สิงคาลกสูตร (ทีฆนิกาย > ปาฏิกวรรค)


สิงคาลกสูตร  (ว่าด้วยสิงคาลกมาณพ)

สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่  ณ  พระเวฬุวัน  สถานที่ให้เหยื่อกระแต  เขตกรุงราชคฤห์

สมัยนั้น  สิงคาลกะ  คหบดีบุตร  ลุกขึ้นแต่เช้า  ออกจากกรุงราชคฤห์  มีผ้าเปียก  มีผมเปียก  ประคองอัญชลีไหว้ทิศทั้งหลาย  คือ
ทิศเบื้องหน้า (ทิศตะวันออก)
ทิศเบื้องขวา (ทิศใต้)
ทิศเบื้องหลัง (ทิศตะวันตก)
ทิศเบื้องซ้าย (ทิศเหนือ)
ทิศเบื้องล่าง
ทิศเบื้องบน

ครั้นในเวลาเช้า
พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสก  ถือบาตรและจีวร  เสด็จเข้าไปยังกรุงราชคฤห์เพื่อบิณฑบาต
ได้ทอดพระเนตรเห็นสิงคาลกะ  คหบดีบุตร  ผู้ลุกขึ้นแต่เช้า  ออกจากกรุงราชคฤห์  มีผ้าเปียก  มีผมเปียก  ประคองอัญชลีไหว้ทิศทั้งหลาย  คือ  ทิศเบื้องหน้า  ทิศเบื้องขวา  ทิศเบื้องหลัง  ทิศเบื้องซ้าย  ทิศเบื้องล่าง  ทิศเบื้องบนแล้ว
ได้ตรัสถามสิงคาลกะ  คหบดีบุตร  ดังนี้ว่า
"คหบดีบุตร
เธอลุกขึ้นแต่เช้า  ออกจากกรุงราชคฤห์  มีผ้าเปียก  มีผมเปียก  ประคองอัญชลีไหว้ทิศทั้งหลาย  คือ  ทิศเบื้องหน้า  ทิศเบื้องขวา  ทิศเบื้องหลัง  ทิศเบื้องซ้าย  ทิศเบื้องล่าง  ทิศเบื้องบนอยู่  เพราะเหตุไร"

สิงคาลกะ  คหบดีบุตร  กราบทูลว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
บิดาของข้าพระองค์ก่อนจะตาย  ได้กล่าวไว้อย่างนี้ว่า
'นี่แน่ะลูก  เจ้าจงไหว้ทิศทั้งหลาย'
ข้าพระองค์สักการะ  เคารพ  นับถือ  บูชา  คำของบิดา
จึงลุกขึ้นแต่เช้า  ออกจากกรุงราชคฤห์  มีผ้าเปียก  มีผมเปียก  ประคองอัญชลีไหว้ทิศทั้งหลาย  คือ  ทิศเบื้องหน้า  ทิศเบื้องขวา  ทิศเบื้องหลัง  ทิศเบื้องซ้าย  ทิศเบื้องล่าง  ทิศเบื้องบนอยู่"


[ ทิศ ๖ ]
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
"คหบดีบุตร
ในอริยวินัย (ธรรมเนียมแบบแผนของพระอริยะ) เขาไม่ไหว้ทิศ ๖ กันอย่างนี้"

สิงคาลกะ  คหบดีบุตร  ทูลถามว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ในอริยวินัย  เขาไหว้ทิศ ๖ กันอย่างไร
ขอประทานพระวโรกาส
ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์
ตามวิธีการไหว้ทิศ ๖ ในอริยวินัยเถิด"

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
"คหบดีบุตร  ถ้าอย่างนั้น  เธอจงฟัง  จงใส่ใจให้ดี  เราจักกล่าว"

สิงคาลกะ  คหบดีบุตร  ทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
"คหบดีบุตร
อริยสาวกละกรรมกิเลส (กรรมเครื่องเศร้าหมอง) ๔ ประการได้แล้ว
ไม่ทำบาปกรรมโดยเหตุ ๔ ประการ
และไม่ข้องแวะอบายมุข (ทางเสื่อม) ๖ ประการแห่งโภคะทั้งหลาย
อริยสาวกนั้นเป็นผู้ปราศจากบาปกรรม ๑๔ ประการนี้แล้ว
ชื่อว่า  เป็นผู้ปิดป้องทิศ ๖
(หมายถึงปกปิดช่องว่างระหว่างตนกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง  ซึ่งเรียกว่าทิศ ๖)
ปฏิบัติเพื่อครองโลกทั้งสอง
ทำให้เกิดความยินดีทั้งโลกนี้และโลกหน้า
หลังจากตายแล้ว  ย่อมไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์"


[ กรรมกิเลส ๔ ]
จากนั้น  พระผู้มีพระภาคได้ตรัสต่อไปว่า
"กรรมกิเลส ๔ ประการที่อริยสาวกละได้แล้ว  อะไรบ้าง  คือ
๑. กรรมกิเลสคือ  ปาณาติบาต
๒. กรรมกิเลสคือ  อทินนาทาน
๓. กรรมกิเลสคือ  กาเมสุมิจฉาจาร
๔. กรรมกิเลสคือ  มุสาวาท
กรรมกิเลส ๔ ประการนี้ที่อริยสาวกนั้นละได้แล้ว"

พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา  ครั้นตรัสเวยยากรณภาษิตนี้แล้ว
จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
       "การฆ่าสัตว์  การลักทรัพย์
การล่วงละเมิดภรรยาผู้อื่น  และการพูดเท็จ
เรียกว่า  เป็นกรรมกิเลส
บัณฑิตทั้งหลายไม่สรรเสริญ"


[ ไม่ทำบาปกรรมโดยเหตุ ๔ ประการ ]
จากนั้น  พระผู้มีพระภาคได้ตรัสต่อไปว่า
"อริยสาวกไม่ทำบาปกรรมโดยเหตุ ๔ ประการ  อะไรบ้าง  คือ
ปุถุชน
๑. ย่อมถึงฉันทาคติ (ลำเอียงเพราะรัก) ทำบาปกรรม
๒. ย่อมถึงโทสาคติ (ลำเอียงเพราะชัง) ทำบาปกรรม
๓. ย่อมถึงโมหาคติ (ลำเอียงเพราะเขลา) ทำบาปกรรม
๔. ย่อมถึงภยาคติ (ลำเอียงเพราะกลัว) ทำบาปกรรม
ส่วนอริยสาวก
๑. ย่อมไม่ถึงฉันทาคติ
๒. ย่อมไม่ถึงโทสาคติ
๓. ย่อมไม่ถึงโมหาคติ
๔. ย่อมไม่ถึงภยาคติ
อริยสาวกย่อมไม่ทำบาปกรรมโดยเหตุ ๔ ประการนี้"

พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา  ครั้นตรัสเวยยากรณภาษิตนี้แล้ว
จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
       "บุคคลใดละเมิดความชอบธรรม
เพราะฉันทาคติ  โทสาคติ  โมหาคติ  ภยาคติ
ยศของบุคคลนั้นย่อมเสื่อม
เหมือนดวงจันทร์ข้างแรม  ฉะนั้น
       บุคคลใดไม่ละเมิดความชอบธรรม
เพราะฉันทาคติ  โทสาคติ  โมหาคติ  ภยาคติ
ยศของบุคคลนั้นย่อมเจริญ
เหมือนดวงจันทร์ข้างขึ้น  ฉะนั้น"


[ อบายมุข ๖ ประการ ]
จากนั้น  พระผู้มีพระภาคได้ตรัสต่อไปว่า
"อริยสาวกไม่ข้องแวะอบายมุข ๖ ประการแห่งโภคะทั้งหลาย  อะไรบ้าง  คือ
๑. การหมกมุ่นในการเสพของมึนเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นเหตุแห่งความประมาท  เป็นอบายมุขแห่งโภคะทั้งหลาย
๒. การหมกมุ่นในการเที่ยวไปตามตรอกซอกซอยในเวลากลางคืน  เป็นอบายมุขแห่งโภคะทั้งหลาย
๓. การเที่ยวดูมหรสพ  เป็นอบายมุขแห่งโภคะทั้งหลาย
๔. การหมกมุ่นในการเล่นการพนันอันเป็นเหตุแห่งความประมาท  เป็นอบายมุขแห่งโภคะทั้งหลาย
๕. การหมกมุ่นในการคบคนชั่วเป็นมิตร  เป็นอบายมุขแห่งโภคะทั้งหลาย
๖. การหมกมุ่นในความเกียจคร้าน  เป็นอบายมุขแห่งโภคะทั้งหลาย


[ โทษแห่งสุราเมรัย ๖ ประการ ]
คหบดีบุตร
การหมกมุ่นในการเสพของมึนเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นเหตุแห่งความประมาท  มีโทษ ๖ ประการนี้  คือ
๑. เสียทรัพย์ทันตาเห็น
๒. ก่อการทะเลาะวิวาท
๓. เป็นบ่อเกิดแห่งโรค
๔. เป็นเหตุให้เสียชื่อเสียง
๕. เป็นเหตุให้ไม่รู้จักอาย
๖. เป็นเหตุทอนกำลังปัญญา
คหบดีบุตร
การหมกมุ่นในการเสพของมึนเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นเหตุแห่งความประมาท  มีโทษ ๖ ประการนี้แล


[ โทษแห่งการเที่ยวกลางคืน ๖ ประการ ]
คหบดีบุตร
การหมกมุ่นในการเที่ยวไปตามตรอกซอกซอยในเวลากลางคืน  มีโทษ ๖ ประการนี้  คือ
๑. ชื่อว่าไม่คุ้มครอง  ไม่รักษาตน
๒. ชื่อว่าไม่คุ้มครอง  ไม่รักษาบุตรภรรยา
๓. ชื่อว่าไม่คุ้มครอง  ไม่รักษาทรัพย์สมบัติ
๔. เป็นที่สงสัยของคนอื่นด้วยเหตุต่าง ๆ  (ถูกสงสัยว่าเป็นผู้ทำกรรมชั่ว  ทั้งที่ไม่มีส่วนในกรรมชั่วนั้น)
๕. มักถูกใส่ร้ายด้วยเรื่องไม่เป็นจริง
๖. ทำให้เกิดความลำบากมากหลายอย่าง
คหบดีบุตร
การหมกมุ่นในการเที่ยวไปตามตรอกซอกซอยในเวลากลางคืน  มีโทษ ๖ ประการนี้แล


[ โทษแห่งการเที่ยวดูมหรสพ ๖ ประการ ]
คหบดีบุตร
การเที่ยวดูมหรสพ  มีโทษ ๖ ประการนี้  คือ
๑. มีการรำที่ไหน  ไปที่นั่น
๒. มีการขับร้องที่ไหน  ไปที่นั่น
๓. มีการประโคมที่ไหน  ไปที่นั่น
๔. มีเสภาที่ไหน  ไปที่นั่น
๕. มีการบรรเลงที่ไหน  ไปที่นั่น
๖. มีเถิดเทิงที่ไหน  ไปที่นั่น
คหบดีบุตร
การเที่ยวดูมหรสพ  มีโทษ ๖ ประการนี้แล

[ โทษแห่งการเล่นการพนันอันเป็นเหตุแห่งความประมาท ๖ ประการ ]
คหบดีบุตร
การหมกมุ่นในการเล่นการพนันอันเป็นเหตุแห่งความประมาท  มีโทษ ๖ ประการนี้  คือ
๑. ผู้ชนะย่อมก่อเวร
๒. ผู้แพ้ย่อมเสียดายทรัพย์ที่เสียไป
๓. เสียทรัพย์ทันตาเห็น
๔. ถ้อยคำที่เป็นพยานในศาล  ก็เชื่อถือไม่ได้
๕. ถูกมิตรอำมาตย์ดูหมิ่น
๖. ไม่มีใครประสงค์จะแต่งงานด้วย  เพราะเห็นว่าชายผู้นี้เป็นนักเลงการพนัน  ไม่สามารถจะเลี้ยงดูภรรยาได้
คหบดีบุตร
การหมกมุ่นในการเล่นการพนันอันเป็นเหตุแห่งความประมาท  มีโทษ ๖ ประการนี้แล

[ โทษแห่งการคบคนชั่วเป็นมิตร ๖ ประการ ]
คหบดีบุตร
การหมกมุ่นในการคบคนชั่วเป็นมิตร  มีโทษ ๖ ประการนี้  คือ
๑. เขามีนักเลงการพนันเป็นมิตรสหาย
๒. เขามีนักเลงเจ้าชู้เป็นมิตรสหาย
๓. เขามีนักเลงเหล้าเป็นมิตรสหาย
๔. เขามีคนหลอกลวงเป็นมิตรสหาย
๕. เขามีคนโกงเป็นมิตรสหาย
๖. เขามีโจรเป็นมิตรสหาย
คหบดีบุตร
การหมกมุ่นในการคบคนชั่วเป็นมิตร  มีโทษ ๖ ประการนี้แล


[ โทษแห่งความเกียจคร้าน ๖ ประการ ]
คหบดีบุตร
การหมกมุ่นในความเกียจคร้าน  มีโทษ ๖ ประการนี้  คือ
๑. มักอ้างว่าหนาวเกินไป  แล้วไม่ทำการงาน
๒. มักอ้างว่าร้อนเกินไป  แล้วไม่ทำการงาน
๓. มักอ้างว่าเวลาเย็นเกินไป  แล้วไม่ทำการงาน
๔. มักอ้างว่าเวลายังเช้าเกินไป  แล้วไม่ทำการงาน
๕. มักอ้างว่าหิวเกินไป  แล้วไม่ทำการงาน
๖. มักอ้างว่ากระหายเกินไป  แล้วไม่ทำการงาน
เมื่อเขามากไปด้วยการอ้างเลศ  ผัดเพี้ยนการงานอยู่อย่างนี้
โภคะที่ยังไม่เกิด  ก็ไม่เกิดขึ้น
ที่เกิดขึ้นแล้ว  ก็ถึงความเสื่อมสิ้นไป
คหบดีบุตร
การหมกมุ่นในความเกียจคร้าน  มีโทษ ๖ ประการนี้แล"

พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา  ครั้นตรัสเวยยากรณภาษิตนี้แล้ว
จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
       "เพื่อนในโรงสุราก็มี
เพื่อนดีแต่พูดก็มี
เมื่อมีเรื่องเกิดขึ้น  ผู้ใดเป็นเพื่อนได้
ผู้นั้นจัดว่าเป็นเพื่อนแท้
       เหตุ ๖ ประการนี้  คือ
(๑) การนอนตื่นสาย  (๒) การเป็นชู้กับภรรยาผู้อื่น
(๓) การผูกเวร  (๔) ความเป็นผู้ก่อแต่เรื่องเสียหาย
(๕) การมีมิตรชั่ว  (๖) ความตระหนี่จัด
ย่อมทำลายบุรุษให้พินาศ
       คนมีมิตรชั่ว  มีเพื่อนชั่ว
มีมารยาทและความประพฤติชั่ว
ย่อมเสื่อมจากโลกทั้งสอง
คือจากโลกนี้  และจากโลกหน้า
       เหตุ ๖ ประการนี้  คือ
(๑) นักเลงการพนันและนักเลงหญิง
(๒) นักเลงสุรา  (๓) ฟ้อนรำขับร้อง
(๔) นอนหลับในกลางวัน  เที่ยวกลางคืน
(๕) การมีมิตรชั่ว  (๖) ความตระหนี่จัด
ย่อมทำลายบุรุษให้พินาศ
       ผู้ใดเล่นการพนัน  ดื่มสุรา
ล่วงละเมิดหญิงผู้เป็นที่รักเสมอด้วยชีวิตของผู้อื่น
คบแต่คนเลว  และไม่คบหาคนเจริญ
ผู้นั้นย่อมเสื่อม  ดุจดวงจันทร์ข้างแรม  ฉะนั้น
       ผู้ใดดื่มสุรา  ไร้ทรัพย์
ไม่ทำงานเลี้ยงชีพ  เป็นคนขี้เมาหัวทิ่มบ่อ
ผู้นั้นจักจมลงสู่หนี้เหมือนก้อนหินจมน้ำ
จักทำความมัวหมองให้แก่ตนทันที
       คนชอบนอนหลับในกลางวัน
ไม่ลุกขึ้นในกลางคืน  เป็นนักเลงขี้เมาประจำ
ไม่สามารถครองเรือนได้
       ประโยชน์ทั้งหลาย
ย่อมล่วงเลยหนุ่มสาวที่ละทิ้งการงาน
โดยอ้างว่า  'เวลานี้หนาวเกินไป
เวลานี้ร้อนเกินไป  เวลานี้เย็นเกินไป'  เป็นต้น
       ส่วนผู้ใดทำหน้าที่ของบุรุษ
ไม่ใส่ใจความหนาว  ความร้อน  ยิ่งไปกว่าหญ้า
ผู้นั้นย่อมไม่เสื่อมจากความสุข"


[ มิตรเทียม ๔ จำพวก ]
จากนั้น  พระผู้มีพระภาคได้ตรัสต่อไปว่า
"คหบดีบุตร
คน ๔ จำพวกนี้  เธอพึงทราบว่าไม่ใช่มิตรแท้  เป็นมิตรเทียม  คือ
๑. คนที่ถือเอาแต่ประโยชน์จากผู้อื่นฝ่ายเดียว  พึงทราบว่าไม่ใช่มิตรแท้  เป็นมิตรเทียม
๒. คนดีแต่พูด  พึงทราบว่าไม่ใช่มิตรแท้  เป็นมิตรเทียม
๓. คนพูดประจบ  พึงทราบว่าไม่ใช่มิตรแท้  เป็นมิตรเทียม
๔. คนที่เป็นเพื่อนชักนำในทางเสื่อม  พึงทราบว่าไม่ใช่มิตรแท้  เป็นมิตรเทียม

คหบดีบุตร
คนที่ถือเอาแต่ประโยชน์จากผู้อื่นฝ่ายเดียว  เธอพึงทราบว่าไม่ใช่มิตรแท้  เป็นมิตรเทียม  โดยเหตุ ๔ ประการ  คือ
๑. เป็นผู้ถือเอาประโยชน์จากผู้อื่นฝ่ายเดียว
๒. เสียน้อย  ปรารถนาจะได้มาก
๓. เมื่อตัวเองมีภัยจึงทำกิจของเพื่อน
๔. คบเพื่อนเพราะเห็นแก่ประโยชน์
คหบดีบุตร
คนที่ถือเอาแต่ประโยชน์จากผู้อื่นฝ่ายเดียว  เธอพึงทราบว่าไม่ใช่มิตรแท้  เป็นมิตรเทียม  โดยเหตุ ๔ ประการนี้แล

คหบดีบุตร
คนดีแต่พูด  เธอพึงทราบว่าไม่ใช่มิตรแท้  เป็นมิตรเทียม  โดยเหตุ ๔ ประการ  คือ
๑. กล่าวต้อนรับด้วยเรื่องที่เป็นอดีตไปแล้ว
๒. กล่าวต้อนรับด้วยเรื่องที่ยังมาไม่ถึง
๓. สงเคราะห์ด้วยสิ่งที่หาประโยชน์มิได้
๔. เมื่อมีกิจเกิดขึ้นเฉพาะหน้าก็แสดงความขัดข้อง
คหบดีบุตร
คนดีแต่พูด  เธอพึงทราบว่าไม่ใช่มิตรแท้  เป็นมิตรเทียม  โดยเหตุ ๔ ประการนี้แล

คหบดีบุตร
คนพูดประจบ  เธอพึงทราบว่าไม่ใช่มิตรแท้  เป็นมิตรเทียม  โดยเหตุ ๔ ประการ  คือ
๑. เพื่อนทำชั่ว  ก็คล้อยตาม
๒. เพื่อนทำดี  ก็คล้อยตาม
๓. สรรเสริญต่อหน้า
๔. นินทาลับหลัง
คหบดีบุตร
คนพูดประจบ  เธอพึงทราบว่าไม่ใช่มิตรแท้  เป็นมิตรเทียม  โดยเหตุ ๔ ประการนี้แล

คหบดีบุตร
คนที่เป็นเพื่อนชักชวนไปในทางเสื่อม  พึงทราบว่าไม่ใช่มิตรแท้  เป็นมิตรเทียม  โดยเหตุ ๔ ประการ  คือ
๑. เป็นเพื่อนที่ชักชวนให้หมกมุ่นในการเสพของมึนเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นเหตุแห่งความประมาท
๒. เป็นเพื่อนที่ชักชวนให้หมกมุ่นในการเที่ยวไปตามตรอกซอกซอยในเวลากลางคืน
๓. เป็นเพื่อนเที่ยวดูการเล่น
๔. เป็นเพื่อนที่ชักชวนให้หมกมุ่นในการเล่นการพนันอันเป็นเหตุแห่งความประมาท
คหบดีบุตร
คนที่เป็นเพื่อนชักชวนไปในทางเสื่อม  พึงทราบว่าไม่ใช่มิตรแท้  เป็นมิตรเทียม  โดยเหตุ ๔ ประการนี้แล"

พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา    ครั้นตรัสเวยยากรณภาษิตนี้แล้ว
จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
       "บุคคลที่ไม่ใช่มิตรแท้ ๔ จำพวกนี้  คือ
(๑) มิตรที่ถือเอาแต่ประโยชน์จากผู้อื่นอย่างเดียว
(๒) มิตรดีแต่พูด  (๓) มิตรพูดประจบ
(๔) มิตรชักนำในทางเสื่อม
บัณฑิตรู้อย่างนี้แล้ว  พึงเว้นเสียให้ห่างไกล
เหมือนคนเว้นทางมีภัยเฉพาะหน้าเสียฉะนั้น”


[ มิตรแท้ ๔ จำพวก ]
จากนั้น  พระผู้มีพระภาคได้ตรัสต่อไปว่า
"คหบดีบุตร
คน ๔ จำพวกนี้  เธอพึงทราบว่าเป็นมิตรมีใจดี (มิตรแท้)  คือ
๑. มิตรมีอุปการะ  พึงทราบว่าเป็นมิตรมีใจดี
๒. มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์  พึงทราบว่าเป็นมิตรมีใจดี
๓. มิตรแนะนำประโยชน์  พึงทราบว่าเป็นมิตรมีใจดี
๔. มิตรมีความรักใคร่  พึงทราบว่าเป็นมิตรมีใจดี

คหบดีบุตร
มิตรมีอุปการะ  เธอพึงทราบว่าเป็นมิตรมีใจดี  โดยเหตุ ๔ ประการ  คือ
๑. ป้องกันเพื่อนผู้ประมาทแล้ว
๒. ป้องกันทรัพย์สมบัติของเพื่อนผู้ประมาทแล้ว
๓. เมื่อมีภัยก็เป็นที่พึ่งพำนักได้
๔. เมื่อมีกิจที่จำเป็นเกิดขึ้น  ก็ช่วยโภคทรัพย์ให้ ๒ เท่าของทรัพย์ที่ต้องการในกิจนั้น
คหบดีบุตร
มิตรมีอุปการะ  เธอพึงทราบว่าเป็นมิตรมีใจดี  โดยเหตุ ๔ ประการนี้แล

คหบดีบุตร
มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์  เธอพึงทราบว่าเป็นมิตรมีใจดี  โดยเหตุ ๔ ประการ  คือ
๑. บอกความลับแก่เพื่อน
๒. ปิดความลับของเพื่อน
๓. ไม่ละทิ้งในยามอันตราย
๔. แม้ชีวิตก็อาจจะสละเพื่อประโยชน์ของเพื่อนได้
คหบดีบุตร
มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์  เธอพึงทราบว่าเป็นมิตรมีใจดี  โดยเหตุ ๔ ประการนี้แล

คหบดีบุตร
มิตรแนะนำประโยชน์  เธอพึงทราบว่าเป็นมิตรมีใจดี  โดยเหตุ ๔ ประการ  คือ
๑. ห้ามมิให้ทำความชั่ว
๒. แนะนำให้ตั้งอยู่ในความดี
๓. ให้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง
๔. บอกทางสวรรค์ให้
คหบดีบุตร
มิตรแนะนำประโยชน์  เธอพึงทราบว่าเป็นมิตรมีใจดี  โดยเหตุ ๔ ประการนี้แล

คหบดีบุตร
มิตรมีความรักใคร่  เธอพึงทราบว่าเป็นมิตรมีใจดี  โดยเหตุ ๔ ประการ  คือ
๑. ไม่พอใจความเสื่อมของเพื่อน
๒. พอใจความเจริญของเพื่อน
๓. ห้ามปรามคนที่นินทาเพื่อน
๔. สนับสนุนคนที่สรรเสริญเพื่อน
คหบดีบุตร
มิตรมีความรักใคร่  เธอพึงทราบว่าเป็นมิตรมีใจดี  โดยเหตุ ๔ ประการนี้แล"

พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา  ครั้นตรัสเวยยากรณภาษิตนี้แล้ว
จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
       "บุคคลที่เป็นมิตรมีใจดี ๔ จำพวกนี้  คือ
(๑) มิตรมีอุปการะ  (๒) มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์
(๓) มิตรแนะนำประโยชน์  (๔) มิตรมีความรักใคร่
       บัณฑิตรู้อย่างนี้แล้ว
พึงเข้าไปคบหาโดยความจริงใจ
เหมือนมารดาคบหาบุตรผู้เกิดแต่อก  ฉะนั้น
       บัณฑิตผู้สมบูรณ์ด้วยศีล
ย่อมสว่างโชติช่วงดังดวงไฟ
เมื่อบุคคลสะสมโภคทรัพย์อยู่ดังตัวผึ้งสร้างรัง
โภคทรัพย์ของเขาก็ย่อมเพิ่มพูนขึ้น
ดุจจอมปลวกที่ตัวปลวกก่อขึ้น  ฉะนั้น
       คฤหัสถ์ในตระกูล  ผู้สามารถ
ครั้นรวบรวมโภคทรัพย์ได้อย่างนี้แล้ว
พึงแบ่งโภคทรัพย์ออกเป็น ๔ ส่วน
คือ  ส่วนหนึ่งใช้สอย  สองส่วนใช้ประกอบการงาน
ส่วนที่ ๔ เก็บไว้ด้วยหมายใจว่าจะใช้ในยามมีอันตราย
จึงผูกมิตรไว้ได้"


[ ว่าด้วยการปิดป้องทิศ ๖ ]
จากนั้น  พระผู้มีพระภาคได้ตรัสต่อไปว่า
"อริยสาวกเป็นผู้ปิดป้องทิศ ๖ เป็นอย่างไร
คหบดีบุตร
เธอพึงทราบทิศ ๖ นี้  คือ
พึงทราบว่า  มารดาบิดา  เป็นทิศเบื้องหน้า
พึงทราบว่า  อาจารย์  เป็นทิศเบื้องขวา
พึงทราบว่า  ภรรยา  เป็นทิศเบื้องหลัง
พึงทราบว่า  มิตรสหาย  เป็นทิศเบื้องซ้าย
พึงทราบว่า  ทาสและกรรมกร  เป็นทิศเบื้องล่าง
พึงทราบว่า  สมณพราหมณ์  เป็นทิศเบื้องบน


[ มารดาบิดา : ทิศเบื้องหน้า]
คหบดีบุตร
บุตรพึงบำรุงมารดาบิดาผู้เป็นทิศเบื้องหน้าโดยหน้าที่ ๕ ประการ  คือ
๑. ท่านเลี้ยงเรามา  เราจักเลี้ยงท่านตอบ
๒. จักทำกิจของท่าน
๓. จักดำรงวงศ์ตระกูล
๔. จักประพฤติตนให้เหมาะสมที่จะเป็นทายาท
๕. เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว  ทำบุญอุทิศให้ท่าน

มารดาบิดาผู้เป็นทิศเบื้องหน้า  บุตรบำรุงโดยหน้าที่ ๕ ประการนี้แล  ย่อมอนุเคราะห์บุตรโดยหน้าที่ ๕ ประการ  คือ
๑. ห้ามไม่ให้ทำความชั่ว
๒. ให้ตั้งอยู่ในความดี
๓. ให้ศึกษาศิลปวิทยา
๔. หาคู่ครองที่สมควรให้
๕. มอบทรัพย์สมบัติให้ในเวลาอันสมควร

คหบดีบุตร
มารดาบิดาผู้เป็นทิศเบื้องหน้า  บุตรบำรุงโดยหน้าที่ ๕ ประการนี้แล  ย่อมอนุเคราะห์บุตรโดยหน้าที่ ๕ ประการนี้
ทิศเบื้องหน้านั้นเป็นอันชื่อว่ากุลบุตรได้ปิดป้อง  ทำให้เกษมปลอดภัยแล้ว  ด้วยประการฉะนี้


[ อาจารย์ : ทิศเบื้องขวา]
คหบดีบุตร
ศิษย์พึงบำรุงอาจารย์ผู้เป็นทิศเบื้องขวาโดยหน้าที่ ๕ ประการ  คือ
๑. ลุกขึ้นยืนรับ
๒. เข้าไปคอยรับใช้
๓. เชื่อฟัง
๔. ดูแลปรนนิบัติ
๕. เรียนศิลปวิทยาโดยเคารพ

อาจารย์ผู้เป็นทิศเบื้องขวา  ศิษย์บำรุงโดยหน้าที่ ๕ ประการนี้แล  ย่อมอนุเคราะห์ศิษย์โดยหน้าที่ ๕ ประการ  คือ
๑. แนะนำให้เป็นคนดี
๒. ให้เรียนดี
๓. บอกความรู้ในศิลปวิทยาทุกอย่างด้วยดี
๔. ยกย่องให้ปรากฏในมิตรสหาย
๕. ทำความป้องกันในทิศทั้งหลาย

คหบดีบุตร
อาจารย์ผู้เป็นทิศเบื้องขวา  ศิษย์บำรุงโดยหน้าที่ ๕ ประการนี้แล  ย่อมอนุเคราะห์ศิษย์โดยหน้าที่ ๕ ประการนี้
ทิศเบื้องขวานั้นเป็นอันชื่อว่าศิษย์ได้ปิดป้อง  ทำให้เกษมปลอดภัยแล้ว  ด้วยประการฉะนี้


[ ภรรยา : ทิศเบื้องหลัง ]
คหบดีบุตร
สามีพึงบำรุงภรรยาผู้เป็นทิศเบื้องหลังโดยหน้าที่ ๕ ประการ  คือ
๑. ให้เกียรติยกย่อง
๒. ไม่ดูหมิ่น
๓. ไม่ประพฤตินอกใจ
๔. มอบความเป็นใหญ่ให้
๕. ให้เครื่องแต่งตัว

ภรรยาผู้เป็นทิศเบื้องหลัง  สามีบำรุงโดยหน้าที่ ๕ ประการนี้แล  ย่อมอนุเคราะห์สามีโดยหน้าที่ ๕ ประการ  คือ
๑. จัดการงานดี
๒. สงเคราะห์คนข้างเคียงดี
๓. ไม่ประพฤตินอกใจ
๔. รักษาทรัพย์ที่สามีหามาได้
๕. ขยันไม่เกียจคร้านในกิจทั้งปวง

คหบดีบุตร
ภรรยาผู้เป็นทิศเบื้องหลัง  สามีบำรุงโดยหน้าที่ ๕ ประการนี้แล  ย่อมอนุเคราะห์สามีโดยหน้าที่ ๕ ประการนี้
ทิศเบื้องหลังนั้นเป็นอันชื่อว่าสามีได้ปิดป้อง  ทำให้เกษมปลอดภัยแล้ว  ด้วยประการฉะนี้


[ มิตรสหาย : ทิศเบื้องซ้าย ]
คหบดีบุตร
กุลบุตรพึงบำรุงมิตรสหายผู้เป็นทิศเบื้องซ้ายโดยหน้าที่ ๕ ประการ  คือ
๑. การให้  (การแบ่งปันสิ่งของให้)
๒. กล่าววาจาเป็นที่รัก
๓. ประพฤติตนให้เป็นประโยชน์
๔. วางตนสม่ำเสมอ
๕. ไม่พูดจาหลอกลวงกัน

มิตรสหายผู้เป็นทิศเบื้องซ้าย  กุลบุตรบำรุงโดยหน้าที่ ๕ ประการนี้แล  ย่อมอนุเคราะห์กุลบุตรโดยหน้าที่ ๕ ประการ  คือ
๑. ป้องกันมิตรผู้ประมาทแล้ว
๒. ป้องกันทรัพย์ของมิตรผู้ประมาทแล้ว
๓. เมื่อมีภัยก็เป็นที่พึ่งพำนักได้
๔. ไม่ละทิ้งในยามอันตราย
๕. นับถือตลอดถึงวงศ์ตระกูลของมิตร

คหบดีบุตร
มิตรผู้เป็นทิศเบื้องซ้าย  กุลบุตรบำรุงโดยหน้าที่ ๕ ประการนี้แล  ย่อมอนุเคราะห์กุลบุตรโดยหน้าที่ ๕ ประการนี้
ทิศเบื้องซ้ายนั้นเป็นอันชื่อว่ากุลบุตรได้ปิดป้อง  ทำให้เกษมปลอดภัยแล้ว  ด้วยประการฉะนี้


[ ทาสและกรรมกร : ทิศเบื้องล่าง ]
คหบดีบุตร
นายพึงบำรุงทาสกรรมกรผู้เป็นทิศเบื้องต่ำโดยหน้าที่ ๕ ประการ  คือ
๑. จัดการงานให้ทำตามสมควรแก่กำลัง
๒. ให้อาหารและค่าจ้าง
๓. ดูแลรักษายามเจ็บป่วย
๔. ให้อาหารมีรสแปลก
๕. ให้หยุดงานตามโอกาส

ทาสกรรมกรผู้เป็นทิศเบื้องต่ำ  นายบำรุงโดยหน้าที่ ๕ ประการนี้แล  ย่อมอนุเคราะห์นายโดยหน้าที่ ๕ ประการ    คือ
๑. ตื่นขึ้นทำงานก่อนนาย
๒. เลิกงานเข้านอนทีหลังนาย
๓. ถือเอาแต่ของที่นายให้
๔. ทำงานให้ดีขึ้น
๕. นำคุณของนายไปสรรเสริญ

คหบดีบุตร
ทาสกรรมกรผู้เป็นทิศเบื้องต่ำ  นายบำรุงโดยหน้าที่ ๕ ประการนี้แล  ย่อมอนุเคราะห์นายโดยหน้าที่ ๕ ประการนี้
ทิศเบื้องต่ำนั้นเป็นอันชื่อว่านายได้ปิดป้อง  ทำให้เกษมปลอดภัยแล้ว  ด้วยประการฉะนี้


[ สมณพราหมณ์ : ทิศเบื้องบน ]
คหบดีบุตร
กุลบุตรพึงบำรุงสมณพราหมณ์ผู้เป็นทิศเบื้องบน  โดยหน้าที่ ๕ ประการ  คือ
๑. จะทำสิ่งใด  ก็ทำด้วยเมตตา
๒. จะพูดสิ่งใด  ก็พูดด้วยเมตตา
๓. จะคิดสิ่งใด  ก็คิดด้วยเมตตา
๔. เปิดประตูต้อนรับ
๕. ถวายปัจจัยเครื่องยังชีพ

สมณพราหมณ์ผู้เป็นทิศเบื้องบน  กุลบุตรบำรุงโดยหน้าที่ ๕ ประการนี้แล  ย่อมอนุเคราะห์กุลบุตรโดยหน้าที่ ๖ ประการ  คือ
๑. ห้ามไม่ให้ทำความชั่ว
๒. ให้ตั้งอยู่ในความดี
๓. อนุเคราะห์ด้วยน้ำใจอันดีงาม
๔. ให้ได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง
๕. อธิบายสิ่งที่เคยฟังแล้วให้เข้าใจแจ่มแจ้ง
๖. บอกทางสวรรค์ให้

คหบดีบุตร
สมณพราหมณ์ผู้เป็นทิศเบื้องบน  กุลบุตรบำรุงโดยหน้าที่ ๕ ประการนี้แล  ย่อมอนุเคราะห์กุลบุตรโดยหน้าที่ ๖ ประการนี้
ทิศเบื้องบนนั้นเป็นอันชื่อว่ากุลบุตรได้ปิดป้อง  ทำให้เกษมปลอดภัยแล้ว  ด้วยประการฉะนี้"

พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา  ครั้นตรัสเวยยากรณภาษิตนี้แล้ว
จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
       "มารดาบิดาเป็นทิศเบื้องหน้า
อาจารย์เป็นทิศเบื้องขวา
บุตรภรรยาเป็นทิศเบื้องหลัง
มิตรสหายเป็นทิศเบื้องซ้าย
ทาสกรรมกรเป็นทิศเบื้องล่าง
สมณพราหมณ์เป็นทิศเบื้องบน
คฤหัสถ์ในตระกูลผู้มีความสามารถ  พึงไหว้ทิศเหล่านี้
(ผู้มีความสามารถ  ในที่นี้หมายถึงผู้มีความสามารถที่จะครองเรือน
คือเลี้ยงดูบุตรและภรรยาให้เป็นสุขได้)
       บัณฑิตผู้สมบูรณ์ด้วยศีล
เป็นคนละเอียดและมีไหวพริบ
มีความประพฤติเจียมตน
ไม่แข็งกระด้าง  เช่นนั้น  ย่อมได้ยศ
(มีไหวพริบ  ในที่นี้หมายถึงมีความเฉลียวฉลาดในการไหว้ทิศ
คือเข้าใจความหมายของการไหว้อย่างถูกต้อง)
       คนขยัน  ไม่เกียจคร้าน
ย่อมไม่หวั่นไหวในอันตรายทั้งหลาย
คนมีความประพฤติไม่ขาดตอน (ประพฤติต่อเนื่อง)
มีปัญญาเช่นนั้น  ย่อมได้ยศ
       คนชอบสงเคราะห์  ชอบสร้างไมตรี
รู้เรื่องที่เขาบอก  (รู้เรื่องที่บุพการีสั่งไว้แล้วปฏิบัติตามนั้น)
ปราศจากความตระหนี่  เป็นผู้ชอบแนะนำ
ชี้แจงแสดงเหตุผล  เช่นนั้น  ย่อมได้ยศ
       ทาน (การให้)  เปยยวัชชะ (วาจาเป็นที่รัก)
อัตถจริยา (การประพฤติประโยชน์)  ในโลกนี้
และสมานัตตตา (การวางตนสม่ำเสมอ)
ในธรรมนั้น ๆ ตามสมควร
สังคหธรรมเหล่านี้แลช่วยอุ้มชูโลก
เหมือนลิ่มสลักเพลาคุมรถที่แล่นไปไว้ได้  ฉะนั้น
       ถ้าไม่มีสังคหธรรมเหล่านี้
มารดาหรือบิดาก็ไม่พึงได้การนับถือหรือการบูชาเพราะบุตรเป็นเหตุ
แต่เพราะบัณฑิตเล็งเห็นความสำคัญของสังคหธรรมเหล่านี้
ฉะนั้น  บัณฑิตเหล่านี้จึงถึงความเป็นใหญ่และเป็นผู้น่าสรรเสริญ"

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว
สิงคาลกะ  คหบดีบุตร  ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคชัดเจนไพเราะยิ่งนัก
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคชัดเจนไพเราะยิ่งนัก

พระผู้มีพระภาคทรงประกาศธรรมแจ่มแจ้งโดยประการต่าง ๆ
เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ  เปิดของที่ปิด  บอกทางแก่ผู้หลงทาง  หรือตามประทีปในที่มืดโดยตั้งใจว่าคนมีตาดีจักเห็นรูปได้

ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระผู้มีพระภาคพร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์ว่าเป็นสรณะ
ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนตลอดชีวิต"


สิงคาลกสูตร  จบ



บทความที่เกี่ยวข้อง
๑. ครูคนแรกควรสอนอะไร

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

พยสนสูตร (อังคุตตรนิกาย > ปัญจกนิบาต > ตติยปัณณาสก์ > คิลานวรรค)

กาลียักขินีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > ยมกวรรค)

ปฏาจาราเถรีวัตถุ (ขุททกนิกาย > ธรรมบท > สหัสสวรรค)