ทีฆาวุวัตถุ (มหาวรรค > โกสัมพิกขันธกะ)
ทีฆาวุวัตถุ (ว่าด้วยทีฆาวุกุมาร)
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้รับสั่งกับภิกษุทั้งหลายว่า
"ภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว
ในกรุงพาราณสี ได้มีพระเจ้ากาสีพระนามว่าพรหมทัต ทรงเป็นกษัตริย์ผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก มีกำลังพลมาก มีพาหนะมาก มีอาณาจักรกว้างใหญ่ มีภัณฑาคารห้องเก็บของมีค่าและคลังพืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์
พระเจ้าโกศลทรงพระนามว่าทีฆีติ ทรงเป็นกษัตริย์ผู้ขัดสน มีทรัพย์น้อย มีโภคสมบัติน้อย มีกำลังพลน้อย มีพาหนะน้อย มีอาณาจักรไม่กว้างใหญ่ มีภัณฑาคารห้องเก็บของมีค่าและคลังพืชพันธุ์ธัญญาหารไม่อุดมสมบูรณ์
ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น พระเจ้าพรหมทัตกาสีราชเสด็จคุมกองทหารประกอบด้วยองค์ ๔ ไปโจมตีพระเจ้าทีฆีติโกศลราช
พระเจ้าทีฆีติโกศลราชทรงสดับว่า 'พระเจ้าพรหมทัตกาสีราชเสด็จคุมกองทหารประกอบด้วยองค์ ๔ มาโจมตีเรา'
จึงทรงดำริดังนี้ว่า "พระเจ้าพรหมทัตกาสีราช ทรงเป็นกษัตริย์ผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก มีกำลังพลมาก มีพาหนะมาก มีอาณาจักรกว้างใหญ่ มีภัณฑาคารห้องเก็บของมีค่าและคลังพืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์
ส่วนเราเอง เป็นกษัตริย์ผู้ขัดสน มีทรัพย์น้อย มีโภคสมบัติน้อย มีกำลังพลน้อย มีพาหนะน้อย มีอาณาจักรไม่กว้างใหญ่ มีภัณฑาคารห้องเก็บของมีค่าและคลังพืชพันธุ์ธัญญาหารไม่อุดมสมบูรณ์
เราไม่สามารถจะทำสงครามแม้เพียงครั้งเดียวกับพระเจ้าพรหมทัตกาสีราชได้เลย
อย่ากระนั้นเลย เราควรรีบหนีไปจากเมืองเสียก่อน"
ลำดับนั้น พระเจ้าทีฆีติโกศลราชจึงทรงพาพระมเหสีเสด็จหนีไปจากเมืองเสียก่อน
ฝ่ายพระเจ้าพรหมทัตกาสีราชทรงยึดกำลังพล พาหนะ ชนบท คลังอาวุธยุทโธปกรณ์และคลังพืชพันธุ์ธัญญาหารของพระเจ้าทีฆีติโกศลราชไว้ได้แล้ว เสด็จเข้าครอบครองแทน
ครั้งนั้น พระเจ้าทีฆีติโกศลราชพร้อมด้วยพระมเหสีได้เสด็จหนีไปทางกรุงพาราณสี เสด็จจาริกไปตามลำดับ ลุถึงกรุงพาราณสีแล้ว
ทราบว่า ท้าวเธอพร้อมกับพระมเหสีทรงปลอมแปลงพระองค์มิให้คนรู้จัก ทรงนุ่งห่มเยี่ยงปริพาชก ประทับอยู่ในบ้านช่างหม้อซึ่งตั้งอยู่ชายแดนแห่งหนึ่งในกรุงพาราณสี
ต่อมาไม่นานนัก พระมเหสีของพระเจ้าทีฆีติโกศลราชทรงมีพระครรภ์
พระนางเกิดอาการแพ้ท้องเช่นนี้ คือ ในยามรุ่งอรุณ พระนางปรารถนาจะทอดพระเนตรกองทหารประกอบด้วยองค์ ๔ ผู้สวมเกราะยืนอยู่ในสมรภูมิ และจะทรงเสวยน้ำล้างพระแสงขรรค์
ครั้งนั้น พระมเหสีของพระเจ้าทีฆีติโกศลราชจึงได้กราบทูลดังนี้ว่า "ขอเดชะ หม่อมฉันมีครรภ์
หม่อมฉันนั้นเกิดอาการแพ้ท้องเช่นนี้ คือ ยามรุ่งอรุณ ปรารถนาจะทอดพระเนตรกองทหารประกอบด้วยองค์ ๔ ผู้สวมเกราะยืนอยู่ในสมรภูมิ และจะทรงเสวยน้ำล้างพระแสงขรรค์"
พระเจ้าทีฆีติตรัสว่า "แม่เทวี เรากำลังตกยาก จะได้กองทหารประกอบด้วยองค์ ๔ ผู้สวมเกราะยืนอยู่ในสมรภูมิ และน้ำล้างพระแสงขรรค์จากที่ไหนเล่า"
พระราชเทวีกราบทูลว่า "ขอเดชะ ถ้าหม่อมฉันไม่ได้คงตายแน่"
ก็สมัยนั้น พราหมณ์ปุโรหิตของพระเจ้าพรหมทัตกาสีราชเป็นพระสหายของพระเจ้าทีฆีติโกศลราช
ลำดับนั้น พระเจ้าทีฆีติโกศลราชเสด็จเข้าไปหาพราหมณ์ปุโรหิตของพระเจ้าพรหมทัตกาสีราช ณ ที่พัก แล้วตรัสกับพราหมณ์ปุโรหิตของพระเจ้าพรหมทัตกาสีราชดังนี้ว่า
"เพื่อนเอ๋ย สหายหญิงของท่านมีครรภ์
นางเกิดอาการแพ้ท้องเช่นนี้ คือ เมื่อยามรุ่งอรุณ เธอปรารถนาจะชมกองทหารประกอบด้วยองค์ ๔ ผู้สวมเกราะยืนในสมรภูมิ และจะดื่มน้ำล้างพระแสงขรรค์"
ปุโรหิตกราบทูลว่า "ขอเดชะ ถ้าอย่างนั้น หม่อมฉันขอเฝ้าพระเทวีก่อน"
ลำดับนั้น พระมเหสีของพระเจ้าทีฆีติโกศลราชได้เสด็จไปหาพราหมณ์ปุโรหิตของพระเจ้าพรหมทัตกาสีราช ณ ที่พัก
พราหมณ์ปุโรหิตของพระเจ้าพรหมทัตกาสีราชได้แลเห็นพระมเหสีของพระเจ้าทีฆีติโกศลกำลังเสด็จมาแต่ไกล จึงลุกจากอาสนะห่มผ้าเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมมือไปทางพระมเหสีแล้วอุทานขึ้น ๓ ครั้งว่า
"ท่านผู้เจริญ พระเจ้าโกศลประทับอยู่ในพระอุทรแน่แล้ว
ท่านผู้เจริญ พระเจ้าโกศลประทับอยู่ในพระอุทรแน่แล้ว
พระเทวีอย่าได้ท้อพระทัยเลย
เมื่อยามรุ่งอรุณ จะได้ทอดพระเนตรกองทหารประกอบด้วยองค์ ๔ ผู้สวมเกราะยืนอยู่ในสมรภูมิ และจะได้เสวยน้ำล้างพระแสงขรรค์"
ครั้งนั้น พราหมณ์ปุโรหิตของพระเจ้าพรหมทัตกาสีราชเข้าไปเฝ้าพระเจ้าพรหมทัตกาสีราช ณ ที่ประทับ แล้วได้กราบทูลดังนี้ว่า
"ขอเดชะ นิมิตทั้งหลายปรากฏอย่างนั้น คือ
พรุ่งนี้ยามรุ่งอรุณ กองทหารประกอบด้วยองค์ ๔ จะสวมเกราะยืนอยู่ในสมรภูมิ และเจ้าพนักงานจะเอาน้ำล้างพระแสงขรรค์"
ลำดับนั้น พระเจ้าพรหมทัตกาสีราชจึงรับสั่งกับเจ้าพนักงานว่า
"พนาย พวกเจ้าจงทำตามที่พราหมณ์ปุโรหิตสั่งการเถิด"
พระมเหสีของพระเจ้าทีฆีติโกศลราชจึงได้ทอดพระเนตรกองทหารประกอบด้วยองค์ ๔ ผู้สวมเกราะยืนอยู่ในสมรภูมิ และได้เสวยน้ำล้างพระแสงขรรค์ในเวลารุ่งอรุณสมความปรารถนา
ต่อมาเมื่อพระครรภ์แก่ครบกำหนด จึงประสูติพระโอรส
พระประยูรญาติได้ขนานพระนามให้ว่า ทีฆาวุ
ต่อมาไม่นานนัก พระกุมารได้ทรงเจริญวัยรู้เดียงสา
ครั้งนั้น พระเจ้าทีฆีติโกศลราชทรงมีดำริดังนี้ว่า
"พระเจ้าพรหมทัตกาสีราชนี้ได้ก่อสิ่งที่มิใช่ประโยชน์ให้แก่เรามากมาย
ได้ช่วงชิงเอากองทหาร พาหนะ ชนบท คลังอาวุธยุทโธปกรณ์ตลอดถึงคลังพืชพันธุ์ธัญญาหารของพวกเราไป
ถ้าท้าวเธอจะทรงสืบทราบถึงพวกเรา จะรับสั่งให้ประหารชีวิตหมดทั้ง ๓ คนแน่
อย่ากระนั้นเลย เราควรให้พ่อทีฆาวุกุมารหลบอยู่นอกเมือง"
แล้วได้ให้ทีฆาวุกุมารหลบอยู่นอกเมือง
ทีฆาวุกุมารอาศัยอยู่นอกเมืองไม่นาน ก็ได้ศึกษาศิลปวิทยาจบทุกสาขา
สมัยนั้น ช่างกัลบกของพระเจ้าทีฆีติโกศลราชได้สวามิภักดิ์อยู่ในสำนักของพระเจ้าพรหมทัตกาสีราช
เขาได้เห็นพระเจ้าทีฆีติโกศลราชพร้อมกับพระมเหสีทรงปลอมแปลงพระองค์มิให้ใครรู้จัก ทรงนุ่งห่มเยี่ยงปริพาชก ประทับอยู่ในบ้านช่างหม้อซึ่งตั้งอยู่ชายแดนแห่งหนึ่งในกรุงพาราณสี จึงได้เข้าไปเฝ้าพระเจ้าพรหมทัตกาสีราชแล้วกราบทูลว่า
"ขอเดชะ พระเจ้าทีฆีติโกศลราชพร้อมด้วยพระมเหสีทรงปลอมแปลงพระองค์มิให้ใครรู้จัก ทรงนุ่งห่มเยี่ยงปริพาชก ประทับอยู่ในบ้านช่างหม้อซึ่งตั้งอยู่ชายแดนแห่งหนึ่งในกรุงพาราณสี"
ลำดับนั้น พระเจ้าพรหมทัตกาสีราชจึงรับสั่งเจ้าพนักงานว่า
"พนาย ถ้าอย่างนั้น พวกเจ้าจงไปจับพระเจ้าทีฆีติโกศลราชพร้อมด้วยพระมเหสีมา"
พวกเจ้าพนักงานกราบทูลรับสนองพระดำรัสแล้วไปจับพระเจ้าทีฆีติโกศลราชพร้อมพระมเหสีมาถวาย
พระเจ้าพรหมทัตกาสีราชรับสั่งเจ้าพนักงานว่า
"พวกเจ้าจงเอาเชือกที่เหนียวแน่นมัดพระเจ้าทีฆีติโกศลราชพร้อมกับพระมเหสี มัดพระพาหาไพล่หลังให้แน่น กล้อนพระเกศา แล้วพาตระเวนไปตามถนน ตามตรอกทุกแห่ง พร้อมกับตีกลองให้ดังสนั่น พาออกไปทางประตูด้านทิศทักษิณ แล้วบั่นร่างออกเป็น ๔ ท่อน วางเรียงไว้ในหลุมทั้ง ๔ ทิศทางด้านทิศทักษิณแห่งเมือง"
พวกเจ้าพนักงานทูลรับสนองพระราชดำรัสแล้วได้เอาเชือกที่เหนียวแน่นมัดพระเจ้าทีฆีติพร้อมกับพระมเหสี มัดพระพาหาไพล่หลังให้แน่น กล้อนพระเกศา แล้วพาตระเวนไปตามถนน ตามตรอกทุกแห่งพร้อมกับตีกลองให้ดังสนั่น
เวลานั้น ทีฆาวุราชกุมารทรงดำริดังนี้ว่า
"นานแล้วที่เราได้เยี่ยมพระชนกชนนี
อย่ากระนั้นเลย เราควรไปเยี่ยมท่านทั้งสอง"
จึงเดินทางเข้ากรุงพาราณสี ได้ทอดพระเนตรเห็นเจ้าพนักงานเอาเชือกอย่างเหนียวมัดพระชนกชนนี มัดพระพาหาไพล่หลังให้แน่น กล้อนพระเกศา แล้วพาตระเวนไปตามถนน ตามตรอกทุกแห่ง พร้อมกับตีกลองให้ดังสนั่น จึงเสด็จเข้าไปใกล้พระชนกชนนี
พระเจ้าทีฆีติโกศลราชทอดพระเนตรเห็นทีฆาวุกุมารดำเนินมาแต่ไกล จึงได้ตรัสดังนี้ว่า
"พ่อทีฆาวุ เจ้าอย่าเห็นแก่ยาว อย่าเห็นแก่สั้น
เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร แต่ระงับได้ด้วยการไม่จองเวร"
เมื่อพระเจ้าทีฆีติโกศลราชตรัสอย่างนี้ พวกเจ้าพนักงานได้กราบทูลดังนี้ว่า
"พระเจ้าทีฆีติโกศลราชพระองค์นี้ทรงวิกลจริตจึงบ่นเพ้อ
ใครคือทีฆาวุของพระเจ้าทีฆีติโกศลราชนี้
พระองค์ตรัสกับใครอย่างนี้ว่า 'พ่อทีฆาวุ เจ้าอย่าเห็นแก่ยาว อย่าเห็นแก่สั้น
เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร แต่ระงับได้ด้วยการไม่จองเวร"
พระเจ้าทีฆีติโกศลราชจึงตรัสตอบว่า
"เราไม่ได้วิกลจริตบ่นเพ้อ ผู้ใดรู้แจ้ง ผู้นั้นจะเข้าใจ"
แม้ครั้งที่ ๒ ฯลฯ
แม้ครั้งที่ ๓ พระเจ้าทีฆีติโกศลราชได้ตรัสกะทีฆาวุกุมารดังนี้ว่า
"พ่อทีฆาวุ เจ้าอย่าเห็นแก่ยาว อย่าเห็นแก่สั้น
เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร แต่ระงับได้ด้วยการไม่จองเวร"
แม้ครั้งที่ ๓ พวกเจ้าพนักงานก็ได้กราบทูลดังนี้ว่า
"พระเจ้าทีฆีติโกศลราชพระองค์นี้ทรงวิกลจริตจึงบ่นเพ้อ
ใครคือทีฆาวุของพระเจ้าทีฆีติโกศลราชนี้
พระองค์ตรัสกับใครอย่างนี้ว่า 'พ่อทีฆาวุ เจ้าอย่าเห็นแก่ยาว อย่าเห็นแก่สั้น
เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร แต่ระงับได้ด้วยการไม่จองเวร"
พระเจ้าทีฆีติโกศลราชก็ยังคงตรัสว่า
"เราไม่ได้วิกลจริตบ่นเพ้อ ผู้ใดรู้แจ้ง ผู้นั้นจะเข้าใจ"
ลำดับนั้น พวกเจ้าพนักงานได้นำพระเจ้าทีฆีติโกศลราชพร้อมกับพระมเหสีตระเวนไปตามถนน ตามตรอกทุกแห่ง แล้วให้ออกไปทางประตูด้านทิศทักษิณ แล้วบั่นพระกายเป็น ๔ ท่อน แล้ววางเรียงไว้ในหลุมทั้ง ๔ ทิศทางด้านทิศทักษิณแห่งเมือง วางยามคอยระวังเหตุการณ์ไว้ แล้วพากันกลับ
ต่อมา ทีฆาวุกุมารลอบเสด็จเข้าไปยังกรุงพาราณสี นำสุรามาเลี้ยงพวกอยู่ยาม
เมื่อพวกยามเมาฟุบลง จึงจัดหาฟืนมาวางเรียงกันแล้วหาไม้มาสร้างจิตกาธาน ยกพระบรมศพของพระชนกชนนีขึ้นสู่จิตกาธาน ถวายพระเพลิงแล้วประนมพระหัตถ์ ทำประทักษิณจิตกาธาน ๓ รอบ
สมัยนั้น พระเจ้าพรหมทัตกาสีราชประทับอยู่ชั้นบนปราสาท ทอดพระเนตรเห็นทีฆาวุกุมารกำลังประนมพระหัตถ์ทำประทักษิณจิตกาธาน ๓ รอบ จึงทรงดำริดังนี้ว่า
"พนักงานผู้นั้นคงเป็นญาติหรือคนร่วมสายโลหิตของพระเจ้าทีฆีติโกศลราชแน่
น่ากลัวจะก่อความพินาศแก่เรา ช่างไม่มีใครบอกเราเลย"
ครั้งนั้น ทีฆาวุกุมารเสด็จหลบเข้าป่า ทรงกันแสงด้วยความโศกเศร้าพระทัย ทรงซับน้ำพระเนตร แล้วเสด็จเข้ากรุงพาราณสี ถึงโรงช้างใกล้พระบรมมหาราชวัง ตรัสแก่นายหัตถาจารย์ดังนี้ว่า
"ท่านอาจารย์ ผมอยากเรียนศิลปวิทยา"
นายหัตถาจารย์ตอบว่า "ถ้าอย่างนั้น เชิญพ่อหนุ่มมาเรียนเถิด"
เช้ามืดวันหนึ่ง ทีฆาวุกุมารทรงตื่นบรรทม ทรงขับร้องดีดพิณคลอเสียงเจื้อยแจ้วอยู่ที่โรงช้าง
พระเจ้าพรหมทัตกาสีราชทรงตื่นบรรทมเวลานั้นพอดี ได้ทรงสดับเสียงเพลงและเสียงพิณที่ดังแว่วมาทางโรงช้าง จึงตรัสถามพวกเจ้าพนักงานว่า "ใครกันตื่นแต่เช้าขับร้องดีดพิณแว่วมาทางโรงช้าง"
พวกเจ้าพนักงานกราบทูลว่า "ขอเดชะ ชายหนุ่มศิษย์ของนายหัตถาจารย์คนโน้นตื่นแต่เช้า ขับร้องดีดพิณคลอเสียงเจื้อยแจ้วอยู่ที่โรงช้าง"
พระเจ้าพรหมทัตกาสีราชตรัสว่า "ถ้ากระนั้น พวกเจ้าจงพาชายหนุ่มมาเฝ้า"
พวกเจ้าพนักงานทูลรับสนองพระราชดำรัสแล้ว พาทีฆาวุกุมารมาเฝ้า
พระเจ้าพรหมทัตกาสีราชตรัสถามทีฆาวุกุมารดังนี้ว่า
"พ่อหนุ่ม เธอตื่นแต่เช้า ขับร้องดีดพิณคลอเสียงเจื้อยแจ้วอยู่ที่โรงช้างหรือ"
ทีฆาวุกุมารกราบทูลว่า "เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า"
ท้าวเธอตรัสว่า "ถ้าเช่นนั้น เธอจงขับร้องดีดพิณไปเถิด"
ทีฆาวุกุมารกราบทูลรับสนองพระราชดำรัสแล้ว ปรารถนาจะให้ทรงโปรดจึงขับร้องและดีดพิณด้วยเสียงอันไพเราะ
ครั้งนั้น พระเจ้าพรหมทัตกาสีราชได้ตรัสกับทีฆาวุกุมารดังนี้ว่า
"พ่อหนุ่ม เธอจงอยู่รับใช้เราเถิด"
ทีฆาวุกุมารทูลรับสนองพระราชดำรัสแล้ว จึงได้ประพฤติทำนองตื่นก่อนนอนทีหลัง คอยเฝ้าปรนนิบัติ ทำให้ถูกพระอัธยาศัย พูดไพเราะ
ไม่นานนัก พระเจ้าพรหมทัตกาสีราชทรงแต่งตั้งทีฆาวุกุมารไว้ในตำแหน่งมหาดเล็กคนสนิทภายใน
ต่อมา พระเจ้าพรหมทัตกาสีราชตรัสกับทีฆาวุกุมารดังนี้ว่า
"พ่อหนุ่ม เธอจงเทียมรถ พวกเราจะไปล่าเนื้อ"
ทีฆาวุกุมารทูลรับสนองพระราชดำรัสแล้วจัดเทียมรถไว้ได้กราบทูลว่า
"ขอเดชะ รถพระที่นั่งเทียมเสร็จแล้ว เวลานี้ขอได้ทรงโปรดทราบเวลาอันควรเถิด"
ลำดับนั้น พระเจ้าพรหมทัตกาสีราชเสด็จขึ้นราชรถ
ทีฆาวุกุมารขับราชรถแยกไปทางหนึ่งจากกองทหาร
เมื่อท้าวเธอเสด็จไปไกลจึงตรัสกับทีฆาวุกุมารว่า
"พ่อหนุ่ม เธอจงจอดรถ เราเหน็ดเหนื่อยจะนอนพัก"
ทีฆาวุกุมารทูลรับสนองพระราชดำรัสแล้ว จอดราชรถ นั่งขัดสมาธิที่พื้นดิน
ครั้งนั้นแล พระเจ้าพรหมทัตกาสีราชทรงพาดพระเศียรบรรทมอยู่บนตักของทีฆาวุกุมารเพราะทรงเหน็ดเหนื่อยมา เพียงครู่เดียวก็บรรทมหลับสนิท
ขณะนั้น ทีฆาวุกุมารได้ทรงดำริดังนี้ว่า
"พระเจ้าพรหมทัตกาสีราชนี้แลทรงก่อสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่พวกเรามากมาย
ทรงช่วงชิงกองทหาร พาหนะ ชนบท คลังอาวุธยุทโธปกรณ์และคลังพืชพันธุ์ธัญญาหารของพวกเราไป
ได้ปลงพระชนม์ชีพของพระชนกชนนีของเราอีก
บัดนี้ เป็นเวลาที่เราพบคู่เวร"
จึงชักพระแสงขรรค์ออกจากฝัก
ครั้งนั้น ทีฆาวุกุมารได้ทรงดำริดังนี้ว่า
"พระชนกได้ตรัสสั่งเราไว้เมื่อใกล้จะสวรรคตว่า
'พ่อทีฆาวุ เจ้าอย่าเห็นแก่ยาว อย่าเห็นแก่สั้น
เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร แต่ระงับได้ด้วยการไม่จองเวร'
การที่เราจะละเมิดพระดำรัสสั่งของพระชนกนั้นไม่ควรเลย"
จึงสอดพระแสงขรรค์กลับเข้าฝักตามเดิม
แม้ครั้งที่ ๒ ฯลฯ
แม้ครั้งที่ ๓ ทีฆาวุกุมารก็ทรงดำริดังนี้ว่า
"พระเจ้าพรหมทัตกาสีราชนี้แลทรงก่อสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่พวกเรามากมาย
ทรงช่วงชิงกองทหาร พาหนะ ชนบท คลังอาวุธยุทโธปกรณ์และคลังพืชพันธุ์ธัญญาหารของพวกเราไป
ได้ปลงพระชนม์ชีพของพระชนกชนนีของเราอีก
บัดนี้ เป็นเวลาที่เราพบคู่เวร"
จึงชักพระแสงขรรค์ออกจากฝัก
แม้ครั้งที่ ๓ ทีฆาวุกุมารได้ทรงดำริดังนี้ว่า
"พระชนกได้ตรัสสั่งเราไว้เมื่อใกล้จะสวรรคตว่า
'พ่อทีฆาวุ เจ้าอย่าเห็นแก่ยาว อย่าเห็นแก่สั้น
เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร แต่ระงับได้ด้วยการไม่จองเวร'
การที่เราจะละเมิดพระดำรัสสั่งของพระชนกนั้นไม่ควรเลย"
จึงสอดพระแสงขรรค์กลับเข้าฝักตามเดิม
พอดีกับที่พระเจ้าพรหมทัตทรงสะดุ้งพระทัย หวาดหวั่น รีบเสด็จลุกขึ้น
ลำดับนั้น ทีฆาวุกุมารทูลถามพระเจ้าพรหมทัตกาสีราชดังนี้ว่า
"ขอเดชะ เพราะอะไรพระองค์จึงทรงสะดุ้งพระทัย หวาดหวั่น รีบเสด็จลุกขึ้น"
ท้าวเธอตรัสตอบว่า "พ่อหนุ่ม
ฉันฝันว่าทีฆาวุกุมาร โอรสของพระเจ้าทีฆีติโกศลราชฟันฉันด้วยพระแสงขรรค์ ณ ที่นี้
ดังนั้น ฉันจึงตกใจสะดุ้ง หวาดหวั่น รีบลุกขึ้น”
ทีนั้น ทีฆาวุกุมารจับพระเศียรของพระเจ้าพรหมทัตกาสีราชด้วยพระหัตถ์ซ้าย ชักพระแสงขรรค์ด้วยพระหัตถ์ขวา แล้วกล่าวขู่ว่า
"ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้านี่แหละคือทีฆาวุกุมารโอรสของพระเจ้าทีฆีติโกศลราชคนนั้น
พระองค์ทรงก่อสิ่งที่มิใช่ประโยชน์แก่พวกข้าพระองค์มากมาย
ทรงช่วงชิงกองทหาร พาหนะ ชนบท คลังอาวุธยุทโธปกรณ์และคลังพืชพันธุ์ธัญญาหารของพวกข้าพระองค์ไป
มิหนำซ้ำ ยังปลงพระชนม์ชีพพระชนกชนนีของข้าพระองค์อีก
เวลานี้เป็นเวลาที่ข้าพระองค์ได้เจอคู่เวร"
พระเจ้าพรหมทัตได้ซบพระเศียรลงแทบบาทของทีฆาวุกุมาร ตรัสอ้อนวอนว่า
"พ่อทีฆาวุ พ่อจงให้ชีวิตแก่ฉันเถิด
พ่อทีฆาวุ พ่อจงให้ชีวิตแก่ฉันเถิด"
ทีฆาวุกุมารกราบทูลว่า
"ข้าพระองค์ไม่อาจจะถวายชีวิตแด่สมมติเทพได้
องค์สมมติเทพต่างหากควรพระราชทานชีวิตแก่ข้าพระองค์"
ท้าวเธอตรัสว่า "พ่อทีฆาวุ ถ้าอย่างนั้น เธอจงให้ชีวิตฉัน และฉันก็ให้ชีวิตแก่เธอ"
ดังนั้น พระเจ้าพรหมทัตกาสีราชและทีฆาวุกุมารจึงต่างได้ให้ชีวิตแก่กันและกัน จับพระหัตถ์กันและได้สาบานเพื่อจะไม่ทำร้ายกันและกัน
ครั้งนั้นแล พระเจ้าพรหมทัตกาสีราชได้ตรัสกับทีฆาวุกุมารดังนี้ว่า
"พ่อทีฆาวุ ถ้าอย่างนั้นเธอจงเทียมรถกลับกันเถอะ"
ทีฆาวุกุมารทูลรับสนองพระราชดำรัสแล้วเทียมรถได้กราบทูลว่า
"ขอเดชะ รถพระที่นั่งเทียมเสร็จแล้ว บัดนี้พระองค์โปรดทรงทราบเวลาอันควรเถิด"
ท้าวเธอเสด็จขึ้นราชรถแล้ว ทีฆาวุกุมารขับราชรถไปไม่นานก็มาพบกองทหาร
เมื่อเสด็จเข้ากรุงพาราณสีแล้ว รับสั่งให้เรียกประชุมอมาตย์ราชบริษัทแล้วตรัสถามว่า
"ถ้าพวกท่านพบทีฆาวุกุมารโอรสของพระเจ้าทีฆีติโกศลราช จะทำอะไรแก่เขา"
อำมาตย์บางพวกกราบทูลอย่างนี้ว่า
"ขอเดชะ พวกข้าพระองค์จะตัดมือ
ขอเดชะ พวกข้าพระองค์จะตัดเท้า
ขอเดชะ พวกข้าพระองค์จะตัดทั้งมือและเท้า
ขอเดชะ พวกข้าพระองค์จะตัดหู
ขอเดชะ พวกข้าพระองค์จะตัดจมูก
ขอเดชะ พวกข้าพระองค์จะตัดทั้งหูและจมูก
ขอเดชะ พวกข้าพระองค์จะตัดศีรษะ"
พระเจ้าพรหมทัตกาสีราชตรัสว่า
"นาย ชายหนุ่มผู้นี้แล คือทีฆาวุกุมาร โอรสของพระเจ้าทีฆีติโกศลราชคนนั้น
ใครจะทำร้ายชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้
เขาให้ชีวิตแก่เรา และเราก็ได้ให้ชีวิตแก่เขา"
ครั้งนั้น พระเจ้าพรหมทัตกาสีราชได้ตรัสกับทีฆาวุกุมารดังนี้ว่า
"พ่อทีฆาวุ คำสั่งที่พระชนกของเธอได้ตรัสไว้เมื่อใกล้จะสวรรคตว่า
'พ่อทีฆาวุ เจ้าอย่าเห็นแก่ยาว อย่าเห็นแก่สั้น
เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร แต่ระงับได้ด้วยการไม่จองเวร'
พระชนกของเธอตรัสไว้หมายความว่าอย่างไร"
ทีฆาวุกุมารกราบทูลว่า "ขอเดชะ
คำสั่งที่พระชนกของข้าพระองค์ตรัสไว้เมื่อใกล้จะสวรรคตว่า 'เจ้าอย่าเห็นแก่ยาว'
นี้หมายความว่า 'อย่าได้จองเวรให้ยืดเยื้อ'
ดังนั้น พระชนกของข้าพระองค์จึงตรัสไว้เมื่อใกล้จะสวรรคตว่า 'เจ้าอย่าเห็นแก่ยาว'
คำสั่งที่พระชนกของข้าพระองค์ตรัสไว้อีกว่า 'เจ้าอย่าเห็นแก่สั้น'
นี้หมายความว่า 'เจ้าอย่าแตกร้าวจากมิตรเร็วนัก'
ดังนั้น พระชนกของข้าพระองค์จึงตรัสไว้เมื่อใกล้จะสวรรคตว่า 'เจ้าอย่าเห็นแก่สั้น'
คำสั่งที่พระชนกของข้าพระองค์ตรัสไว้อีกว่า 'เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร แต่ย่อมระงับได้ด้วยการไม่จองเวร'
นี้หมายความว่า 'พระชนกชนนีของข้าพระองค์ถูกพระองค์ปลงพระชนม์ชีพแล้ว
ถ้าข้าพระองค์ปลงพระชนม์ชีพของพระองค์บ้าง
คนที่มุ่งประโยชน์แก่พระองค์ก็จะพึงฆ่าข้าพระองค์
คนที่มุ่งประโยชน์แก่ข้าพระองค์ก็จะพึงฆ่าคนพวกนั้นอีก
เมื่อเป็นเช่นนี้ เวรนั้นไม่พึงระงับด้วยการจองเวร
แต่มาบัดนี้ พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานชีวิตแก่ข้าพระองค์
และข้าพระองค์ก็ได้ทูลถวายพระชนมชีพแก่พระองค์
จึงเป็นอันว่าเวรนั้นระงับแล้วด้วยการไม่จองเวร
ดังนั้น พระชนกของข้าพระองค์จึงตรัสไว้เมื่อใกล้จะสวรรคตว่า 'เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร แต่ย่อมระงับได้ด้วยการไม่จองเวร"
ลำดับนั้น พระเจ้าพรหมทัตกาสีราชตรัสว่า
"น่าอัศจรรย์จริงท่านผู้เจริญทั้งหลาย เป็นเรื่องที่ไม่เคยมี ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ทีฆาวุกุมารผู้นี้เฉลียวฉลาด จึงเข้าใจความหมายแห่งคำพูดที่พระชนกตรัสไว้โดยย่อได้โดยพิสดาร"
แล้วได้โปรดพระราชทานคืนกองทหาร พาหนะ ชนบท คลังอาวุธยุทโธปกรณ์และคลังพืชพันธุ์ธัญญาหารอันเป็นพระราชสมบัติของพระชนก และได้พระราชทานพระราชธิดาให้อภิเษกสมรสด้วย
ภิกษุทั้งหลาย
ขันติและโสรัจจะเช่นนี้ได้เกิดขึ้นแล้วแก่พระราชาเหล่านั้น ผู้ทรงอาญา ทรงถือศัสตราวุธ
การที่พวกเธอบวชในธรรมวินัยอันเรากล่าวไว้ดีแล้วอย่างนี้ จะพึงมีความอดทนและความสงบเสงี่ยมนั้น ก็จะพึงงดงามในธรรมวินัยนี้แน่"
แม้ครั้งที่ ๓ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับภิกษุเหล่านั้นดังนี้ว่า
"อย่าเลย ภิกษุทั้งหลาย
พวกเธออย่าบาดหมาง อย่าทะเลาะ อย่าขัดแย้ง อย่าวิวาทกันเลย"
ภิกษุอธรรมวาทีรูปนั้นก็ยังกราบทูลอีกเป็นครั้งที่ ๓ ว่า
"ขอพระผู้มีพระภาคผู้ทรงเป็นธรรมสามีทรงโปรดรอไปก่อน
ขอพระองค์จงทรงขวนขวายน้อยประกอบตามสุขวิหารธรรมในปัจจุบันอยู่เถิด
พวกข้าพระพุทธเจ้าจะปรากฏเพราะความบาดหมาง เพราะความทะเลาะ เพราะความขัดแย้ง เพราะการวิวาทนั้นเอง พระพุทธเจ้าข้า"
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงดำริว่า
"พวกโมฆบุรุษเหล่านี้ดื้อรั้นนัก จะทำให้สามัคคีกันไม่ใช่ง่าย"
แล้วทรงลุกจากอาสนะแล้วเสด็จจากไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น