ฐานสูตร (อังคุตตรนิกาย > ปัญจกนิบาต > ปฐมปัณณาสก์ > มุณฑราชวรรค)



ฐานสูตร  (ว่าด้วยฐานะที่ใคร ๆ ไม่พึงได้)

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า
"ภิกษุทั้งหลาย
ฐานะ ๕ ประการนี้  อันสมณะ  พราหมณ์  เทวดา  มาร  พรหม  หรือใคร ๆ ในโลกนี้ไม่พึงได้

ฐานะ ๕ ประการ  อะไรบ้าง  คือ
๑. ขอสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา  อย่าแก่
๒. ขอสิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา  อย่าเจ็บไข้
๓. ขอสิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดา  อย่าตาย
๔. ขอสิ่งที่มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา  อย่าสิ้นไป
๕. ขอสิ่งที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดา  อย่าฉิบหาย


[ สิ่งที่เกิดขึ้นกับปุถุชน ]
สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ  ย่อมแก่ไป
เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาแก่ไปแล้ว  เขาไม่พิจารณาเห็นดังนี้ว่า
'ไม่ใช่สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของเราคนเดียวเท่านั้นที่แก่ไป  แท้จริง  สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของสัตว์ทั้งปวงที่มีการมา  การไป  การจุติ  และการอุบัติ  ก็แก่ไปทั้งสิ้น
เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาแก่ไปแล้ว  ถ้าเราจะพึงเศร้าโศก  ลำบาก  ร่ำไร  ทุบอก  คร่ำครวญ  หลงงมงาย  อาหารเราก็จะไม่อยากรับประทาน  กายก็จะเศร้าหมอง  การงานก็จะหยุดชะงัก  พวกศัตรูก็จะดีใจ  และพวกมิตรก็จะเสียใจ'
เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาแก่ไปแล้ว  เขาจึงเศร้าโศก  ลำบาก  ร่ำไร  ทุบอก  คร่ำครวญ  หลงงมงาย
นี้เรียกว่าปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ  ถูกลูกศรคือความโศกที่มีพิษทิ่มแทงแล้ว  ย่อมทำตนนั่นเองให้เดือดร้อน

สิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาของปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ  ย่อมเจ็บไข้  ฯลฯ
สิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดาของปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ  ย่อมตายไป  ฯลฯ
สิ่งที่มีความสิ้นไปเป็นธรรมดาของปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ  ย่อมสิ้นไป  ฯลฯ

สิ่งที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดาของปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ  ย่อมฉิบหายไป
เมื่อสิ่งที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดาฉิบหายไปแล้ว  เขาไม่พิจารณาเห็นดังนี้ว่า
'ไม่ใช่สิ่งที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดาของเราคนเดียวเท่านั้นที่ฉิบหายไป  แท้จริง  สิ่งที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดาของสัตว์ทั้งปวงที่มีการมา  การไป  การจุติ  การอุบัติ  ก็ฉิบหายไปทั้งสิ้น
เมื่อสิ่งที่มีความฉิบหายไปเป็นธรรมดาฉิบหายไปแล้ว  ถ้าเราจะพึงเศร้าโศก  ลำบาก  ร่ำไร  ทุบอก  คร่ำครวญ  หลงงมงาย  อาหารเราก็จะไม่อยากรับประทาน  กายก็จะเศร้าหมอง  การงานก็จะหยุดชะงัก  พวกศัตรูก็จะดีใจ  และพวกมิตรก็จะเสียใจ'
เมื่อสิ่งที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดาฉิบหายไปแล้ว  เขาจึงเศร้าโศก  ลำบาก  ร่ำไร  ทุบอก  คร่ำครวญ  หลงงมงาย
นี้เรียกว่าปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ  ถูกลูกศรคือความโศกที่มีพิษทิ่มแทงแล้ว  ย่อมทำตนนั่นเองให้เดือดร้อน


[ สิ่งที่เกิดขึ้นกับอริยสาวก ]
ส่วนสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของอริยสาวกผู้ได้สดับ  ย่อมแก่ไป
เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาแก่ไปแล้ว  อริยสาวกนั้นพิจารณาเห็นดังนี้ว่า
'ไม่ใช่สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของเราคนเดียวเท่านั้นที่แก่ไป  แท้จริง  สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของสัตว์ทั้งปวงที่มีการมา  การไป  การจุติ  การอุบัติ  ก็แก่ไปทั้งสิ้น
เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาแก่ไปแล้ว  ถ้าเราจะพึงเศร้าโศก  ลำบาก  ร่ำไร  ทุบอก  คร่ำครวญ  หลงงมงาย  อาหารเราก็จะไม่อยากรับประทาน  กายก็จะเศร้าหมอง  การงานก็จะหยุดชะงัก  พวกศัตรูก็จะดีใจ  และพวกมิตรก็จะเสียใจ'
เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาแก่ไปแล้ว  อริยสาวกนั้นจึงไม่เศร้าโศก  ไม่ลำบาก  ไม่ร่ำไร  ไม่ทุบอก  ไม่คร่ำครวญ  ไม่หลงงมงาย
นี้เรียกว่าอริยสาวกผู้ได้สดับ  ถอนลูกศรคือความโศกที่มีพิษทิ่มแทงปุถุชนผู้ไม่ได้สดับทำตนนั่นเองให้เดือดร้อน  อริยสาวกผู้ไม่มีความโศก  ปราศจากลูกศร  ย่อมดับทุกข์ได้ด้วยตนเอง

สิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาของอริยสาวกผู้ได้สดับ  ย่อมเจ็บไข้  ฯลฯ
สิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดาของอริยสาวกผู้ได้สดับ  ย่อมตายไป  ฯลฯ
สิ่งที่มีความสิ้นไปเป็นธรรมดาของอริยสาวกผู้ได้สดับ  ย่อมสิ้นไป  ฯลฯ

สิ่งที่มีความฉิบหายไปเป็นธรรมดาของอริยสาวกผู้ได้สดับ  ย่อมฉิบหายไป
เมื่อสิ่งที่มีความฉิบหายไปเป็นธรรมดาฉิบหายไปแล้ว  อริยสาวกนั้นพิจารณาเห็นดังนี้ว่า
'ไม่ใช่สิ่งที่มีความฉิบหายไปเป็นธรรมดาของเราคนเดียวเท่านั้นที่ฉิบหายไป  แท้จริง  สิ่งที่มีความฉิบหายไปเป็นธรรมดาของสัตว์ทั้งปวงที่มีการมา  การไป  การจุติ  การอุบัติ  ก็ฉิบหายไปทั้งสิ้น
เมื่อสิ่งที่มีความฉิบหายไปเป็นธรรมดาฉิบหายไปแล้ว  ถ้าเราจะพึงเศร้าโศก  ลำบาก  ร่ำไร  ทุบอก  คร่ำครวญ  หลงงมงาย  อาหารเราก็จะไม่อยากรับประทาน  กายก็จะเศร้าหมอง  การงานก็จะหยุดชะงัก    พวกศัตรูก็จะดีใจ  และพวกมิตรก็จะเสียใจ'
เมื่อสิ่งที่มีความฉิบหายไปเป็นธรรมดาฉิบหายไปแล้ว  อริยสาวกนั้นจึงไม่เศร้าโศก  ไม่ลำบาก  ไม่ร่ำไร  ไม่ทุบอก  ไม่คร่ำครวญ  ไม่หลงงมงาย
นี้เรียกว่าอริยสาวกผู้ได้สดับ  ถอนลูกศรคือความโศกที่มีพิษทิ่มแทงปุถุชนผู้ไม่ได้สดับทำตนนั่นเองให้เดือดร้อน  อริยสาวกผู้ไม่มีความโศก  ปราศจากลูกศร  ย่อมดับทุกข์ได้ด้วยตนเอง

ภิกษุทั้งหลาย
ฐานะ ๕ ประการนี้แล  อันสมณะ  พราหมณ์  เทวดา  มาร  พรหม  หรือใคร ๆ ในโลกนี้ไม่พึงได้"

จากนั้น  พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระคาถานี้ว่า
       "ประโยชน์แม้เล็กน้อยในโลกนี้
ใคร ๆ ย่อมไม่ได้ด้วยความเศร้าโศก
ย่อมไม่ได้ด้วยความคร่ำครวญ
พวกศัตรูทราบว่าเขาเศร้าโศกเป็นทุกข์  ย่อมดีใจ
...
       แต่ในกาลใด  บัณฑิตฉลาดในการพิจารณาเหตุผล
ไม่หวั่นไหวในอันตราย (ในสิ่งที่เกิดขึ้น) ทั้งหลาย
ในกาลนั้น  พวกศัตรูเห็นหน้าซึ่งไม่ผิดปกติของบัณฑิตนั้น
ผู้ยังยิ้มแย้มตามเคย  ย่อมเป็นทุกข์
...
       บุคคลหากพึงได้ตามต้องการในที่ใด ๆ ด้วยวิธีใด ๆ
คือด้วยการสรรเสริญ  ด้วยการร่ายมนตร์
ด้วยการกล่าวคำสุภาษิต  ด้วยการให้
หรือด้วยการอ้างประเพณี
ก็พึงบากบั่นในที่นั้น ๆ ด้วยวิธีนั้น ๆ
...
       หากทราบว่าความต้องการนี้เราหรือคนอื่นไม่พึงได้
ก็ไม่ควรเศร้าโศก
ควรพิจารณายอมรับว่าเป็นธรรมดาของสิ่งเหล่านั้นในโลก
บัดนี้  เราจะทำอะไรได้"


ฐานสูตร  จบ



บทความที่เกี่ยวข้อง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปติปูชิกาวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > ปุปผวรรค)

อานันทเสฏฐิวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > พาลวรรค)

กาลียักขินีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > ยมกวรรค)