อัคคิทัตตปุโรหิตวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > พุทธวรรค)
อัคคิทัตตปุโรหิตวัตถุ (เรื่องปุโรหิตชื่ออัคคิทัต)
พระผู้มีพระภาคเมื่อประทับอยู่ในพระวิหารเชตวัน เขตกรุงสาวัตถี
ประทับนั่งบนกองทราย ทรงปรารภปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล ชื่ออัคคิทัต แล้วตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า
ในเวลาที่เขามาสู่พระราชสำนัก พระองค์ทรงทำการเสด็จลุกรับด้วยความเคารพ รับสั่งให้พระราชทานอาสนะ (ที่นั่ง) ที่เสมอกัน ด้วยพระดำรัสว่า "อาจารย์ เชิญนั่งบนอาสนะนี้"
อัคคิทัตนั้นคิดว่า "พระราชานี้ทรงทำความเคารพในเราอย่างเหลือเกิน แต่เราก็ไม่อาจเป็นที่ถูกพระราชหฤทัยของพระราชาทั้งหลายได้ตลอดกาล อนึ่ง พระราชาก็เยาว์วัย ยังหนุ่มน้อย ชื่อว่าความเป็นพระราชากับด้วยคนผู้มีวัยเสมอกันนั่นแลเป็นเหตุให้เกิดสุข ส่วนเราเป็นคนแก่ เราควรบวช"
เขาจึงกราบทูลให้พระราชาพระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้ว ให้คนตีกลองเที่ยวไปในพระนครแล้ว สละทรัพย์ทั้งหมดของตนให้ทานใหญ่ตลอด ๗ วัน แล้วบวช แต่มิได้บวชในสำนักของพระผู้มีพระภาค เป็นนักบวชภายนอกพระพุทธศาสนา เขามีบุรุษ ๑ หมื่นคนขอออกบวชตาม
อัคคิทัตพร้อมด้วยนักบวชเหล่านั้นพักอาศัยอยู่ในระหว่างแคว้นอังคะ แคว้นมคธ และแคว้นกุรุ
เขาให้โอวาทแก่บริวาร ๑ หมื่นคนนั้นว่า "พ่อทั้งหลาย บรรดาเธอทั้งหลาย ผู้ใดมีอกุศลวิตกเกิดขึ้น ผู้นั้นจงขนหม้อทรายหม้อหนึ่ง ๆ จากแม่น้ำมาเกลี่ยลง ณ ที่นี้"
(เขาคิดว่าเพื่อเป็นการฝึกสติ และระงับอกุศลวิตกมิให้เจริญ)
พวกนักบวชเหล่านั้นรับคำว่า "ดีแล้ว"
ในเวลาที่อกุศลวิตกเกิดขึ้นแล้ว พวกเขาก็ทำอย่างนั้น
ในเวลาต่อมา จึงเกิดมีกองทรายใหญ่ขึ้นแล้ว
นาคราชตนหนึ่งได้เข้ามาครอบครองอาศัยกองทรายใหญ่นั้นอยู่
ชาวอังคะ ชาวมคธ และชาวแคว้นกุรุ นำเครื่องสักการะเป็นอันมากไปถวายทานแก่พวกนักบวชเหล่านั้นทุก ๆ เดือน
อัคคิทัตก็ได้ให้โอวาทแก่ชนเหล่านั้นว่า "พวกท่านจงถึงภูเขา ป่าไม้ อาราม รุกขเจดีย์ เป็นที่พึ่ง พวกท่านจักพ้นจากทุกข์ทั้งสิ้นได้ด้วยอาการอย่างนี้"
และกล่าวสอนแม้บรรดานักบวช ๑ หมื่นคนด้วยโอวาทนี้เหมือนกัน
ในเวลาจวนรุ่ง ทรงตรวจดูสัตว์โลกเพื่อสงเคราะห์ ทรงเห็นอัคคิทัตพร้อมด้วยลูกศิษย์เข้าไปในข่ายคือพระญาณของพระองค์แล้ว ทรงทราบว่า "ชนเหล่านั้นทั้งหมดเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัยแห่งพระอรหัต"
ในเวลาเย็น ตรัสเรียกพระมหาโมคคัลลานะว่า "โมคคัลลานะ เธอเห็นอัคคิทัตพราหมณ์ผู้กล่าวสอนมหาชนให้แล่นไปโดยผิดทางใช่ไหม เธอจงไปให้โอวาทแก่มหาชนเหล่านั้น"
พระเถระกราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ชนเหล่านั้นมีจำนวนมาก ข้าพระองค์ผู้เดียวจะพึงข่มไม่ได้ ถ้าแม้พระองค์จักเสด็จไปไซร้ ชนเหล่านั้นจักเป็นอันพึงข่มได้"
พระศาสดาตรัสว่า "โมคคัลลานะ แม้เราก็จักไป เธอจงล่วงหน้าไปก่อน"
พระมหาโมคคัลลานะเถระรับพระดำรัสแล้ว กำลังเดินทางไป พลางคิดว่า "ชนเหล่านั้นทั้งมีกำลัง ทั้งมีจำนวนมาก ถ้าเราจักพูดอะไร ๆ ในที่ประชุมของชนทั้งหมดนั้น ชนทั้งหมดก็อาจลุกฮือขึ้น"
จึงบันดาลให้ฝนตกในที่นั้น
ชนเหล่านั้นเมื่อฝนตกแล้ว ต่างก็ลุกขึ้นไปสู่บรรณศาลาของตน ๆ
พระเถระมาถึงประตูบรรณศาลาของอัคคิทัตแล้ว กล่าวเรียกว่า "อัคคิทัต"
อัคคิทัตได้ยินเสียงของพระเถระแล้ว ไม่พอใจ ด้วยคิดว่าใคร ๆ ในโลกนี้ไม่ควรเรียกเราโดยการออกชื่อ (ถือเป็นการไม่เคารพ) จึงกล่าวว่า "นั่นใคร"
พระเถระ "ข้าพเจ้าเอง พราหมณ์"
อัคคิทัต "ท่านมาทำไม"
พระเถระ "ขอท่านจงให้สถานที่พักในที่นี้แก่ข้าพเจ้าสักคืนหนึ่งเถิด"
อัคคิทัต "สถานที่พักในที่นี้ไม่มี บรรณศาลาหลังหนึ่งก็สำหรับคนหนึ่งเท่านั้น"
พระเถระ "อัคคิทัต ธรรมดาพวกมนุษย์ย่อมไปสู่สำนักของมนุษย์ด้วยกัน พวกโคก็ไปสู่สำนักของโค พวกบรรพชิตก็ไปสู่สำนักของพวกบรรพชิต ฉะนั้น ท่านอย่าทำอย่างนั้น จงให้ที่พักแก่ข้าพเจ้าเถิด"
อัคคิทัต "ก็ท่านเป็นบรรพชิตหรือ"
พระเถระ "ใช่ ข้าพเจ้าเป็นบรรพชิต"
อัคคิทัต "สิ่งของที่เป็นบริขารของบรรพชิตของท่านอยู่ไหน"
พระเถระ "บริขารของข้าพเจ้ามีอยู่ แต่การถือบริขารเที่ยวไปเป็นการลำบาก ข้าพเจ้าจึงถือบริขารไว้ในภายในเที่ยวไป"
อัคคิทัตโกรธพระเถระว่า "ท่านจักถือบริขารไว้ในภายในอย่างไร"
พระเถระ "อัคคิทัต ท่านอย่าโกรธข้าพเจ้า จงให้สถานที่พักอยู่แก่ข้าพเจ้าเถิด"
อัคคิทัต "สถานที่พักในที่นี้ไม่มี"
พระเถระ "แล้วใครอยู่บนกองทรายนั้น"
อัคคิทัต "นาคราชตนหนึ่ง"
พระเถระ "ท่านจงอนุญาตที่แห่งนั้นแก่ข้าพเจ้า"
อัคคิทัต "ข้าพเจ้าไม่อาจให้ได้ นาคราชนั้นดุร้ายนัก"
พระเถระ "ช่างเถิด ขอท่านจงอนุญาตให้แก่เราเถิด"
อัคคิทัตจึงอนุญาตว่า "ถ้าเช่นนั้น ท่านจงรู้เองเถิด"
นาคราชเมื่อเห็นพระเถระกำลังเดินมา จึงคิดว่า "พระสมณะกำลังมาทางนี้ คงจะไม่รู้ว่ามีเราอยู่ เราจะบังหวนควันให้สมณะนั้นตาย" จึงบังหวนควันขึ้น
พระเถระคิดว่า "นาคราชตนนี้เห็นจะเข้าใจว่าเราเท่านั้นบังหวนควันได้ พวกอื่นไม่สามารถ" ดังนี้แล้ว จึงบังหวนควันขึ้นบ้าง
ควันทั้งหลายพุ่งออกจากสรีระของนาคราชและพระเถระขึ้นไปจนถึงพรหมโลก
ควันเหล่านั้นไม่สามารถเบียดเบียนพระเถระได้ แต่เบียดเบียนนาคราชฝ่ายเดียว
นาคราชไม่อาจทนกำลังแห่งควันได้ จึงทำไฟให้ลุกโพลงขึ้น
ฝ่ายพระเถระได้เข้าสมาบัติมีเตโชธาตุเป็นอารมณ์ แล้วทำไฟให้ลุกโพลงขึ้นพร้อมกับนาคราชนั้น
เปลวไฟทั้งสองพุ่งขึ้นไปถึงพรหมโลก
ไฟเหล่านั้นไม่สามารถเบียดเบียนพระเถระได้ แต่เบียดเบียนนาคราชฝ่ายเดียว
อัคคิทัตฤๅษีและลูกศิษย์เห็นเปลวไฟลุกโพลง คิดว่า "นาคราชเผาสมณะนั้นแล้ว สมณะนั้นไม่เชื่อฟังคำของพวกเราจึงฉิบหายแล้ว"
พระเถระเมื่อทรมานนาคราชให้หมดพยศแล้ว จึงนั่งบนกองทรายนั้น
นาคราชเอาขนดรวบกองทราย แผ่พังพานใหญ่กั้นอยู่เบื้องบนแห่งพระเถระ (เป็นการอารักขาพระเถระ)
เหล่าฤๅษีทั้งหลายไปยังกองทรายนั้นแต่เช้าตรู่ คิดว่า "พวกเราจะไปดูว่าสมณะนั้นตายหรือยัง"
เมื่อเห็นพระเถระนั่งอยู่บนกองทรายนั้น เกิดความอัศจรรย์ใจ ประคองอัญชลีชมเชยอยู่ว่า "สมณะ นาคราชไม่เบียดเบียนท่านเลยหรือ"
พระเถระ "ท่านทั้งหลายไม่เห็นนาคราชแผ่พังพานดำรงอยู่เบื้องบนแห่งเราหรือ"
ฤๅษีเหล่านั้นพูดกันว่า "น่าอัศจรรย์หนอ ท่านผู้เจริญ อานุภาพของสมณะมีมากเห็นปานนี้ พระสมณะนี้ทรมานนาคราชได้แล้ว" ได้ยืนล้อมพระเถระอยู่
ในขณะนั้น พระศาสดาเสด็จมาแล้ว พระเถระเห็นพระศาสดาแล้ว จึงลุกขึ้นถวายบังคม
ลำดับนั้น ฤๅษีทั้งหลายถามพระเถระว่า "สมณะผู้มาใหม่นี้เป็นใหญ่กว่าท่านหรือ"
พระเถระ "พระผู้มีพระภาคเป็นพระศาสดา ข้าพเจ้าเป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคนี้"
พระศาสดาตรัสเรียกอัคคิทัตมา แล้วตรัสว่า "อัคคิทัต ท่านเมื่อให้โอวาทแก่สาวกและอุปัฏฐากทั้งหลายของท่าน ท่านให้อย่างไร"
อัคคิทัต "ข้าพระองค์ให้โอวาทว่า 'ท่านทั้งหลายจงถึงภูเขา ป่าไม้ อาราม รุกขเจดีย์ เป็นที่พึ่ง พวกท่านจักพ้นจากทุกข์ทั้งสิ้นได้ด้วยอาการอย่างนี้"
แล้วทรงภาษิตพระคาถาว่า
"มนุษย์จำนวนมากผู้ถูกภัยคุกคาม
ต่างถึงภูเขา ป่าไม้ อาราม และรุกขเจดีย์เป็นที่พึ่ง
นั่นมิใช่ที่พึ่งอันเกษม นั่นมิใช่ที่พึ่งอันสูงสุด
เพราะการอาศัยที่พึ่งนั้นแล้ว ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้
ส่วนผู้ที่ถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง
ย่อมเห็นอริยสัจ คือความจริงอันประเสริฐ ๔ อย่าง ด้วยปัญญาอันชอบ
คือเห็นทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์ และข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
นี่แหละเป็นที่พึ่งอันเกษม เป็นที่พึ่งอันสูงสุด
เพราะการอาศัยที่พึ่งนี้แล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้"
ฤๅษีเหล่านั้นเมื่อฟังพระดำรัสนี้แล้ว พิจารณาใคร่ครวญเห็นจริงตาม ละทิ้งความเห็นผิดที่เคยยึดถือ เป็นผู้มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
ในกาลจบเทศนา ฤๅษีเหล่านั้นทั้งหมดบรรลุพระอรหัตพร้อมปฏิสัมภิทา ถวายบังคมพระศาสดาทูลขอการบรรพชาแล้ว
พระศาสดาตรัสว่า "ท่านทั้งหลายจงเป็นภิกษุมาเถิด จงประพฤติพรหมจรรย์"
ขณะนั้นเอง ฤๅษีเหล่านั้นก็ได้ดำรงอยู่ในเพศสมณะ เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งบริขาร ๘ ดุจพระเถระผู้ใหญ่มีพรรษาตั้งร้อย
ชนเหล่านั้นมาแล้ว เห็นฤๅษีเหล่านั้นทั้งหมดบวชแล้ว คิดสงสัยว่า "อัคคิทัตพราหมณ์ของพวกเราเป็นใหญ่ หรือพระผู้มีพระภาคเป็นใหญ่หนอ"
แล้วสำคัญกันว่า "อัคคิทัตเป็นใหญ่กว่าแน่ เพราะเหตุที่พระผู้มีพระภาคยังทรงมาหา"
พระศาสดาทรงทราบอัธยาศัยของชนเหล่านั้นแล้ว ตรัสว่า "อัคคิทัต เธอจงตัดความสงสัยของชนเหล่านี้เถิด"
พระอัคคิทัตกราบทูลว่า "แม้ข้าพระองค์ก็หวังจะกระทำเช่นนั้นอยู่"
แล้วจึงเหาะขึ้นไปสู่อากาศด้วยกำลังฤทธิ์ แล้วลงมากราบถวายบังคมพระศาสดาบ่อย ๆ ถึง ๗ ครั้ง แล้วกล่าวประกาศความที่ตนเป็นสาวกว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเป็นศาสดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เป็นสาวก"
ดังนี้แล
ประทับนั่งบนกองทราย ทรงปรารภปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล ชื่ออัคคิทัต แล้วตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า
อัคคิทัตทูลลาบวช
ดังได้สดับมา อัคคิทัตนั้นได้เป็นปุโรหิตของพระเจ้ามหาโกศล ครั้นเมื่อพระราชบิดาสวรรคตแล้ว พระราชาทรงพระนามว่าปเสนทิโกศลทรงดำริว่า "ผู้นี้เป็นปุโรหิตแห่งพระชนกของเรา" จึงตั้งเขาไว้ในตำแหน่งนั้นนั่นแลด้วยความเคารพในเวลาที่เขามาสู่พระราชสำนัก พระองค์ทรงทำการเสด็จลุกรับด้วยความเคารพ รับสั่งให้พระราชทานอาสนะ (ที่นั่ง) ที่เสมอกัน ด้วยพระดำรัสว่า "อาจารย์ เชิญนั่งบนอาสนะนี้"
อัคคิทัตนั้นคิดว่า "พระราชานี้ทรงทำความเคารพในเราอย่างเหลือเกิน แต่เราก็ไม่อาจเป็นที่ถูกพระราชหฤทัยของพระราชาทั้งหลายได้ตลอดกาล อนึ่ง พระราชาก็เยาว์วัย ยังหนุ่มน้อย ชื่อว่าความเป็นพระราชากับด้วยคนผู้มีวัยเสมอกันนั่นแลเป็นเหตุให้เกิดสุข ส่วนเราเป็นคนแก่ เราควรบวช"
เขาจึงกราบทูลให้พระราชาพระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้ว ให้คนตีกลองเที่ยวไปในพระนครแล้ว สละทรัพย์ทั้งหมดของตนให้ทานใหญ่ตลอด ๗ วัน แล้วบวช แต่มิได้บวชในสำนักของพระผู้มีพระภาค เป็นนักบวชภายนอกพระพุทธศาสนา เขามีบุรุษ ๑ หมื่นคนขอออกบวชตาม
อัคคิทัตพร้อมด้วยนักบวชเหล่านั้นพักอาศัยอยู่ในระหว่างแคว้นอังคะ แคว้นมคธ และแคว้นกุรุ
เขาให้โอวาทแก่บริวาร ๑ หมื่นคนนั้นว่า "พ่อทั้งหลาย บรรดาเธอทั้งหลาย ผู้ใดมีอกุศลวิตกเกิดขึ้น ผู้นั้นจงขนหม้อทรายหม้อหนึ่ง ๆ จากแม่น้ำมาเกลี่ยลง ณ ที่นี้"
(เขาคิดว่าเพื่อเป็นการฝึกสติ และระงับอกุศลวิตกมิให้เจริญ)
พวกนักบวชเหล่านั้นรับคำว่า "ดีแล้ว"
ในเวลาที่อกุศลวิตกเกิดขึ้นแล้ว พวกเขาก็ทำอย่างนั้น
ในเวลาต่อมา จึงเกิดมีกองทรายใหญ่ขึ้นแล้ว
นาคราชตนหนึ่งได้เข้ามาครอบครองอาศัยกองทรายใหญ่นั้นอยู่
ชาวอังคะ ชาวมคธ และชาวแคว้นกุรุ นำเครื่องสักการะเป็นอันมากไปถวายทานแก่พวกนักบวชเหล่านั้นทุก ๆ เดือน
อัคคิทัตก็ได้ให้โอวาทแก่ชนเหล่านั้นว่า "พวกท่านจงถึงภูเขา ป่าไม้ อาราม รุกขเจดีย์ เป็นที่พึ่ง พวกท่านจักพ้นจากทุกข์ทั้งสิ้นได้ด้วยอาการอย่างนี้"
และกล่าวสอนแม้บรรดานักบวช ๑ หมื่นคนด้วยโอวาทนี้เหมือนกัน
พระมหาโมคคัลลานะไปทรมานอัคคิทัต
ในสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคทรงอาศัยอยู่ในกรุงสาวัตถี ประทับอยู่ในพระวิหารเชตวันในเวลาจวนรุ่ง ทรงตรวจดูสัตว์โลกเพื่อสงเคราะห์ ทรงเห็นอัคคิทัตพร้อมด้วยลูกศิษย์เข้าไปในข่ายคือพระญาณของพระองค์แล้ว ทรงทราบว่า "ชนเหล่านั้นทั้งหมดเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัยแห่งพระอรหัต"
ในเวลาเย็น ตรัสเรียกพระมหาโมคคัลลานะว่า "โมคคัลลานะ เธอเห็นอัคคิทัตพราหมณ์ผู้กล่าวสอนมหาชนให้แล่นไปโดยผิดทางใช่ไหม เธอจงไปให้โอวาทแก่มหาชนเหล่านั้น"
พระเถระกราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ชนเหล่านั้นมีจำนวนมาก ข้าพระองค์ผู้เดียวจะพึงข่มไม่ได้ ถ้าแม้พระองค์จักเสด็จไปไซร้ ชนเหล่านั้นจักเป็นอันพึงข่มได้"
พระศาสดาตรัสว่า "โมคคัลลานะ แม้เราก็จักไป เธอจงล่วงหน้าไปก่อน"
พระมหาโมคคัลลานะเถระรับพระดำรัสแล้ว กำลังเดินทางไป พลางคิดว่า "ชนเหล่านั้นทั้งมีกำลัง ทั้งมีจำนวนมาก ถ้าเราจักพูดอะไร ๆ ในที่ประชุมของชนทั้งหมดนั้น ชนทั้งหมดก็อาจลุกฮือขึ้น"
จึงบันดาลให้ฝนตกในที่นั้น
ชนเหล่านั้นเมื่อฝนตกแล้ว ต่างก็ลุกขึ้นไปสู่บรรณศาลาของตน ๆ
พระเถระมาถึงประตูบรรณศาลาของอัคคิทัตแล้ว กล่าวเรียกว่า "อัคคิทัต"
อัคคิทัตได้ยินเสียงของพระเถระแล้ว ไม่พอใจ ด้วยคิดว่าใคร ๆ ในโลกนี้ไม่ควรเรียกเราโดยการออกชื่อ (ถือเป็นการไม่เคารพ) จึงกล่าวว่า "นั่นใคร"
พระเถระ "ข้าพเจ้าเอง พราหมณ์"
อัคคิทัต "ท่านมาทำไม"
พระเถระ "ขอท่านจงให้สถานที่พักในที่นี้แก่ข้าพเจ้าสักคืนหนึ่งเถิด"
อัคคิทัต "สถานที่พักในที่นี้ไม่มี บรรณศาลาหลังหนึ่งก็สำหรับคนหนึ่งเท่านั้น"
พระเถระ "อัคคิทัต ธรรมดาพวกมนุษย์ย่อมไปสู่สำนักของมนุษย์ด้วยกัน พวกโคก็ไปสู่สำนักของโค พวกบรรพชิตก็ไปสู่สำนักของพวกบรรพชิต ฉะนั้น ท่านอย่าทำอย่างนั้น จงให้ที่พักแก่ข้าพเจ้าเถิด"
อัคคิทัต "ก็ท่านเป็นบรรพชิตหรือ"
พระเถระ "ใช่ ข้าพเจ้าเป็นบรรพชิต"
อัคคิทัต "สิ่งของที่เป็นบริขารของบรรพชิตของท่านอยู่ไหน"
พระเถระ "บริขารของข้าพเจ้ามีอยู่ แต่การถือบริขารเที่ยวไปเป็นการลำบาก ข้าพเจ้าจึงถือบริขารไว้ในภายในเที่ยวไป"
อัคคิทัตโกรธพระเถระว่า "ท่านจักถือบริขารไว้ในภายในอย่างไร"
พระเถระ "อัคคิทัต ท่านอย่าโกรธข้าพเจ้า จงให้สถานที่พักอยู่แก่ข้าพเจ้าเถิด"
อัคคิทัต "สถานที่พักในที่นี้ไม่มี"
พระเถระ "แล้วใครอยู่บนกองทรายนั้น"
อัคคิทัต "นาคราชตนหนึ่ง"
พระเถระ "ท่านจงอนุญาตที่แห่งนั้นแก่ข้าพเจ้า"
อัคคิทัต "ข้าพเจ้าไม่อาจให้ได้ นาคราชนั้นดุร้ายนัก"
พระเถระ "ช่างเถิด ขอท่านจงอนุญาตให้แก่เราเถิด"
อัคคิทัตจึงอนุญาตว่า "ถ้าเช่นนั้น ท่านจงรู้เองเถิด"
พระเถระผจญกับนาคราช
จากนั้น พระมหาโมคคัลลานะเถระได้ตรงไปยังกองทรายนั้นแล้วนาคราชเมื่อเห็นพระเถระกำลังเดินมา จึงคิดว่า "พระสมณะกำลังมาทางนี้ คงจะไม่รู้ว่ามีเราอยู่ เราจะบังหวนควันให้สมณะนั้นตาย" จึงบังหวนควันขึ้น
พระเถระคิดว่า "นาคราชตนนี้เห็นจะเข้าใจว่าเราเท่านั้นบังหวนควันได้ พวกอื่นไม่สามารถ" ดังนี้แล้ว จึงบังหวนควันขึ้นบ้าง
ควันทั้งหลายพุ่งออกจากสรีระของนาคราชและพระเถระขึ้นไปจนถึงพรหมโลก
ควันเหล่านั้นไม่สามารถเบียดเบียนพระเถระได้ แต่เบียดเบียนนาคราชฝ่ายเดียว
นาคราชไม่อาจทนกำลังแห่งควันได้ จึงทำไฟให้ลุกโพลงขึ้น
ฝ่ายพระเถระได้เข้าสมาบัติมีเตโชธาตุเป็นอารมณ์ แล้วทำไฟให้ลุกโพลงขึ้นพร้อมกับนาคราชนั้น
เปลวไฟทั้งสองพุ่งขึ้นไปถึงพรหมโลก
ไฟเหล่านั้นไม่สามารถเบียดเบียนพระเถระได้ แต่เบียดเบียนนาคราชฝ่ายเดียว
นาคราชแพ้พระเถระ
ลำดับนั้น สรีระทั้งสิ้นของนาคราชได้เป็นราวกะว่าถูกคบเพลิงลนทั่วแล้วอัคคิทัตฤๅษีและลูกศิษย์เห็นเปลวไฟลุกโพลง คิดว่า "นาคราชเผาสมณะนั้นแล้ว สมณะนั้นไม่เชื่อฟังคำของพวกเราจึงฉิบหายแล้ว"
พระเถระเมื่อทรมานนาคราชให้หมดพยศแล้ว จึงนั่งบนกองทรายนั้น
นาคราชเอาขนดรวบกองทราย แผ่พังพานใหญ่กั้นอยู่เบื้องบนแห่งพระเถระ (เป็นการอารักขาพระเถระ)
เหล่าฤๅษีทั้งหลายไปยังกองทรายนั้นแต่เช้าตรู่ คิดว่า "พวกเราจะไปดูว่าสมณะนั้นตายหรือยัง"
เมื่อเห็นพระเถระนั่งอยู่บนกองทรายนั้น เกิดความอัศจรรย์ใจ ประคองอัญชลีชมเชยอยู่ว่า "สมณะ นาคราชไม่เบียดเบียนท่านเลยหรือ"
พระเถระ "ท่านทั้งหลายไม่เห็นนาคราชแผ่พังพานดำรงอยู่เบื้องบนแห่งเราหรือ"
ฤๅษีเหล่านั้นพูดกันว่า "น่าอัศจรรย์หนอ ท่านผู้เจริญ อานุภาพของสมณะมีมากเห็นปานนี้ พระสมณะนี้ทรมานนาคราชได้แล้ว" ได้ยืนล้อมพระเถระอยู่
ในขณะนั้น พระศาสดาเสด็จมาแล้ว พระเถระเห็นพระศาสดาแล้ว จึงลุกขึ้นถวายบังคม
ลำดับนั้น ฤๅษีทั้งหลายถามพระเถระว่า "สมณะผู้มาใหม่นี้เป็นใหญ่กว่าท่านหรือ"
พระเถระ "พระผู้มีพระภาคเป็นพระศาสดา ข้าพเจ้าเป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคนี้"
พวกฤๅษีชมเชยพระศาสดา
พระศาสดาประทับนั่งบนยอดกองทรายนั้นแล้ว หมู่ฤๅษีประคองอัญชลีชมเชยพระศาสดาว่า "อานุภาพของสาวกยังถึงเพียงนี้ แล้วอานุภาพของพระศาสดาจักเป็นเช่นไร"พระศาสดาตรัสเรียกอัคคิทัตมา แล้วตรัสว่า "อัคคิทัต ท่านเมื่อให้โอวาทแก่สาวกและอุปัฏฐากทั้งหลายของท่าน ท่านให้อย่างไร"
อัคคิทัต "ข้าพระองค์ให้โอวาทว่า 'ท่านทั้งหลายจงถึงภูเขา ป่าไม้ อาราม รุกขเจดีย์ เป็นที่พึ่ง พวกท่านจักพ้นจากทุกข์ทั้งสิ้นได้ด้วยอาการอย่างนี้"
ที่พึ่งอันเกษมและไม่เกษม
พระศาสดาตรัสว่า "อัคคิทัต บุคคลถึงวัตถุทั้งหลายมีภูเขาเป็นต้นนั้นว่าเป็นที่พึ่งแล้ว ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ได้เลย ส่วนบุคคลถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่ง ย่อมพ้นจากทุกข์ในวัฏฏะได้"แล้วทรงภาษิตพระคาถาว่า
"มนุษย์จำนวนมากผู้ถูกภัยคุกคาม
ต่างถึงภูเขา ป่าไม้ อาราม และรุกขเจดีย์เป็นที่พึ่ง
นั่นมิใช่ที่พึ่งอันเกษม นั่นมิใช่ที่พึ่งอันสูงสุด
เพราะการอาศัยที่พึ่งนั้นแล้ว ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้
ส่วนผู้ที่ถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง
ย่อมเห็นอริยสัจ คือความจริงอันประเสริฐ ๔ อย่าง ด้วยปัญญาอันชอบ
คือเห็นทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์ และข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
นี่แหละเป็นที่พึ่งอันเกษม เป็นที่พึ่งอันสูงสุด
เพราะการอาศัยที่พึ่งนี้แล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้"
ฤๅษีเหล่านั้นเมื่อฟังพระดำรัสนี้แล้ว พิจารณาใคร่ครวญเห็นจริงตาม ละทิ้งความเห็นผิดที่เคยยึดถือ เป็นผู้มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
ในกาลจบเทศนา ฤๅษีเหล่านั้นทั้งหมดบรรลุพระอรหัตพร้อมปฏิสัมภิทา ถวายบังคมพระศาสดาทูลขอการบรรพชาแล้ว
พระศาสดาตรัสว่า "ท่านทั้งหลายจงเป็นภิกษุมาเถิด จงประพฤติพรหมจรรย์"
ขณะนั้นเอง ฤๅษีเหล่านั้นก็ได้ดำรงอยู่ในเพศสมณะ เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งบริขาร ๘ ดุจพระเถระผู้ใหญ่มีพรรษาตั้งร้อย
ชาวเมืองเข้าใจว่าอัคคิทัตเป็นใหญ่กว่าพระศาสดา
ในวันนั้นเอง เป็นวันที่ชาวแคว้นอังคะ แคว้นมคธ และแคว้นกุรุ จะถือเครื่องสักการะมายังสำนักของอัคคิทัตชนเหล่านั้นมาแล้ว เห็นฤๅษีเหล่านั้นทั้งหมดบวชแล้ว คิดสงสัยว่า "อัคคิทัตพราหมณ์ของพวกเราเป็นใหญ่ หรือพระผู้มีพระภาคเป็นใหญ่หนอ"
แล้วสำคัญกันว่า "อัคคิทัตเป็นใหญ่กว่าแน่ เพราะเหตุที่พระผู้มีพระภาคยังทรงมาหา"
พระศาสดาทรงทราบอัธยาศัยของชนเหล่านั้นแล้ว ตรัสว่า "อัคคิทัต เธอจงตัดความสงสัยของชนเหล่านี้เถิด"
พระอัคคิทัตกราบทูลว่า "แม้ข้าพระองค์ก็หวังจะกระทำเช่นนั้นอยู่"
แล้วจึงเหาะขึ้นไปสู่อากาศด้วยกำลังฤทธิ์ แล้วลงมากราบถวายบังคมพระศาสดาบ่อย ๆ ถึง ๗ ครั้ง แล้วกล่าวประกาศความที่ตนเป็นสาวกว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเป็นศาสดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เป็นสาวก"
ดังนี้แล
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น