ทานมหัปผลสูตร (อังคุตตรนิกาย > สัตตกนิบาต > มหายัญญวรรค)


ทานมหัปผลสูตร  (ว่าด้วยทานที่มีผลมากและทานที่ไม่มีผลมาก)

สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่  ณ  ฝั่งสระคัคคราโบกขรณี  เขตกรุงจัมปา
ครั้งนั้นแล  อุบาสกชาวกรุงจัมปาจำนวนมากเข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่  อภิวาท  แล้วนั่ง  ณ  ที่สมควร  ได้กล่าวกับท่านพระสารีบุตรดังนี้ว่า
"ท่านผู้เจริญ  เราทั้งหลายได้ฟังธรรมีกถาต่อพระพักตร์พระผู้มีพระภาคผ่านมานานแล้ว  ขอให้เราทั้งหลายได้ฟังธรรมีกถาของพระผู้มีพระภาคด้วยเถิด"

ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า  "ผู้มีอายุทั้งหลาย  ถ้าเช่นนั้น  ท่านทั้งหลายควรมาในวันอุโบสถเถิด  จะได้ฟังธรรมีกถาในสำนักของพระผู้มีพระภาคแน่นอน"
อุบาสกชาวกรุงจัมปารับคำ  แล้วลุกจากที่นั่ง  อภิวาท  ทำประทักษิณแล้วจากไป

ครั้นถึงวันอุโบสถ  อุบาสกชาวกรุงจัมปาได้พากันไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่  อภิวาทแล้วได้ยืนอยู่  ณ  ที่สมควร
ต่อจากนั้น  ท่านพระสารีบุตรพร้อมด้วยอุบาสกชาวกรุงจัมปาเหล่านั้นเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ  ถวายอภิวาท  แล้วนั่ง  ณ  ที่สมควร  ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  มีได้ไหม  ทานชนิดเดียวกันที่บุคคลบางคนในโลกนี้ถวายแล้วไม่มีผลมาก  ไม่มีอานิสงส์มาก  แต่ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ถวายแล้วกลับมีผลมาก  มีอานิสงส์มาก"

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า  "มีได้  สารีบุตร
ทานชนิดเดียวกันที่บุคคลบางคนในโลกนี้ถวายแล้วไม่มีผลมาก  ไม่มีอานิสงส์มาก
แต่ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ถวายแล้วกลับมีผลมาก  มีอานิสงส์มาก"

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
อะไรหนอแลเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ทานชนิดเดียวกันที่บุคคลบางคนในโลกนี้ถวายแล้วไม่มีผลมาก  ไม่มีอานิสงส์มาก
อะไรหนอแลเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ทานชนิดเดียวกันที่บุคคลบางคนในโลกนี้ถวายแล้วกลับมีผลมาก  มีอานิสงส์มาก"

[๑]  "สารีบุตร  บุคคลบางคนในโลกนี้ให้ทานอย่างมีใจเยื่อใย  ให้ทานอย่างมีจิตผูกพัน  ให้ทานอย่างมุ่งหวังสั่งสมบุญ  ให้ทานด้วยคิดว่า  'เราละโลกนี้ไปแล้ว  จักบริโภคผลทานนี้'
เขาจึงให้ทานนั้น  คือ  ข้าว  น้ำ  ผ้า  ยาน  ดอกไม้  ของหอม  เครื่องลูบไล้  ที่นอน  ที่พัก  เครื่องประทีป  แก่สมณะหรือพราหมณ์
สารีบุตร  เธอเข้าใจเรื่องนั้นอย่างไร  คือ  บุคคลบางคนในโลกนี้ควรให้ทานเช่นนั้นหรือไม่"

"ควรให้  พระพุทธเจ้าข้า"

"สารีบุตร  ในการให้ทานเช่นนั้น  บุคคลผู้ให้ทานอย่างมีใจเยื่อใย  ให้ทานอย่างมีจิตผูกพัน  ให้ทานอย่างมุ่งหวังสั่งสมบุญ  ให้ทานด้วยคิดว่า  'เราละโลกนี้ไปแล้ว  จักบริโภคผลทานนี้'  เขาให้ทานนั้นแล้ว
หลังจากตายแล้ว  ย่อมไปเกิดร่วมกับพวกเทวดาชั้นจาตุมหาราช
เขาให้กรรมนั้นสิ้นไป  ให้ฤทธิ์นั้นสิ้นไป  ให้ยศนั้นสิ้นไป  ให้ความเป็นใหญ่นั้นสิ้นไป  เป็นผู้ยังต้องมา  คือมาสู่ความเป็นอย่างนี้

[๒]  สารีบุตร  ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ให้ทานอย่างไม่มีใจเยื่อใย  ให้ทานอย่างไม่มีจิตผูกพัน  ให้ทานอย่างไม่มุ่งหวังสั่งสมบุญ  มิใช่ให้ทานด้วยคิดว่า  'เราละโลกนี้ไปแล้ว  จักบริโภคผลทานนี้'
แต่ให้ทานด้วยคิดว่า  'การให้ทานเป็นการดี'
เขาจึงให้ทานนั้น  คือ  ข้าว  น้ำ  ผ้า  ยาน  ดอกไม้  ของหอม  เครื่องลูบไล้  ที่นอน  ที่พัก  เครื่องประทีป  แก่สมณะหรือพราหมณ์
สารีบุตร  เธอเข้าใจเรื่องนั้นอย่างไร  คือ  บุคคลบางคนในโลกนี้ควรให้ทานเช่นนั้นหรือไม่"

"ควรให้  พระพุทธเจ้าข้า"

"สารีบุตร  ในการให้ทานเช่นนั้น  ฯลฯ
หลังจากตายแล้ว  ย่อมไปเกิดร่วมกับพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์
เขาให้กรรมนั้นสิ้นไป  ให้ฤทธิ์นั้นสิ้นไป  ให้ยศนั้นสิ้นไป  ให้ความเป็นใหญ่นั้นสิ้นไป  เป็นผู้ยังต้องมา  คือมาสู่ความเป็นอย่างนี้

[๓]  สารีบุตร  ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ให้ทานอย่างไม่มีใจเยื่อใย  ให้ทานอย่างไม่มีจิตผูกพัน  ให้ทานอย่างไม่มุ่งหวังสั่งสมบุญ  มิใช่ให้ทานด้วยคิดว่า  'เราละโลกนี้ไปแล้ว  จักบริโภคผลทานนี้'
ทั้งมิได้ให้ทานด้วยคิดว่า  'การให้ทานเป็นการดี'
แต่ให้ทานด้วยคิดว่า  'พ่อแม่ปู่ย่าตายายเคยให้ทาน  เคยทำทาน  เราไม่ควรให้วงศ์ตระกูลเก่าแก่เสื่อมเสียไป'
เขาจึงให้ทานนั้น  คือ  ข้าว  น้ำ  ผ้า  ยาน  ดอกไม้  ของหอม  เครื่องลูบไล้  ที่นอน  ที่พัก  เครื่องประทีป  แก่สมณะหรือพราหมณ์
สารีบุตร  เธอเข้าใจเรื่องนั้นอย่างไร  คือ  บุคคลบางคนในโลกนี้ควรให้ทานเช่นนั้นหรือไม่"

"ควรให้  พระพุทธเจ้าข้า"

"สารีบุตร  ในการให้ทานเช่นนั้น  ฯลฯ
หลังจากตายแล้ว  ย่อมไปเกิดร่วมกับพวกเทวดาชั้นยามา
เขาให้กรรมนั้นสิ้นไป  ให้ฤทธิ์นั้นสิ้นไป  ให้ยศนั้นสิ้นไป  ให้ความเป็นใหญ่นั้นสิ้นไป  เป็นผู้ยังต้องมา  คือมาสู่ความเป็นอย่างนี้

[๔]  สารีบุตร  ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ให้ทานอย่างไม่มีใจเยื่อใย  ให้ทานอย่างไม่มีจิตผูกพัน  ให้ทานอย่างไม่มุ่งหวังสั่งสมบุญ  มิใช่ให้ทานด้วยคิดว่า  'เราละโลกนี้ไปแล้ว  จักบริโภคผลทานนี้'
มิได้ให้ทานด้วยคิดว่า  'การให้ทานเป็นการดี'
ทั้งมิได้ให้ทานด้วยคิดว่า  'พ่อแม่ปู่ย่าตายายเคยให้ทาน  เคยทำทาน  เราไม่ควรให้วงศ์ตระกูลเก่าแก่เสื่อมเสียไป'
แต่ให้ทานด้วยคิดว่า  'เราหุงหากินเองได้  ชนเหล่านี้หุงหากินเองไม่ได้  การที่เราผู้หุงหากินเองได้จะไม่ให้ทานแก่ชนเหล่านี้ผู้หุงหากินเองไม่ได้  ไม่สมควร'
เขาจึงให้ทานนั้น  คือ  ข้าว  น้ำ  ผ้า  ยาน  ดอกไม้  ของหอม  เครื่องลูบไล้  ที่นอน  ที่พัก  เครื่องประทีป  แก่สมณะหรือพราหมณ์
สารีบุตร  เธอเข้าใจเรื่องนั้นอย่างไร  คือ  บุคคลบางคนในโลกนี้ควรให้ทานเช่นนั้นหรือไม่"

"ควรให้  พระพุทธเจ้าข้า"

"สารีบุตร  ในการให้ทานเช่นนั้น  ฯลฯ
หลังจากตายแล้ว  ย่อมไปเกิดร่วมกับพวกเทวดาชั้นดุสิต
เขาให้กรรมนั้นสิ้นไป  ให้ฤทธิ์นั้นสิ้นไป  ให้ยศนั้นสิ้นไป  ให้ความเป็นใหญ่นั้นสิ้นไป  เป็นผู้ยังต้องมา  คือมาสู่ความเป็นอย่างนี้

[๕]  สารีบุตร  ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ให้ทานอย่างไม่มีใจเยื่อใย  ให้ทานอย่างไม่มีจิตผูกพัน  ให้ทานอย่างไม่มุ่งหวังสั่งสมบุญ  มิใช่ให้ทานด้วยคิดว่า  'เราละโลกนี้ไปแล้ว  จักบริโภคผลทานนี้'
มิได้ให้ทานด้วยคิดว่า  'การให้ทานเป็นการดี'
มิได้ให้ทานด้วยคิดว่า  'พ่อแม่ปู่ย่าตายายเคยให้ทาน  เคยทำทาน  เราไม่ควรให้วงศ์ตระกูลเก่าแก่เสื่อมเสียไป'
ทั้งมิได้ให้ทานด้วยคิดว่า  'เราหุงหากินเองได้  ชนเหล่านี้หุงหากินเองไม่ได้  การที่เราผู้หุงหากินเองได้จะไม่ให้ทานแก่ชนเหล่านี้ผู้หุงหากินเองไม่ได้  ไม่สมควร'
แต่ให้ทานด้วยคิดว่า  'เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทานเหมือนฤๅษีแต่ครั้งก่อนบูชามหายัญ'
เขาจึงให้ทานนั้น  คือ  ข้าว  น้ำ  ผ้า  ยาน  ดอกไม้  ของหอม  เครื่องลูบไล้  ที่นอน  ที่พัก  เครื่องประทีป  แก่สมณะหรือพราหมณ์
สารีบุตร  เธอเข้าใจเรื่องนั้นอย่างไร  คือ  บุคคลบางคนในโลกนี้ควรให้ทานเช่นนั้นหรือไม่"

"ควรให้  พระพุทธเจ้าข้า"

"สารีบุตร  ในการให้ทานเช่นนั้น  ฯลฯ
หลังจากตายแล้ว  ย่อมไปเกิดร่วมกับพวกเทวดาชั้นนิมมานรดี
เขาให้กรรมนั้นสิ้นไป  ให้ฤทธิ์นั้นสิ้นไป  ให้ยศนั้นสิ้นไป  ให้ความเป็นใหญ่นั้นสิ้นไป  เป็นผู้ยังต้องมา  คือมาสู่ความเป็นอย่างนี้


[๖]  สารีบุตร  ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ให้ทานอย่างไม่มีใจเยื่อใย  ให้ทานอย่างไม่มีจิตผูกพัน  ให้ทานอย่างไม่มุ่งหวังสั่งสมบุญ  มิใช่ให้ทานด้วยคิดว่า  'เราละโลกนี้ไปแล้ว  จักบริโภคผลทานนี้'
มิได้ให้ทานด้วยคิดว่า  'การให้ทานเป็นการดี'
มิได้ให้ทานด้วยคิดว่า  'พ่อแม่ปู่ย่าตายายเคยให้ทาน  เคยทำทาน  เราไม่ควรให้วงศ์ตระกูลเก่าแก่เสื่อมเสียไป'
มิได้ให้ทานด้วยคิดว่า  'เราหุงหากินเองได้  ชนเหล่านี้หุงหากินเองไม่ได้  การที่เราผู้หุงหากินเองได้จะไม่ให้ทานแก่ชนเหล่านี้ผู้หุงหากินเองไม่ได้  ไม่สมควร'
ทั้งมิได้ให้ทานด้วยคิดว่า  'เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทานเหมือนฤๅษีแต่ครั้งก่อนบูชามหายัญ'
แต่ให้ทานด้วยคิดว่า  'เมื่อเราให้ทานนี้  จิตย่อมผ่องใส  จะเกิดความชื่นชมโสมนัส'
เขาจึงให้ทานนั้น  คือ  ข้าว  น้ำ  ผ้า  ยาน  ดอกไม้  ของหอม  เครื่องลูบไล้  ที่นอน  ที่พัก  เครื่องประทีป  แก่สมณะหรือพราหมณ์
สารีบุตร  เธอเข้าใจเรื่องนั้นอย่างไร  คือ  บุคคลบางคนในโลกนี้ควรให้ทานเช่นนั้นหรือไม่"

"ควรให้  พระพุทธเจ้าข้า"

"สารีบุตร  ในการให้ทานเช่นนั้น  ฯลฯ
หลังจากตายแล้ว  ย่อมไปเกิดร่วมกับพวกเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตดี
เขาให้กรรมนั้นสิ้นไป  ให้ฤทธิ์นั้นสิ้นไป  ให้ยศนั้นสิ้นไป  ให้ความเป็นใหญ่นั้นสิ้นไป  เป็นผู้ยังต้องมา  คือมาสู่ความเป็นอย่างนี้


[๗]  สารีบุตร  ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ให้ทานอย่างไม่มีใจเยื่อใย  ให้ทานอย่างไม่มีจิตผูกพัน  ให้ทานอย่างไม่มุ่งหวังสั่งสมบุญ  มิใช่ให้ทานด้วยคิดว่า  'เราละโลกนี้ไปแล้ว  จักบริโภคผลทานนี้'
มิได้ให้ทานด้วยคิดว่า  'การให้ทานเป็นการดี'
มิได้ให้ทานด้วยคิดว่า  'พ่อแม่ปู่ย่าตายายเคยให้ทาน  เคยทำทาน  เราไม่ควรให้วงศ์ตระกูลเก่าแก่เสื่อมเสียไป'
มิได้ให้ทานด้วยคิดว่า  'เราหุงหากินเองได้  ชนเหล่านี้หุงหากินเองไม่ได้  การที่เราผู้หุงหากินเองได้จะไม่ให้ทานแก่ชนเหล่านี้ผู้หุงหากินเองไม่ได้  ไม่สมควร'
มิได้ให้ทานด้วยคิดว่า  'เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทานเหมือนฤๅษีแต่ครั้งก่อนบูชามหายัญ'
ทั้งมิได้ให้ทานด้วยคิดว่า  'เมื่อเราให้ทานนี้  จิตย่อมผ่องใส  จะเกิดความชื่นชมโสมนัส'
แต่ให้ทานเป็นเครื่องประดับจิตและปรุงแต่งจิต
เขาจึงให้ทานนั้น  คือ  ข้าว  น้ำ  ผ้า  ยาน  ดอกไม้  ของหอม  เครื่องลูบไล้  ที่นอน  ที่พัก  เครื่องประทีป  แก่สมณะหรือพราหมณ์
สารีบุตร  เธอเข้าใจเรื่องนั้นอย่างไร  คือ  บุคคลบางคนในโลกนี้ควรให้ทานเช่นนั้นหรือไม่"

"ควรให้  พระพุทธเจ้าข้า"

"สารีบุตร  ในการให้ทานเช่นนั้น  ฯลฯ
หลังจากตายแล้ว  ย่อมไปเกิดร่วมกับพวกเทวดาชั้นพรหมกายิกา
เขาให้กรรมนั้นสิ้นไป  ให้ฤทธิ์นั้นสิ้นไป  ให้ยศนั้นสิ้นไป  ให้ความเป็นใหญ่นั้นสิ้นไป  เป็นผู้ไม่ต้องกลับมา  คือไม่มาสู่ความเป็นอย่างนี้

สารีบุตร
นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ทานชนิดเดียวกันที่บุคคลบางคนในโลกนี้ถวายแล้วไม่มีผลมาก  ไม่มีอานิสงส์มาก
นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ทานชนิดเดียวกันที่บุคคลบางคนในโลกนี้ถวายแล้วกลับมีผลมาก  มีอานิสงส์มาก"

ทานมหัปผลสูตร  จบ


บทความที่เกี่ยวข้อง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

พยสนสูตร (อังคุตตรนิกาย > ปัญจกนิบาต > ตติยปัณณาสก์ > คิลานวรรค)

กาลียักขินีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > ยมกวรรค)

ปฏาจาราเถรีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > สหัสสวรรค)