นารทสูตร (อังคุตตรนิกาย > ปัญจกนิบาต > ปฐมปัณณาสก์ > มุณฑราชวรรค)
นารทสูตร (ว่าด้วยพระนารทะ)
สมัยหนึ่ง ท่านพระนารทะอยู่ที่กุกกุฏาราม เขตกรุงปาตลีบุตร
ก็สมัยนั้น พระนางภัททาราชเทวีผู้เป็นที่รัก เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้ามุณฑะ สวรรคตแล้ว
เมื่อพระนางภัททาราชเทวีสวรรคตแล้ว พระองค์ก็ไม่สรงสนาน ไม่แต่งพระองค์ ไม่เสวยพระกระยาหาร ไม่ทรงประกอบพระราชกรณียกิจ ซบอยู่ที่พระศพของพระนางตลอดคืนตลอดวัน
ลำดับนั้น พระเจ้ามุณฑะได้รับสั่งเรียกมหาอำมาตย์ชื่อว่าโสการักขะผู้เป็นที่รักมาตรัสว่า
"ท่านโสการักขะผู้เป็นที่รัก ท่านจงยกพระศพพระนางภัททาราชเทวีใส่ไว้ในรางเหล็กที่เต็มด้วยน้ำมันแล้วเอารางเหล็กอื่นปิดไว้ เพื่อเราจะได้เห็นศพพระนางให้นาน ๆ"
โสการักขะมหาอำมาตย์ทูลรับสนองพระบรมราชโองการแล้ว จึงจัดการยกพระศพพระนางใส่ไว้ในรางเหล็กที่เต็มไปด้วยน้ำมันแล้วเอารางเหล็กอื่นปิดไว้
ครั้งนั้น โสการักขะมหาอำมาตย์ได้มีความคิดว่า
"พระนางภัททาราชเทวี ผู้เป็นที่รัก เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้ามุณฑะนี้ได้สวรรคตแล้ว
เมื่อพระนางสวรรคต พระราชาก็ไม่สรงสนาน ไม่แต่งพระองค์ ไม่เสวยพระกระยาหาร ไม่ทรงประกอบพระราชกรณียกิจ ทรงซบอยู่ที่พระศพของพระนางตลอดคืนตลอดวัน
พระองค์พึงเสด็จเข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์รูปไหนหนอ ทรงสดับธรรมแล้ว จะพึงละลูกศรคือความโศกได้"
ลำดับนั้น โสการักขะมหาอำมาตย์ได้คิดต่อไปว่า
"ท่านพระนารทะรูปนี้ อยู่ที่กุกกุฏาราม เขตกรุงปาตลีบุตร
กิตติศัพท์อันงามของท่านขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า 'เป็นบัณฑิต เป็นผู้ฉลาด เป็นนักปราชญ์ เป็นพหูสูต กล่าวถ้อยคำไพเราะ มีปฏิภาณดี เป็นพระผู้ใหญ่ และเป็นพระอรหันต์'
จึงควรที่พระเจ้ามุณฑะจะเสด็จเข้าไปหาท่าน เพื่อบางทีได้ทรงสดับธรรมของท่านแล้ว จะทรงละลูกศรคือความโศกได้บ้าง"
ต่อมา โสการักขะมหาอำมาตย์ได้เข้าไปเฝ้าพระเจ้ามุณฑะแล้วกราบทูลว่า
"ขอเดชะ ท่านพระนารทะรูปนี้อยู่ที่กุกกุฏาราม เขตกรุงปาตลีบุตร
กิตติศัพท์อันงามของท่านพระนารทะขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า 'เป็นบัณฑิต เป็นผู้ฉลาด เป็นนักปราชญ์ เป็นพหูสูต กล่าวถ้อยคำไพเราะ มีปฏิภาณดี เป็นพระผู้ใหญ่ และเป็นพระอรหันต์'
จึงควรที่พระองค์จะเสด็จเข้าไปหาท่าน เพื่อบางทีพระองค์ได้ทรงสดับธรรมของท่านแล้ว จะทรงละลูกศรคือความโศกได้บ้าง"
พระเจ้ามุณฑะจึงรับสั่งว่า
"ท่านอำมาตย์ ถ้าเช่นนั้น ท่านจงไปกราบเรียนท่านพระนารทะให้ทราบก่อน
เพราะกษัตริย์เช่นเราพึงเข้าใจว่า สมณะหรือพราหมณ์ที่อยู่ในราชอาณาจักร หากเรายังไม่ได้แจ้งให้ทราบก่อน จะพึงเข้าไปหาได้อย่างไร"
มหาอำมาตย์ทูลรับสนองพระบรมราชโองการแล้ว ได้เข้าไปพบท่านพระนารทะถึงที่อยู่ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควร ได้กราบเรียนว่า
"ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระนางภัททาราชเทวีผู้เป็นที่รัก เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้ามุณฑะนี้ได้สวรรคตแล้ว
เมื่อพระนางสวรรคต พระราชาก็ไม่สรงสนาน ไม่แต่งพระองค์ ไม่เสวยพระยาหาร ไม่ทรงประกอบพระราชกรณียกิจ ทรงซบอยู่ที่พระศพของพระนางภัททาราชเทวีตลอดคืนตลอดวัน
ขอท่านพระนารทะโปรดแสดงธรรมแก่พระราชา โดยที่พระองค์ได้สดับธรรมของท่านแล้วจะทรงละลูกศรคือความโศกได้"
ท่านพระนารทะจึงกล่าวว่า
"มหาอำมาตย์ บัดนี้ ขอให้พระราชาทรงทราบเวลาที่สมควร (เพื่อเสด็จมาพบอาตมา)"
ลำดับนั้น โสการักขะมหาอำมาตย์ลุกจากที่นั่ง ถวายอภิวาทท่านพระนารทะ ทำประทักษิณแล้ว ได้ไปเฝ้าพระเจ้ามุณฑะ กราบทูลว่า
"ขอเดชะ ท่านพระนารทะได้เปิดโอกาสให้เสด็จไปแล้ว
บัดนี้ ขอพระองค์ทรงทราบเวลาที่สมควรเถิด พระเจ้าข้า"
พระเจ้ามุณฑะรับสั่งว่า
"ท่านอำมาตย์ ถ้าเช่นนั้น ท่านจงให้พนักงานตระเตรียมพาหนะอย่างดีไว้"
มหาอำมาตย์ทูลรับสนองพระบรมราชโองการแล้ว ให้พนักงานตระเตรียมพระราชพาหนะอย่างดีไว้เสร็จแล้วจึงกราบทูลว่า
"ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าได้ให้พนักงานตระเตรียมพระราชพาหนะอย่างดีไว้เสร็จแล้ว
บัดนี้ ขอพระองค์ทรงทราบเวลาที่สมควรเถิด พระเจ้าข้า"
ลำดับนั้น พระเจ้ามุณฑะเสด็จพระราชดำเนินไปสู่กุกกุฏารามเพื่อพบท่านพระนารทะด้วยราชานุภาพอันยิ่งใหญ่ เสด็จไปเท่าที่พระราชพาหนะจะไปได้ เมื่อเสด็จถึงแล้ว ก็ได้เสด็จพระราชดำเนินเข้าไปยังอาราม ทรงเข้าไปพบท่านพระนารทะ ทรงถวายอภิวาท แล้วประทับนั่ง ณ ที่สมควร
ท่านพระนารทะจึงได้ถวายพระพรท้าวเธอว่า
"ขอถวายพระพร มหาบพิตร
ฐานะ ๕ ประการนี้ อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใคร ๆ ในโลกนี้ไม่พึงได้
ฐานะ ๕ ประการ อะไรบ้าง คือ
๑. ขอสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา อย่าแก่
๒. ขอสิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา อย่าเจ็บไข้
๓. ขอสิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดา อย่าตาย
๔. ขอสิ่งที่มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา อย่าสิ้นไป
๕. ขอสิ่งที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดา อย่าฉิบหาย
[ สิ่งที่เกิดขึ้นกับปุถุชน ]
สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมแก่ไปเมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาแก่ไปแล้ว เขาไม่พิจารณาเห็นดังนี้ว่า
'ไม่ใช่สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของเราคนเดียวเท่านั้นที่แก่ไป แท้จริง สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของสัตว์ทั้งปวงที่มีการมา การไป การจุติ และการอุบัติ ก็แก่ไปทั้งสิ้น
เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาแก่ไปแล้ว ถ้าเราจะพึงเศร้าโศก ลำบาก ร่ำไร ทุบอก คร่ำครวญ หลงงมงาย อาหารเราก็จะไม่อยากรับประทาน กายก็จะเศร้าหมอง การงานก็จะหยุดชะงัก พวกศัตรูก็จะดีใจ และพวกมิตรก็จะเสียใจ'
เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาแก่ไปแล้ว เขาจึงเศร้าโศก ลำบาก ร่ำไร ทุบอก คร่ำครวญ หลงงมงาย
นี้เรียกว่าปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ถูกลูกศรคือความโศกที่มีพิษทิ่มแทงแล้ว ย่อมทำตนนั่นเองให้เดือดร้อน
สิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาของปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมเจ็บไข้ ฯลฯ
สิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดาของปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมตายไป ฯลฯ
สิ่งที่มีความสิ้นไปเป็นธรรมดาของปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมสิ้นไป ฯลฯ
สิ่งที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดาของปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมฉิบหายไป
เมื่อสิ่งที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดาฉิบหายไปแล้ว เขาไม่พิจารณาเห็นดังนี้ว่า
'ไม่ใช่สิ่งที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดาของเราคนเดียวเท่านั้นที่ฉิบหายไป แท้จริง สิ่งที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดาของสัตว์ทั้งปวงที่มีการมา การไป การจุติ การอุบัติ ก็ฉิบหายไปทั้งสิ้น
เมื่อสิ่งที่มีความฉิบหายไปเป็นธรรมดาฉิบหายไปแล้ว ถ้าเราจะพึงเศร้าโศก ลำบาก ร่ำไร ทุบอก คร่ำครวญ หลงงมงาย อาหารเราก็จะไม่อยากรับประทาน กายก็จะเศร้าหมอง การงานก็จะหยุดชะงัก พวกศัตรูก็จะดีใจ และพวกมิตรก็จะเสียใจ'
เมื่อสิ่งที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดาฉิบหายไปแล้ว เขาจึงเศร้าโศก ลำบาก ร่ำไร ทุบอก คร่ำครวญ หลงงมงาย
นี้เรียกว่าปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ถูกลูกศรคือความโศกที่มีพิษทิ่มแทงแล้ว ย่อมทำตนนั่นเองให้เดือดร้อน
[ สิ่งที่เกิดขึ้นกับอริยสาวก ]
ส่วนสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของอริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมแก่ไปเมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาแก่ไปแล้ว อริยสาวกนั้นพิจารณาเห็นดังนี้ว่า
'ไม่ใช่สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของเราคนเดียวเท่านั้นที่แก่ไป แท้จริง สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของสัตว์ทั้งปวงที่มีการมา การไป การจุติ การอุบัติ ก็แก่ไปทั้งสิ้น
เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาแก่ไปแล้ว ถ้าเราจะพึงเศร้าโศก ลำบาก ร่ำไร ทุบอก คร่ำครวญ หลงงมงาย อาหารเราก็จะไม่อยากรับประทาน กายก็จะเศร้าหมอง การงานก็จะหยุดชะงัก พวกศัตรูก็จะดีใจ และพวกมิตรก็จะเสียใจ'
เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาแก่ไปแล้ว อริยสาวกนั้นจึงไม่เศร้าโศก ไม่ลำบาก ไม่ร่ำไร ไม่ทุบอก ไม่คร่ำครวญ ไม่หลงงมงาย
นี้เรียกว่าอริยสาวกผู้ได้สดับ ถอนลูกศรคือความโศกที่มีพิษทิ่มแทงปุถุชนผู้ไม่ได้สดับทำตนนั่นเองให้เดือดร้อน อริยสาวกผู้ไม่มีความโศก ปราศจากลูกศร ย่อมดับทุกข์ได้ด้วยตนเอง
สิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาของอริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมเจ็บไข้ ฯลฯ
สิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดาของอริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมตายไป ฯลฯ
สิ่งที่มีความสิ้นไปเป็นธรรมดาของอริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมสิ้นไป ฯลฯ
สิ่งที่มีความฉิบหายไปเป็นธรรมดาของอริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมฉิบหายไป
เมื่อสิ่งที่มีความฉิบหายไปเป็นธรรมดาฉิบหายไปแล้ว อริยสาวกนั้นพิจารณาเห็นดังนี้ว่า
'ไม่ใช่สิ่งที่มีความฉิบหายไปเป็นธรรมดาของเราคนเดียวเท่านั้นที่ฉิบหายไป แท้จริง สิ่งที่มีความฉิบหายไปเป็นธรรมดาของสัตว์ทั้งปวงที่มีการมา การไป การจุติ การอุบัติ ก็ฉิบหายไปทั้งสิ้น
เมื่อสิ่งที่มีความฉิบหายไปเป็นธรรมดาฉิบหายไปแล้ว ถ้าเราจะพึงเศร้าโศก ลำบาก ร่ำไร ทุบอก คร่ำครวญ หลงงมงาย อาหารเราก็จะไม่อยากรับประทาน กายก็จะเศร้าหมอง การงานก็จะหยุดชะงัก พวกศัตรูก็จะดีใจ และพวกมิตรก็จะเสียใจ'
เมื่อสิ่งที่มีความฉิบหายไปเป็นธรรมดาฉิบหายไปแล้ว อริยสาวกนั้นจึงไม่เศร้าโศก ไม่ลำบาก ไม่ร่ำไร ไม่ทุบอก ไม่คร่ำครวญ ไม่หลงงมงาย
นี้เรียกว่าอริยสาวกผู้ได้สดับ ถอนลูกศรคือความโศกที่มีพิษทิ่มแทงปุถุชนผู้ไม่ได้สดับทำตนนั่นเองให้เดือดร้อน อริยสาวกผู้ไม่มีความโศก ปราศจากลูกศร ย่อมดับทุกข์ได้ด้วยตนเอง
ขอถวายพระพร มหาบพิตร
ฐานะ ๕ ประการนี้แล อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใคร ๆ ในโลกนี้ไม่พึงได้"
จากนั้น ท่านพระนารทะได้กล่าวพระคาถานี้ว่า
"ประโยชน์แม้เล็กน้อยในโลกนี้
ใคร ๆ ย่อมไม่ได้ด้วยความเศร้าโศก
ย่อมไม่ได้ด้วยความคร่ำครวญ
พวกศัตรูทราบว่าเขาเศร้าโศกเป็นทุกข์ ย่อมดีใจ
...
แต่ในกาลใด บัณฑิตฉลาดในการพิจารณาเหตุผล
ไม่หวั่นไหวในอันตราย (ในสิ่งที่เกิดขึ้น) ทั้งหลาย
ในกาลนั้น พวกศัตรูเห็นหน้าซึ่งไม่ผิดปกติของบัณฑิตนั้น
ผู้ยังยิ้มแย้มตามเคย ย่อมเป็นทุกข์
...
บุคคลหากพึงได้ตามต้องการในที่ใด ๆ ด้วยวิธีใด ๆ
คือด้วยการสรรเสริญ ด้วยการร่ายมนตร์
ด้วยการกล่าวคำสุภาษิต ด้วยการให้
หรือด้วยการอ้างประเพณี
ก็พึงบากบั่นในที่นั้น ๆ ด้วยวิธีนั้น ๆ
...
หากทราบว่าความต้องการนี้เราหรือคนอื่นไม่พึงได้
ก็ไม่ควรเศร้าโศก
ควรพิจารณายอมรับว่าเป็นธรรมดาของสิ่งเหล่านั้นในโลก
บัดนี้ เราจะทำอะไรได้"
เมื่อท่านพระนารทะกล่าวอย่างนี้แล้ว พระเจ้ามุณฑะได้ตรัสถามว่า
"ธรรมบรรยายนี้ชื่ออะไร"
ท่านพระนารทะถวายพระพรว่า
"ขอถวายพระพร ธรรมบรรยายนี้ชื่อเหตุถอนลูกศรคือความโศก"
พระเจ้ามุณฑะตรัสชมว่า
"ท่านผู้เจริญ ธรรมบรรยายนี้เป็นเหตุถอนลูกศรคือความโศกได้อย่างแท้จริง
ท่านผู้เจริญ ธรรมบรรยายนี้เป็นเหตุถอนลูกศรคือความโศกได้อย่างแท้จริง
เพราะได้ฟังธรรมบรรยายนี้ ข้าพเจ้าจึงละลูกศรคือความโศกได้"
ลำดับนั้น พระเจ้ามุณฑะได้รับสั่งโสการักขะมหาอำมาตย์ว่า
"ท่านจงถวายพระเพลิงพระศพของพระนางภัททาราชเทวี แล้วทำเป็นสถูปไว้
ตั้งแต่วันนี้ไป เราจักอาบน้ำแต่งตัว บริโภคอาหาร และประกอบการงาน"
นารทสูตร จบ
บทความที่เกี่ยวข้อง
๑. ๕ สิ่งที่ไม่มีใครขอได้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น