้ามพวกทาสีทั้งหมดแม้ในเวลาที่ข่มเหงเรา
ได้ทำกรรมที่ควรแก่เราทั้งนั้น
ถ้าเราไม่ขอให้นางอุตตรานี้อดโทษให้ ศีรษะของเราจะพึงแตกออก ๗ เสี่ยง"
ดังนี้แล้ว จึงหมอบลงแทบเท้าของนางอุตตรานั้น แล้วกล่าวว่า
"คุณแม่ ขอคุณแม่จงอดโทษให้ดิฉันเถิด"
นางอุตตรา "ดิฉันเป็นธิดาที่มีบิดา เมื่อบิดาอดโทษให้ ดิฉันก็จักอดโทษให้"
นางสิริมา "คุณแม่ ข้อนั้นจงยกไว้เถิด ดิฉันจักให้ท่านปุณณเศรษฐีผู้บิดาของคุณแม่อดโทษให้ด้วย"
นางอุตตรา "ท่านปุณณะเป็นบิดาบังเกิดเกล้าของคุณแม่ในวัฏฏะ
แต่เมื่อบิดาผู้บังเกิดเกล้าในวิวัฏฏะอดโทษให้ ดิฉันจึงจักอดโทษ"
นางสิริมา "ก็ใครเล่าเป็นบิดาบังเกิดเกล้าของคุณแม่ในวิวัฎฎะ"
นางอุตตรา "พระสัมมาสัมพุทธเจ้า"
นางสิริมา "ดิฉันไม่มีความคุ้นเคยกับพระองค์"
นางอุตตรา "ฉันจักทำเอง พรุ่งนี้พระศาสดาจักทรงพาภิกษุสงฆ์เสด็จมาที่นี้
เธอจงถือสักการะตามแต่จะได้มาที่นี้แหละ แล้วขอให้พระองค์อดโทษเถิด"
นางสิริมานั้นรับว่า "ดีละ คุณแม่"
แล้วลุกขึ้น ไปสู่เรือนของตน
สั่งหญิงบริวาร ๕๐๐ ให้ตระเตรียมของฉันและของเคี้ยวอันประณีตหลายอย่าง
แต่ไม่กล้าจะใส่บาตรภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข จึงได้ยืนอยู่
นางอุตตรารับเอาสิ่งของทั้งหมดนั้นมาจัดแล้ว
ในเวลาเสร็จภัตกิจ นางสิริมาพร้อมด้วยบริวารหมอบลงแทบเบื้อง
พระบาทของพระศาสดา
ครั้งนั้น พระศาสดาตรัสถามนางว่า "เจ้ามีความผิดอะไร"
นางสิริมากราบทูลว่า "วานนี้ หม่อมฉันได้ทำกรรมชื่อนี้
เมื่อเป็นเช่นนั้น หญิงสหายของหม่อมฉันยังห้ามทาสีซึ่งเบียดเบียนหม่อมฉัน
นางได้ทำอุปการะแก่หม่อมฉันโดยแท้
หม่อมฉันนั้นรู้สึกถึงคุณของนางนี้ จึงขอให้นางนี้อดโทษ
เมื่อเป็นเช่นนั้น นางกล่าวกะหม่อมฉันว่า
'เมื่อพระองค์ทรงอดโทษให้ จึงจักอดโทษให้' พระพุทธเจ้าข้า"
พระศาสดาตรัสถามว่า "อุตตรา เป็นอย่างนั้นหรือ"
นางอุตตรากราบทูลว่า "อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า
วานนี้หญิงสหายของหม่อมฉันได้รดเนยใสที่เดือดพล่านบนศีรษะของหม่อมฉัน"
พระศาสดา "เมื่อเป็นเช่นนั้น เธอคิดอย่างไร"
นางอุตตรากราบทูลว่า "หม่อมฉันคิดอย่างนั้นว่า
'จักรวาลแคบนัก พรหมโลกก็ยังต่ำเกินไป
คุณของหญิงสหายข้าพระองค์เท่านั้นใหญ่
เพราะหม่อมฉันอาศัยนาง จึงได้มีโอกาสถวายทานและฟังธรรม
ถ้าหม่อมฉันมีความโกรธต่อนาง เนยใสที่เดือดพล่านนี้จงลวกหม่อมฉันเถิด
ถ้าหาไม่แล้ว ขออย่าลวกเลย'
แล้วได้เเผ่เมตตาไปยังนางสิริมานี้ พระพุทธเจ้าข้า"
พระศาสดาตรัสว่า "ดีละ ดีละ อุตตรา
การชนะความโกรธอย่างนั้น สมควร
ก็ธรรมดาคนมักโกรธ พึงชนะด้วยความไม่โกรธ
คนด่าเขา ตัดพ้อเขา พึงชนะได้ด้วยความไม่ด่าตอบ ไม่ตัดพ้อตอบ
คนตระหนี่จัด พึงชนะได้ด้วยการให้ของตน
คนมักพูดเท็จ พึงชนะได้ด้วยคำจริง"
ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
"พึงชนะคนโกรธ ด้วยความไม่โกรธ
พึงชนะคนไม่ดี ด้วยความดี
พึงชนะคนตระหนี่ ด้วยการให้
พึงชนะคนพูดเหลวไหล ด้วยคำจริง"
ในกาลจบเทศนา
นางสิริมาพร้อมด้วยญาติทั้ง ๕๐๐ ตั้งอยู่แล้วในโสดาปัตติผล ดังนี้แล
ทรงทำภัตกิจในเรือนของนางอุตตรา ทรงปรารภนางอุตตรา แล้วตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า
[ นายปุณณะยากจนต้องรับจ้างสุมนเศรษฐี ]
อนุปุพพีกถาในเรื่องอุตตราอุบาสิกานั้น ดังต่อไปนี้ได้ยินว่า คนขัดสนชื่อปุณณะ อาศัยสุมนเศรษฐี รับจ้างเลี้ยงชีพอยู่ในกรุงราชคฤห์
ในเรือนของเขามีคน ๒ คนเท่านั้น คือภรรยาของเขาคนหนึ่ง และธิดาชื่อนางอุตตราอีกคนหนึ่ง
ต่อมาวันหนึ่ง พวกราชบุรุษป่าวประกาศในกรุงราชคฤห์ว่า
"ชาวพระนครพึงเล่นนักษัตร (มหรสพ) กันตลอด ๗ วัน"
สุมนเศรษฐีได้ยินคำประกาศนั้นแล้ว จึงเรียกนายปุณณะผู้มาแต่เช้าตรู่ กล่าวว่า
"พ่อ บริวารคนอื่น ๆ ของฉันประสงค์จะเล่นนักษัตรกัน แกจักเล่นนักษัตรด้วยไหม หรือว่าจักทำการรับจ้าง"
นายปุณณะกล่าวว่า
"นาย ชื่อว่าการเล่นนักษัตรย่อมเป็นของพวกท่านผู้มีทรัพย์
ก็ในเรือนของผมแม้ข้าวสารจะต้มข้าวต้มเพื่อรับประทานในวันพรุ่งนี้ก็ไม่มี
ผมจะต้องการอะไรด้วยนักษัตรเล่า
ผมได้โคเเล้ว ก็จักไปไถนาครับ"
สุมนเศรษฐีกล่าวว่า "ถ้าเช่นนั้น แกจงรับโคไปเถิด"
เขารับโคตัวทรงกำลังและไถแล้ว พูดกะภรรยาว่า
"นางผู้เจริญ วันนี้ชาวพระนครเล่นนักษัตรกัน
แต่ฉันต้องไปทำการรับจ้าง เพราะความที่เราเป็นคนจน
วันนี้ เจ้าพึงต้มผักสัก ๒ เท่า แล้วนำภัตไปให้เราด้วย"
แล้วจึงได้ไปนา
[ พระสารีบุตรเถระไปสงเคราะห์นายปุณณะ ]
แม้ในกาลนั้น พระสารีบุตรเถระเข้านิโรธสมาบัติตลอด ๗ วันแล้วในวันนั้นออกแล้ว ตรวจดูว่า "วันนี้ เราควรจะทำความสงเคราะห์แก่ใครหนอแล"
เห็นนายปุณณะซึ่งเข้าไปในข่ายคือญาณของตนแล้ว จึงตรวจดูว่า
"นายปุณณะนี้มีศรัทธาหรือไม่หนอ เขาจักอาจทำการสงเคราะห์แก่เราหรือไม่หนอ"
ก็ทราบความที่เขามีศรัทธา มีความสามารถจะทำการสงเคราะห์ได้
และเขาจะได้รับสมบัติใหญ่เพราะบุญนั้นเป็นปัจจัยแล้ว
ท่านพระสารีบุตรจึงถือบาตรและจีวรไปยังที่ไถนาของเขา ได้ยืนแลดูพุ่มไม้ที่ริมบ่อ
นายปุณณะเห็นพระเถระแล้ว จึงวางไถ
ไหว้พระเถระด้วยเบญจางคประดิษฐ์แล้ว คิดว่า
"พระเถระคงจักต้องการไม้สีฟัน"
จึงได้ทำไม้สีฟันให้เป็นกัปปิยะถวาย
ลำดับนั้น พระเถระได้นำเอาบาตรและผ้ากรองน้ำออกมาให้เขา
เขาคิดว่า "พระเถระจักมีความต้องการด้วยน้ำดื่ม"
จึงถือเอาบาตรและผ้ากรองน้ำนั้นแล้ว ได้กรองน้ำดื่มถวาย
พระเถระคิดว่า "นายปุณณะนี้อยู่เรือนหลังท้ายของชนเหล่าอื่น
ถ้าเราจักไปสู่เรือนของเขา ภรรยาของนายปุณณะนี้จักไม่ได้เห็นเรา
เราจักต้องอยู่ ณ ที่นี้แหละ
จนกว่าภรรยาของเขาจักเดินทางนำภัตมาให้เขา"
พระเถระได้ยังเวลาให้ล่วงไปเล็กน้อย ณ ที่นั้นเอง
ทราบความที่ภรรยาของนายปุณณะนั้นออกจากเรือนกำลังมาที่นาแล้ว
จึงเดินมุ่งหน้าไปภายในพระนคร
[ ภรรยานายปุณณะถวายภัตแก่พระเถระ ]
นางพบพระเถระในระหว่างทางแล้ว คิดว่า
"บางคราว เมื่อมีไทยธรรม เราก็ไม่พบพระผู้เป็นเจ้า
บางคราว เมื่อเราพบพระผู้เป็นเจ้า ไทยธรรมก็ไม่มี
แต่ในวันนี้ เราได้พบพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ทั้งไทยธรรมก็มีอยู่
พระผู้เป็นเจ้าจักทำความอนุเคราะห์แก่เราหรือไม่หนอ"
นางวางภาชนะใส่ภัตลงแล้ว ไหว้พระเถระด้วยเบญจางคประดิษฐ์
แล้วกล่าวว่า
"ท่านผู้เจริญ ขอพระผู้เป็นเจ้าอย่าคิดว่าภัตนี้เศร้าหมองหรือประณีต
จงทำความสงเคราะห์แก่ทาสของพระผู้เป็นเจ้าเถิด"
พระเถระน้อมบาตรเข้าไป
นางเอามือข้างหนึ่งรองภาชนะ อีกข้างหนึ่งถวายภัตอยู่
เมื่อถวายไปได้ครึ่งหนึ่ง พระเถระจึงเอามือปิดบาตรด้วยพูดว่า "พอแล้ว"
นางกล่าวว่า "พระคุณเจ้า อาหารสำหรับเพียงส่วนเดียว ดิฉันไม่อาจทำให้เป็นสองส่วนได้
พระผู้เป็นเจ้าไม่ต้องทำความสงเคราะห์แก่ทาสของพระผู้เป็นเจ้าในโลกนี้
จงทำความสงเคราะห์ในปรโลกเถิด
ดิฉันประสงค์จะถวายมิให้เหลือเศษเลย"
ดังนี้แล้ว ก็ได้ใส่ภัตทั้งหมดลงในบาตรของพระเถระ
แล้วทำความปรารถนาว่า
"ดิฉันพึงเป็นผู้มีส่วนแห่งธรรมที่พระผู้เป็นเจ้าเห็นแล้วนั่นแหละ"
พระเถระกล่าวว่า "จงสำเร็จอย่างนั้นเถิด"
ยืนอยู่นั่นแหละ ทำอนุโมทนาเเล้ว ได้นั่งทำภัตกิจ ณ ที่สะดวกด้วยน้ำแห่งหนึ่ง
ฝ่ายภรรยาของนายปุณณะได้กลับไปหาข้าวสารหุงเป็นภัตให้นายปุณณะใหม่
นายปุณณะไถที่ได้ประมาณครึ่งกรีส ไม่อาจทนความหิวได้
จึงปล่อยโค แล้วเข้าไปนั่งพักใต้ร่มไม้แห่งหนึ่ง นั่งคอยภรรยาอยู่
ลำดับนั้น ภรรยาของเขาถือภัตเดินไป พอเห็นเขานั่งมองมาอยู่
ก็คิดว่า "เขาถูกความหิวบีบคั้น นั่งคอยดูเราอยู่แล้ว
ถ้าว่าเขาจักคุกคามเราว่า 'เจ้าชักช้าเหลือเกิน' แล้วเอาด้ามปฏักฟาดเรา
กรรมที่เราทำแล้วจักเป็นของไร้ประโยชน์
เราจักต้องชิงบอกแก่เขาก่อนทีเดียว"
ดังนี้แล้ว จึงกล่าวว่า "นาย ท่านจงทำจิตให้ผ่องใสสักวันหนึ่งเถิด
วันนี้อย่าได้ทำกรรมที่ดิฉันทำแล้วให้ไร้ประโยชน์
ก็ดิฉันนำภัตมาให้ท่านแต่เช้าตรู่ พบพระธรรมเสนาบดีในระหว่างทาง
จึงถวายภัตของท่านแก่พระเถระนั้น แล้วไปหุงภัตมาใหม่
ท่านจงทำจิตให้เลื่อมใสเถิดนาย"
เขาถามว่า "เจ้าพูดอะไร นางผู้เจริญ"
แล้วได้สดับเรื่องนั้นซ้ำอีก จึงพูดว่า
"นางผู้เจริญ เจ้าถวายภัตของเราแก่พระผู้เป็นเจ้า ทำความดีแล้วเทียว
เช้าตรู่วันนี้ แม้เราก็ได้ถวายไม้สีฟันและน้ำบ้วนปากแก่พระผู้เป็นเจ้าแล้ว"
เขามีใจเลื่อมใสเพลิดเพลินถ้อยคำนั้นแล้ว
เป็นผู้มีกายอ่อนเพลีย เพราะได้ภัตในเวลาสาย
พาดศีรษะบนตักของภรรยานั้นแล้วก็หลับไป
[ ทานของสามีภรรยาอำนวยผลในวันนั้น ]
ครั้งนั้น ที่ที่เขาไถไว้เเต่เช้าตรู่ ได้เป็นทองคำเนื้อสุกทั้งหมด จนกระทั่งฝุ่นละลองดิน ตั้งอยู่งดงามดุจดอกกรรณิกาเขาตื่นขึ้น แลเห็นดังนั้นแล้ว จึงพูดกะภรรยาว่า
"นางผู้เจริญ ที่ที่ฉันไถแล้วนั้นปรากฏแก่ฉันเป็นทองคำทั้งหมด
เพราะฉันได้ภัตสายเกินไป ตาจะลายไปกระมังหนอ"
แม้ภรรยาของเขาก็รับรองว่า
"ที่นั้น ก็ย่อมปรากฏแม้แก่ดิฉันอย่างนั้นเหมือนกัน"
เขาลุกขึ้นไปในที่นั้น จับก้อนหนึ่งตีที่งอนไถแล้ว ทราบว่าเป็นทองคำ จึงคิดว่า
"โอ ทานที่เราถวายแก่พระผู้เป็นเจ้าธรรมเสนาบดี แสดงผลในวันนี้เอง
ก็เราไม่อาจที่จะซ่อนทรัพย์ประมาณเท่านี้ไว้ใช้สอยได้"
จึงเอาทองคำใส่เต็มถาดข้าวที่ภรรยานำมา แล้วได้ไปสู่ราชตระกูล
เมื่อพระราชาพระราชทานโอกาสให้เข้าเฝ้าแล้ว จึงเข้าไปถวายบังคมพระราชา
พระราชาตรัสถามว่า "มีเรื่องอะไร พ่อ"
เขากราบทูลว่า "ข้าแต่สมมติเทวราช
ที่ที่ข้าพระองค์ไถแล้วในวันนี้ทั้งหมดเป็นที่เต็มไปด้วยทองคำทั้งนั้นตั้งอยู่แล้ว
พระองค์ควรจะรับสั่งให้ขนทองคำมาไว้"
พระราชาตรัสถามว่า "ท่านเป็นใคร"
นายปุณณะกราบทูลว่า "ข้าพระองค์ชื่อปุณณะ"
พระราชาตรัสว่า "ก็วันนี้ ท่านทำอะไรมาเล่า"
นายปุณณะกราบทูลว่า "เช้าตรู่วันนี้ ข้าพระองค์ได้ถวายไม้สีฟันและน้ำบ้วนปากแก่พระธรรมเสนาบดี
ส่วนภรรยาของข้าพระองค์ได้ถวายภัตที่เขานำมาให้ข้าพระองค์แก่พระธรรมเสนาบดีนั้นเหมือนกัน"
พระราชาทรงสดับคำนั้นแล้วตรัสว่า
"พ่อผู้เจริญ ทานที่ท่านถวายพระธรรมเสนาบดี แสดงวิบากในวันนี้เอง"
แล้วตรัสถามว่า "พ่อ จะให้เราทำอย่างไร"
นายปุณณะกราบทูลว่า
"ขอพระองค์จงส่งเกวียนไปหลาย ๆ พัน ให้นำทองคำมาเถิด"
พระราชาทรงส่งเกวียนทั้งหลายไปแล้ว
เมื่อพวกราชบุรุษพูดว่า "เป็นของพระราชา" แล้วหยิบขึ้นมา
ทองคำที่เขาถือเอาแล้ว ๆ กลายเป็นดินอย่างเดิม
พวกเขาไปทูลพระราชา
พระราชาตรัสถามว่า "ก็พวกเจ้าพูดว่าอะไรจึงหยิบขึ้นมา"
พวกราชบุรุษกราบทูลว่า "พูดว่า 'เป็นราชทรัพย์ของพระองค์"
พระราชาตรัสว่า "หาใช่ทรัพย์ของเราไม่ พวกเจ้าจงไป
จงพูดว่า 'เป็นทรัพย์ของนายปุณณะ' แล้วจึงหยิบขึ้นมาเถิด"
พวกราชบุรุษกลับไปทําตามนั้น
ทองคำที่เขาถือแล้ว ๆ ได้เป็นทองคำแท้
พวกเขาจึงขนทองคำนั้นทั้งหมดมาทำเป็นกองไว้ที่ท้องพระลานหลวง
ทองคําทั้งหมดนั้นได้กองสูงประมาณ ๘๐ ศอก
[ นายปุณณะได้รับตำแหน่งเศรษฐี ]
พระราชาทรงรับสั่งให้ชาวพระนครประชุมกันแล้วตรัสถามว่า"ในพระนครนี้ ใครมีทองคำถึงเพียงนี้บ้าง"
ชาวพระนครกราบทูลว่า "ไม่มี พระเจ้าข้า"
พระราชาตรัสว่า "ก็เราควรจะให้อะไรแก่นายปุณณะเล่า"
ชาวพระนครกราบทูลว่า "ฉัตรสำหรับเศรษฐี พระเจ้าข้า"
พระราชาตรัสว่า "นายปุณณะจงเป็นเศรษฐีชื่อพหุธนเศรษฐี"
แล้วได้พระราชทานฉัตรสำหรับเศรษฐีแก่เขาพร้อมด้วยโภคะมากมาย
ครั้งนั้น เขากราบทูลพระราชาว่า "ข้าแต่สมมติเทวราช
ข้าพระองค์ทั้งหลายอาศัยอยู่ในตระกูลอื่นตลอดเวลาถึงเพียงนี้
ขอพระองค์ได้โปรดประทานที่อยู่แก่ข้าพระองค์เถิด"
พระราชาตรัสว่า "ถ้ากระนั้น ท่านจงดูกอไม้ทางด้านทักษิณนั้น
จงนำกอไม้นั่นออก แล้วให้ช่างทำเรือนเถิด"
ดังนี้แล้ว ก็ตรัสบอกที่เรือนของเศรษฐีเก่า
เขาให้ช่างทำเรือนในที่นั้นโดย ๒ - ๓ วันเท่านั้น
ทำเคหปปเวสนมงคล (มงคลที่ทำในเวลาเข้าไปสู่เรือน)
และฉัตรมงคล (มงคลที่ทำในงานฉลองฉัตร) ให้เป็นงานเดียวกัน
ได้ถวายทานแด่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขตลอด ๗ วัน
ครั้งนั้น พระศาสดาเมื่อจะทรงทำอนุโมทนาแก่เขา จึงตรัสอนุปุพพีกถาแล้ว
ในกาลจบธรรมกถา ชนทั้ง ๓ คือ ปุณณเศรษฐี ๑ ภรรยาของเขา ๑ นางอุตตราผู้เป็นธิดา ๑ ได้เป็นพระโสดาบันแล้ว
เศรษฐีในกรุงราชคฤห์ขอธิดาของปุณณเศรษฐีให้บุตรของตน
ปุณณเศรษฐีพูดว่า "ผมให้ไม่ได้"
เศรษฐีในกรุงราชคฤห์พูดว่า "จงอย่าทำอย่างนั้น
ท่านอาศัยฉันอยู่ตลอดเวลาถึงเพียงนี้ทีเดียว จึงได้สมบัตินี้
จงให้ธิดาแก่บุตรของฉันเถิด"
ปุณณเศรษฐีจึงกล่าวว่า "บุตรของท่านนั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ
ส่วนธิดาของผมเหินห่างจากพระรัตนะทั้งสามแล้วไม่อาจอยู่ไปได้
ผมจึงจักยกธิดาให้บุตรของท่านไม่ได้เลย"
ครั้งนั้น กุลบุตรทั้งหลายมีเศรษฐีและคฤหบดีเป็นต้นเป็นอันมากช่วยกันวิงวอนเขาว่า
"อย่าทำลายความสนิทสนมกับด้วยเศรษฐีในกรุงราชคฤห์นั้น
จงยกธิดาให้บุตรของเขาเถิด"
เขารับคำของกุลบุตรเหล่านั้นแล้วได้ยกธิดาให้ในดิถีเพ็ญเดือนอาสฬหะ
จำเดิมแต่เวลาไปสู่เรือนตระกูลสามีแล้ว
นางอุตตรามิได้มีโอกาสเข้าไปหาภิกษุหรือภิกษุณี หรือเพื่อถวายทานหรือฟังธรรมเลย
เมื่อล่วงไปได้ประมาณ ๒ เดือนครึ่งด้วยอาการอย่างนี้
นางจึงถามสาวใช้ผู้อยู่ในสำนักว่า "เวลาในพรรษายังเหลืออีกเท่าไร"
สาวใช้ตอบว่า "ยังอยู่อีกครึ่งเดือน คุณแม่"
นางอุตตราส่งข่าวไปให้บิดาว่า "เหตุไฉนบิดาจึงขังดิฉันไว้ในเรือนเช่นนี้
การที่บิดาทำฉันให้เป็นคนเสียโฉม
แล้วประกาศว่าเป็นทาสีของชนพวกอื่น ยังจะประเสริฐกว่า
การที่ยกให้แก่ตระกูลมิจฉาทิฏฐิเห็นปานนี้ ไม่ประเสริฐเลย
ตั้งแต่ดิฉันมาแล้ว ดิฉันไม่ได้ทำบุญแม้สักอย่างในประเภทบุญมีการพบเห็นภิกษุเป็นต้นเลย"
ลำดับนั้น ปุณณเศรษฐีรู้สึกไม่สบายใจ ด้วยคิดว่า
"ธิดาของเราได้รับทุกข์หนอ"
จึงส่งทรัพย์ไป ๑๕,๐๐๐ กหาปณะ ด้วยสั่งว่า
"ในนครนี้มีหญิงคณิกาชื่อสิริมา
เจ้าจงบอกกับนางว่า 'หล่อนจงรับทรัพย์วันละ ๑,๐๐๐ กหาปณะ'
แล้วนำนางมาด้วยกหาปณะเหล่านี้ ทำให้เป็นนางบำเรอของสามี
ส่วนตัวเจ้าจงทำบุญทั้งหลายเถิด"
นางอุตตราให้เชิญนางสิริมามาแล้วพูดว่า
"สหาย เธอจงรับกหาปณะเหล่านี้
แล้วบำเรอชายสหายของเธอสักกึ่งเดือนนี้เถิด"
นางสิริมานั้นรับรองว่า "ดีละ"
แล้วนางอุตตราจึงพานางไปหาสามี
เมื่อสามีนั้นเห็นนางสิริมาแล้ว กล่าวว่า "อะไรกันนี่"
นางอุตตราจึงบอกว่า "นาย ขอให้หญิงสหายของดิฉันบำเรอนายตลอดกึ่งเดือนนี้
ส่วนดิฉันใคร่จะถวายทานและฟังธรรม ตลอดกึ่งเดือนนี้"
เศรษฐีบุตรเห็นนางมีรูปงาม เกิดความสิเนหา จึงรับรองว่า "ดีละ"
[ นางอุตตราได้โอกาสทำบุญ ]
หลังจากนั้น นางอุตตราได้นิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์อย่าเสด็จไปที่อื่น
พึงรับภิกษาในเรือนนี้แห่งเดียวตลอดกึ่งเดือนนี้"
เมื่อพระศาสดาทรงรับแล้ว นางมีใจยินดีว่า
"บัดนี้ เราจักได้อุปัฏฐากพระศาสดาและฟังธรรมตั้งแต่นี้ไป
ตลอดจนถึงวันมหาปวารณา"
แล้วเที่ยวจัดแจงกิจทุกอย่างในโรงครัวใหญ่ว่า
"พวกท่านจงต้มข้าวต้มอย่างนั้น จงนึ่งขนมอย่างนี้"
เมื่อเวลาผ่านไป สามีของนางคิดว่า "พรุ่งนี้เป็นวันมหาปวารณา"
ยืนตรงหน้าต่าง บ่ายหน้าไปทางโรงครัวใหญ่ ตรวจดูอยู่ด้วยคิดว่า
"นางอันธพาลอุตตรานั้นทำอะไรอยู่หนอ"
แลเห็นธิดาเศรษฐีนั้นขะมุกขะมอมไปด้วยเหงื่อ เปรอะด้วยเถ้า มอมแมมด้วยถ่านและเขม่า เที่ยวจัดทำอยู่อย่างนั้น จึงคิดว่า
"โธ่เอ๋ย หญิงอันธพาล ไม่เสวยสมบัติมีสิริเช่นนี้ในฐานะเห็นปานนี้
กลับมีจิตยินดีว่า 'เราจักอุปัฏฐากพวกสมณศีรษะโล้น"
จึงหัวเราะ แล้วเดินหลีกไป
เมื่อเศรษฐีบุตรนั้นหลีกไปแล้ว
นางสิริมาซึ่งยืนอยู่ในที่ใกล้ของเขาคิดว่า
"เศรษฐีบุตรนั่นมองดูอะไรหนอแล จึงหัวเราะ"
จึงมองลงไปทางหน้าต่างนั้นแหละ เห็นนางอุตตราแล้ว คิดว่า
"เศรษฐีบุตรนี้หัวเราะก็เพราะเห็นนางคนนี้
ความชิดชมของเศรษฐีบุตรนี้คงมีกับด้วยนางนี้เป็นแน่"
[ นางสิริมาหึงนางอุตตราเอาเนยใสเดือดรด ]
นางสิริมานั้นแม้เป็นคนนอกแต่มาอยู่ในเรือนนั้นตลอดกึ่งเดือน เสวยสมบัตินั้นอยู่
ก็ยังไม่รู้ตัวว่าเป็นคนนอก ได้ทำความสำคัญว่าเป็นแม่เจ้าเรือน
นางผูกอาฆาตต่อนางอุตตราว่า "จักต้องทำทุกข์ให้เกิดแก่มัน"
จึงลงจากปราสาท เข้าไปสู่โรงครัวใหญ่นั้น
เอาทัพพีตักเนยใสอันเดือดพล่านในที่ทอดขนม
แล้วเดินมุ่งหน้าตรงไปหานางอุตตรา
นางอุตตราเห็นนางสิริมาเดินมา จึงแผ่เมตตาไปถึงนางว่า
"หญิงสหายของเราทำอุปการะแก่เรามาก
จักรวาลก็แคบเกินไป พรหมโลกก็ต่ำนัก
ส่วนคุณของหญิงสหายเราใหญ่มาก
ก็เราอาศัยนางนั่น จึงได้มีโอกาสถวายทานและฟังธรรม
ถ้าเรามีความโกรธต่อนางสิริมานั้น เนยใสนี้จงลวกเราเถิด
ถ้าเราไม่มีความโกรธ เนยใสนี้อย่าลวกเราเลย"
เนยใสซึ่งเดือดพล่านที่นางสิริมานั้นรดลงเบื้องบนนางอุตตรานั้น
ได้เป็นเหมือนน้ำเย็น
นางสิริมาคิดว่า "เนยใสนี้คงเย็นแล้ว"
จึงเดินกลับไปตักเนยใสมาใหม่อีก
ลำดับนั้น พวกทาสีของนางอุตตราเห็นแล้ว จึงคุกคามว่า
"นางคนถ่อย เจ้าจงหลีกไป
เจ้าไม่ควรจะรดเนยใสที่เดือดพล่านบนแม่เจ้าของพวกเรา"
แล้วต่างลุกขึ้นใช้มือบ้าง เท้าบ้าง ทุบถีบให้ล้มลงบนพื้น
ทีนั้น นางอุตตราจึงห้ามทาสีทุกคนที่ยืนคร่อมอยู่ข้างบนนางสิริมานั้น
แล้วถามว่า "เธอทำกรรมหนักถึงปานนี้เพราะอะไร"
ดังนี้แล้ว ให้โอวาทนางสิริมา
แล้วพานางไปอาบด้วยน้ำอุ่น ทาด้วยน้ำมันที่หุงตั้ง ๑๐๐ ครั้ง
[ นางสิริมารู้สึกตัวขอโทษนางอุตตรา ]
ขณะนั้น นางสิริมานั้นสำนึกตัวว่าเป็นคนนอกแล้ว คิดว่า"เรารดเนยใสที่เดือดพล่านลงเบื้องบนนางอุตตรานี้
เพราะเหตุเพียงความหัวเราะของสามี เราทำกรรมหนักแล้ว
นางอุตตรานี้ไม่สั่งบังคับพวกทาสีว่า 'พวกเธอจงจับเขาไว้'
แต่กลับห้ามพวกทาสีทั้งหมดแม้ในเวลาที่ข่มเหงเรา
ได้ทำกรรมที่ควรแก่เราทั้งนั้น
ถ้าเราไม่ขอให้นางอุตตรานี้อดโทษให้ ศีรษะของเราจะพึงแตกออก ๗ เสี่ยง"
ดังนี้แล้ว จึงหมอบลงแทบเท้าของนางอุตตรานั้น แล้วกล่าวว่า
"คุณแม่ ขอคุณแม่จงอดโทษให้ดิฉันเถิด"
นางอุตตรา "ดิฉันเป็นธิดาที่มีบิดา เมื่อบิดาอดโทษให้ ดิฉันก็จักอดโทษให้"
นางสิริมา "คุณแม่ ข้อนั้นจงยกไว้เถิด ดิฉันจักให้ท่านปุณณเศรษฐีผู้บิดาของคุณแม่อดโทษให้ด้วย"
นางอุตตรา "ท่านปุณณะเป็นบิดาบังเกิดเกล้าของคุณแม่ในวัฏฏะ
แต่เมื่อบิดาผู้บังเกิดเกล้าในวิวัฏฏะอดโทษให้ ดิฉันจึงจักอดโทษ"
นางสิริมา "ก็ใครเล่าเป็นบิดาบังเกิดเกล้าของคุณแม่ในวิวัฎฎะ"
นางอุตตรา "พระสัมมาสัมพุทธเจ้า"
นางสิริมา "ดิฉันไม่มีความคุ้นเคยกับพระองค์"
นางอุตตรา "ฉันจักทำเอง พรุ่งนี้พระศาสดาจักทรงพาภิกษุสงฆ์เสด็จมาที่นี้
เธอจงถือสักการะตามแต่จะได้มาที่นี้แหละ แล้วขอให้พระองค์อดโทษเถิด"
นางสิริมานั้นรับว่า "ดีละ คุณแม่"
แล้วลุกขึ้น ไปสู่เรือนของตน
สั่งหญิงบริวาร ๕๐๐ ให้ตระเตรียมของฉันและของเคี้ยวอันประณีตหลายอย่าง
[ นางสิริมาขอให้พระศาสดาทรงอดโทษ ]
รุ่งขึ้น นางสิริมาถือสักการะนั้นมาเรือนของนางอุตตราแต่ไม่กล้าจะใส่บาตรภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข จึงได้ยืนอยู่
นางอุตตรารับเอาสิ่งของทั้งหมดนั้นมาจัดแล้ว
ในเวลาเสร็จภัตกิจ นางสิริมาพร้อมด้วยบริวารหมอบลงแทบเบื้อง
พระบาทของพระศาสดา
ครั้งนั้น พระศาสดาตรัสถามนางว่า "เจ้ามีความผิดอะไร"
นางสิริมากราบทูลว่า "วานนี้ หม่อมฉันได้ทำกรรมชื่อนี้
เมื่อเป็นเช่นนั้น หญิงสหายของหม่อมฉันยังห้ามทาสีซึ่งเบียดเบียนหม่อมฉัน
นางได้ทำอุปการะแก่หม่อมฉันโดยแท้
หม่อมฉันนั้นรู้สึกถึงคุณของนางนี้ จึงขอให้นางนี้อดโทษ
เมื่อเป็นเช่นนั้น นางกล่าวกะหม่อมฉันว่า
'เมื่อพระองค์ทรงอดโทษให้ จึงจักอดโทษให้' พระพุทธเจ้าข้า"
พระศาสดาตรัสถามว่า "อุตตรา เป็นอย่างนั้นหรือ"
นางอุตตรากราบทูลว่า "อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า
วานนี้หญิงสหายของหม่อมฉันได้รดเนยใสที่เดือดพล่านบนศีรษะของหม่อมฉัน"
พระศาสดา "เมื่อเป็นเช่นนั้น เธอคิดอย่างไร"
นางอุตตรากราบทูลว่า "หม่อมฉันคิดอย่างนั้นว่า
'จักรวาลแคบนัก พรหมโลกก็ยังต่ำเกินไป
คุณของหญิงสหายข้าพระองค์เท่านั้นใหญ่
เพราะหม่อมฉันอาศัยนาง จึงได้มีโอกาสถวายทานและฟังธรรม
ถ้าหม่อมฉันมีความโกรธต่อนาง เนยใสที่เดือดพล่านนี้จงลวกหม่อมฉันเถิด
ถ้าหาไม่แล้ว ขออย่าลวกเลย'
แล้วได้เเผ่เมตตาไปยังนางสิริมานี้ พระพุทธเจ้าข้า"
พระศาสดาตรัสว่า "ดีละ ดีละ อุตตรา
การชนะความโกรธอย่างนั้น สมควร
ก็ธรรมดาคนมักโกรธ พึงชนะด้วยความไม่โกรธ
คนด่าเขา ตัดพ้อเขา พึงชนะได้ด้วยความไม่ด่าตอบ ไม่ตัดพ้อตอบ
คนตระหนี่จัด พึงชนะได้ด้วยการให้ของตน
คนมักพูดเท็จ พึงชนะได้ด้วยคำจริง"
ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
"พึงชนะคนโกรธ ด้วยความไม่โกรธ
พึงชนะคนไม่ดี ด้วยความดี
พึงชนะคนตระหนี่ ด้วยการให้
พึงชนะคนพูดเหลวไหล ด้วยคำจริง"
ในกาลจบเทศนา
นางสิริมาพร้อมด้วยญาติทั้ง ๕๐๐ ตั้งอยู่แล้วในโสดาปัตติผล ดังนี้แล
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น